เจตนาที่ชัดแจ้งถึงเพียงนี้ ฮูหยินผู้เฒ่ากัวยังคงกล่าวปฏิเสธยิ้มๆ อย่างสุภาพว่า “ข้าอายุมากแล้ว กำลังวังชาไม่ดี เรียนรู้อะไรได้ไม่เร็วเหมือนเมื่อก่อนแล้ว ไหนเลยจะเทียบกับคนหนุ่มสาวอย่างพวกเจ้าได้ อยู่ที่บ้านก็เพียงให้คำแนะนำไปเรื่อยเปื่อยเท่านั้น เด็กๆ ในบ้านเห็นว่าข้าอายุมากแล้ว เพื่อแสดงความกตัญญูแล้วจึงไม่ถือสาเรื่องราวอะไร ถึงได้ไม่มีเรื่องน่าขบขันเกิดขึ้น เรื่องจะให้ชี้แนะอาเซวียนนั้นคงไม่กล้ารับไว้จริงๆ”
ฮูหยินใหญ่เลี่ยวจึงแลกเปลี่ยนสายตากับฮูหยินรองฟางครั้งหนึ่ง ฮูหยินใหญ่เลี่ยวกล่าวยิ้มๆ ว่า “ดูท่านพูดสิเจ้าคะ! ตอนที่ข้ามาถึงใหม่ๆ ยังเคยพูดกับพี่สะใภ้รองอยู่เลยว่าเด็กสาวสมัยนี้นั้นไม่รู้ว่าเป็นอะไรกันไปหมด ผู้ใหญ่พูดมาหนึ่งประโยคนางจะเถียงกลับสองประโยค หากยอมให้เวลากับเรียนพิณก็จะไม่ยินยอมเสียเวลากับการฝึกทำงานเย็บปักแล้ว ไหนเลยจะเหมือนกับสมัยของพวกเราที่ท้องฟ้ายังไม่สางก็ตื่นขึ้นมาทำความสะอาดแล้ว กลางคืนก็ยังจุดตะเกียงทำรองเท้าถุงเท้าให้ผู้ใหญ่อีกด้วย ผู้ที่ให้การอบรมสั่งสอนคนอย่างเจิงเจี่ยเอ๋อร์และเซียวเจี่ยเอ๋อร์ออกมาได้เช่นฮูหยินผู้เฒ่านั้นมีไม่มากแล้วจริงๆ ก็ไม่แปลกที่พวกเราจะอิจฉา อยากให้อาเซวียนได้ติดตามอยู่ข้างๆ ฮูหยินผู้เฒ่าเพื่อจะได้เรียนรู้อะไรบ้าง”
ฟางเซวียนนั้นไม่รู้ว่ามารดาและท่านอาหญิงตั้งใจทำอะไรกันแน่
นางเข้าใจว่ามารดาและท่านอาหญิงต้องการประจบประแจงตระกูลเฉิง ฉะนั้นจึงร่วมกล่าวเอาอกเอาใจด้วยว่า “ฮูหยินผู้เฒ่า ท่านให้ข้ามาเยี่ยมท่านบ่อยๆ เถิดนะเจ้าคะ ไม่อย่างนั้นท่านแม่และท่านอาหญิงของข้าจะต้องพูดจนหูของข้าชาไปหมดแน่ๆ ท่านสงสารข้าเถิดนะเจ้าคะ!” ขณะที่กล่าว ยังจับแขนเสื้อของฮูหยินผู้เฒ่าเอาไว้ด้วยท่าทางน่าสงสารอย่างออดอ้อนอีกด้วย
นัยน์ตาของฮูหยินผู้เฒ่ามีประกายสายหนึ่งวาบผ่าน นางหัวเราะร่า ปกปิดอารมณ์ความรู้สึกในดวงตานั่นไว้ กล่าวยิ้มๆ ว่า “หากเจ้ารู้สึกเบื่อ ก็มาเยี่ยมที่นี่ได้ เสาจิ่นอยู่ที่นี่ พวกเซิงเจี่ยเอ๋อร์และอีกหลายคนกลัวว่าข้าจะเหงาก็มักจะกลับมาเยี่ยมข้าอยู่บ่อยๆ ในบ้านถือได้ว่าครึกครื้นนัก”
นี่หมายความว่าตอบตกลงแล้วกระมัง!
ฮูหยินใหญ่เลี่ยวและฮูหยินรองฟางลอบดีใจ
ฟางเซวียนกลับมองไปที่โจวเสาจิ่นครั้งหนึ่ง กล่าวยิ้มๆ ว่า “ต่อไปคงต้องรบกวนให้เสาจิ่นช่วยชี้แนะแล้ว!”
โจวเสาจิ่นยิ้มให้อย่างอบอุ่นและใจกว้าง กล่าวขึ้นว่า “ที่ไหนกันเจ้าคะ! ข้าเองก็มาเป็นแขกเหมือนกัน คุณหนูหกฟางเกรงใจเกินไปแล้ว!”
ฟางเซวียนกลับไม่คิดอย่างนั้น
มีสาวใช้เด็กเข้ามาขอคำชี้แนะจากโจวเสาจิ่นว่า “คุณชายรองต้องการใช้รถม้าไปสำนักศึกษาซานหมิงเจ้าค่ะ”
โจวเสาจิ่นจึงหันไปมองฮูหยินผู้เฒ่ากัว
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวพยักหน้า เอ่ยตอบเสียงหนึ่งว่า “เข้าใจแล้ว”
โจวเสาจิ่นจึงเดินออกไปพร้อมกับสาวใช้เด็กผู้นั้น พูดคุยกันตรงเฉลียงทางเดิน “ฮูหยินรองทราบเรื่องหรือยัง”
เสียงของนางอบอุ่นและอ่อนโยน ทำให้คนรู้สึกราวกับได้รับลมโชยอ่อนๆ ของฤดูใบไม้ผลิ
เสียงของสาวใช้เด็กผู้นั้นก็เลยอบอุ่นตามขึ้นมาด้วยอย่างช่วยไม่ได้ กล่าวยิ้มๆ ว่า “ฮูหยินรองทราบเรื่องแล้วเจ้าค่ะ บอกให้ข้ามาแจ้งฮูหยินผู้เฒ่าและท่านสักคำหนึ่ง”
โจวเสาจิ่นจึงกล่าวขึ้นว่า “เจ้าไปบอกพ่อบ้านที่เรือนชั้นนอกสักคำว่าคุณชายรองอายุยังน้อย อีกทั้งยังไม่ค่อยได้ออกจากบ้าน กลัวว่าจะพบเห็นอะไรระหว่างทางแล้วจะลงมาจากรถ ให้หาคนขับรถม้าที่มีอายุให้สักคนหนึ่ง คนคุ้มกันก็ต้องหาคนที่มีความระมัดระวังรอบคอบและไม่ขาดไหวพริบประเภทนั้นติดตามไปด้วย เผื่อว่ามีเรื่องอะไรก็จะได้ช่วยตัดสินใจได้”
สาวใช้เด็กทวนคำพูดของโจวเสาจิ่นหนึ่งรอบ เมื่อเห็นว่าไม่ตกหล่นอะไรแล้วถึงได้ถอยออกไปยิ้มๆ
โจวเสาจิ่นให้ชุนหว่านไปดูในครัวสักหน่อย “ฮูหยินผู้เฒ่ารั้งให้ฮูหยินทั้งสองท่านและคุณหนูหกฟางอยู่รับประทานมื้อเที่ยงด้วย เจ้าไปสอบถามบ่าวรับใช้ที่ติดตามมาด้วยสักหน่อยว่า ฮูหยินทั้งสองท่านและคุณหนูหกฟางมีอะไรที่ต้องหลีกเลี่ยงบ้างหรือไม่ จะได้ให้ในครัวจัดรายการอาหารมาให้”
ชุนหว่านรับคำแล้วจากไป
โจวเสาจิ่นสั่งให้เฉินเซียงไปดูที่ห้องน้ำชาด้วยสักหน่อย “ล้วนเป็นสาวใช้เด็กที่เข้ามาใหม่ทั้งสิ้น อย่าให้เล่นจนลืมต้มน้ำชงน้ำชา”
เฉินเซียงยิ้มพร้อมกับเดินไปที่ห้องน้ำชา
โจวเสาจิ่นถึงได้หมุนกายกลับเข้าไปในห้องรับแขก
ภายในห้องรับแขกเงียบเชียบ สายตาที่ฮูหยินใหญ่เลี่ยวและฮูหยินรองฟางมองนางนั้นดูซับซ้อนเล็กน้อย มีเพียงฟางเซวียนเท่านั้นที่ขมวดคิ้วมุ่นด้วยท่าทางไม่ชอบใจเป็นอย่างยิ่ง
เมื่อครู่หลังจากที่โจวเสาจิ่นเดินออกไปพร้อมกับสาวใช้เด็กที่เข้ามาขอคำชี้แนะนั่นแล้ว ฮูหยินใหญ่เลี่ยวและฮูหยินรองฟางต่างตัดจบบทสนทนาอย่างพร้อมเพรียงกันโดยมิได้นัดหมาย พลางเงี่ยหูฟังความเคลื่อนไหวที่เฉลียงทางเดิน
ฟางเซวียนที่เจื้อยแจ้วกล่าวกับฮูหยินผู้เฒ่ากัวไปสองสามประโยคแล้ว เมื่อเห็นว่าฮูหยินใหญ่เลี่ยวและฮูหยินรองฟางไม่ได้มีปฏิกิริยาตอบกลับอะไร จึงหยุดเสียงลงมาด้วยอย่างช่วยไม่ได้
ภายในห้องพลันเงียบเชียบไร้สรรพเสียง ได้ยินแม้กระทั่งเสียงเข็มตกพื้น
บทสนทนาระหว่างโจวเสาจิ่นและสาวใช้ก็เลยเข้าหูของพวกนางอย่างครบถ้วนไม่มีตกหล่นแม้สักคำ
ฮูหยินใหญ่เลี่ยวและฮูหยินรองฟางตกใจที่โจวเสาจิ่นถึงกับเป็นคนตัดสินใจเรื่องภายในเรือนของประตูเฉาหยาง ส่วนฟางเซวียนกลับรู้สึกว่าโจวเสาจิ่นจองหองมากเกินไปแล้ว เนื่องจากมาเป็นแขก เห็นๆ อยู่ว่านี่มิใช่คำพูดที่คนเป็นแขกควรจะพูดหรือเรื่องที่แขกควรจะกระทำ!
โจวเสาจิ่นถูกพวกนางมองจนรู้สึกประหลาดใจ ก้มหน้าลงมองสำรวจการแต่งกายของตัวเองอย่างอดไม่ได้ เห็นว่าไม่มีอะไรที่ไม่เหมาะสม อดไม่ได้เอ่ยถามขึ้นอย่างไม่เข้าใจว่า “ทำไมหรือ เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือเจ้าคะ”
ฮูหยินรองฟางได้สติกลับมาก่อน รีบกล่าวยิ้มๆ ว่า “เปล่า ไม่มีอะไร! เพียงแต่คิดไม่ถึงว่าคุณหนูรองตระกูลโจวอายุยังน้อยอยู่เลยแต่ก็รับผิดชอบการงานเพียงลำพังได้แล้ว ไม่เหมือนอาเซวียนของพวกข้าที่อะไรก็ไม่เข้าใจ” น้ำเสียงทอดถอนใจเล็กน้อย
ฮูหยินใหญ่เลี่ยวนึกถึงเวลาที่โจวชูจิ่นผู้เป็นบุตรสะใภ้เอ่ยถึงความสัมพันธ์ระหว่างโจวเสาจิ่นและจวนหลักขึ้นมานั้นมักจะพูดว่าโจวเสาจิ่นได้รับความโปรดปรานจากฮูหยินผู้เฒ่ากัวอย่างไรบ้าง…ดูแล้วบุตรสะใภ้มิได้กล่าวเกินจริงเลย
แต่เหตุใดนางถึงรู้สึกว่ามันแปลกๆ กันนะ
ต่อให้จะโปรดปรานโจวเสาจิ่นเสมือนเป็นหลานสาวแท้ๆ ของตัวเอง แต่การที่ให้นางเป็นคนตัดสินใจจัดการเรื่องภายในเรือนของประตูเฉาหยางข้ามหน้าฮูหยินรองเว่ยเช่นนี้…ย่อมทำให้คนรู้สึกแปลกใจอยู่บ้างเล็กน้อย!
เพียงแต่ว่าตอนนี้มิใช่เวลามาสืบสาวหาความกับเรื่องพวกนี้ นางกล่าวแก้สถานการณ์ยิ้มๆ ว่า “เพราะฉะนั้นข้าถึงได้บอกว่าต้องให้อาเซวียนมาเรียนรู้กับฮูหยินผู้เฒ่า พวกท่านดูเสาจิ่น รับผิดชอบการงานเพียงลำพังได้แล้ว มิใช่เพราะฮูหยินผู้เฒ่าสั่งสอนได้ดีหรอกหรือ!”
โจวเสาจิ่นเห็นด้วยกับคำพูดของฮูหยินใหญ่เลี่ยวยิ่งนัก
นางเม้มปากหัวเราะ กล่าวขึ้นว่า “ข้าได้รับคำสั่งสอนจากฮูหยินผู้เฒ่ามามากมาย เป็นประโยชน์ไม่น้อยเลยเจ้าค่ะ!”
ฮูหยินใหญ่เลี่ยวถือโอกาสชี้แนะฟางเซวียนว่า “…เจ้าต้องตั้งใจเรียนรู้จากเสาจิ่นให้มาก”

VERIFYCAPTCHA_LABEL
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยามดอกวสันต์ผลิบาน