เฉิงฉือกลับมาถึงบ้านที่ประตูเฉาหยาง ทางด้านของฮูหยินผู้เฒ่ากัวกำลังมีแขกมาเยี่ยมพอดี หลี่ว์มามาอธิบายให้ฟังด้วยใบหน้ายิ้มแย้มว่า “เป็นฮูหยินใหญ่ตระกูลฟาง วันมะรืนก็จะกลับซูเฉิงแล้ว วันนี้จึงตั้งใจมากล่าวอำลาฮูหยินผู้เฒ่าเป็นการเฉพาะเจ้าค่ะ”
เช่นนั้นก็คงต้องรออีกสักประเดี๋ยวแล้วค่อยมาคารวะมารดาแล้ว
เฉิงฉือพยักหน้า กลับไปยังที่พักของตน
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวจึงถามขึ้นว่า “เป็นผู้ใดมาหรือ”
หลี่ว์มามาขานตอบอย่างนอบน้อมว่า “นายท่านสี่กลับมาแล้วเจ้าค่ะ พอได้ยินว่าท่านมีแขก ก็เลยกลับไปก่อนเจ้าค่ะ!”
คงกลับมาจากซอยอวี๋เฉียนกระมัง
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวครุ่นคิดอยู่ในใจ ฮูหยินใหญ่ฟางได้ยินแล้วกลับกล่าวขึ้นยิ้มๆ ว่า “น้องสี่ฉือหรือ ข้าไม่ได้เจอเขามาหลายปีแล้ว ตอนนี้เขาสบายดีหรือไม่เจ้าคะ!”
“สบายดีๆๆ!” เมื่อฮูหยินผู้เฒ่ากัวนึกถึงคนที่กลับมาถึงผู้นี้ขึ้นมารอยยิ้มบนใบหน้าก็ยิ่งเด่นชัดยิ่งขึ้น
ฮูหยินใหญ่ฟางกล่าวยิ้มๆ ว่า “ภรรยาของน้องสี่ฉือเป็นสตรีจากตระกูลใดหรือเจ้าคะ ตอนเขาแต่งงานเหตุใดท่านถึงไม่ส่งเทียบเชิญมาให้พวกข้าบ้างเลย”
แม้นจะอยู่ห่างไกลกัน แต่อย่างไรก็ต้องให้ใครสักคนนำของขวัญไปมอบให้
กล่าวถึงเรื่องนี้ขึ้นมาแล้วฮูหยินผู้เฒ่ากัวรู้สึกกระอักกระอ่วนขึ้นมาเล็กน้อย กล่าวขึ้นว่า “เขายังไม่ได้แต่งงาน...”
อายุอานามขนาดนี้แล้ว อีกทั้งยังมียศตำแหน่งแล้วแต่กลับยังไม่แต่งงาน เกรงว่าภายในเรื่องนี้คงจะมีเหตุผลอะไรที่ไม่สมควรเอ่ยออกมา ฮูหยินใหญ่ฟางจึงไม่กล้าถามให้มากความอีก กล่าวขึ้นว่า “รักแท้มักจะมีอุปสรรคขวางกั้น ท่านก็อย่าได้เป็นกังวลมากเกินไปเลยเจ้าค่ะ” จากนั้นก็เปลี่ยนหัวข้อสนทนา “เช่นนั้นข้าขอตัวกลับก่อนแล้ว! หากท่านมีเรื่องอะไร เพียงเขียนจดหมายไปให้ที่ซูเฉิงก็ได้แล้วเจ้าค่ะ”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกล่าวขอบคุณ สั่งการให้ฮูหยินรองเว่ยช่วยไปส่งแขก
ฮูหยินใหญ่ฟางเกรงใจอยู่คำรบหนึ่ง ให้ฮูหยินรองเว่ยเดินนำออกมาจากเรือนหลัก
นางเอ่ยถามขึ้นอย่างอดไม่ได้ว่า “เหตุใดน้องสี่ฉือถึงยังไม่แต่งงานหรือ”
ฮูหยินรองเว่ยจะแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องภรรยาของน้องชายคนเล็กของสามีได้อย่างไร ได้แต่กล่าวอย่างคลุมเครือไปว่า “น้องสี่นั้นไม่ว่าจะเป็นคุณสมบัติ ความรู้หรือความสามารถล้วนสูงส่ง เพียงแต่ว่าเรื่องใหญ่อย่างเรื่องแต่งงานนี้กลับดื้อดึงไม่ยอมลงให้ฮูหยินผู้เฒ่า กล่าวคือ ฮูหยินผู้เฒ่าเห็นว่าดี น้องสี่ก็รู้สึกว่าไม่ดี พอน้องสี่รู้สึกว่าดี ฮูหยินผู้เฒ่าก็เห็นว่าไม่ดี ไปๆ มาๆ อยู่เช่นนี้ เรื่องแต่งงานจึงล่าช้ามาเรื่อยๆ”
ฮูหยินใหญ่ฟางฟังแล้วก็จมอยู่กับความคิดตัวเอง
ผ่านไปไม่กี่วัน ฮูหยินใหญ่เลี่ยวก็มาเยี่ยมฮูหยินผู้เฒ่ากัว เอ่ยถึงฟางเซวียนขึ้นมาอย่างมีนัยแฝงว่า “…พ่อแม่กลัวว่านางจะได้รับความลำบาก อยากจะหาคนที่สุขุมรอบคอบสักคน ถ้าหากเป็นคนที่อายุมากกว่า อีกทั้งผู้ใหญ่ในบ้านยังเป็นคนที่มีเหตุผลได้สักคนก็คงจะดีไม่น้อย มาฝากฝังกับข้าหลายครั้งแล้ว ท่านเองก็ทราบดี ข้าอาศัยอยู่ที่เมืองเล็กๆ อย่างเจิ้นเจียง ไหนเลยจะรู้จักใครมาก หลายวันก่อนพี่สะใภ้ของข้าเดินทางกลับซูเฉิง ก็เอ่ยถึงเรื่องนี้กับข้าขึ้นมาอีกว่าให้ข้าช่วยดูให้สักหน่อย ข้าคิดไปคิดมาแล้ว เมื่อก่อนฮูหยินผู้เฒ่าเคยอาศัยอยู่ที่จิงเฉิงหลายปี คนที่ท่านรู้จักมีมากกว่าเกลือที่ข้าเคยกินเสียอีก ถือโอกาสที่วันนี้อากาศดียิ่งนักมาขอความเมตตาจากท่านสักครั้งหนึ่ง หากท่านมีคนที่เห็นว่าเหมาะสม ขอให้ท่านช่วยดูให้สักหน่อยเจ้าค่ะ”
ความนัยที่ชัดเจนถึงเพียงนี้ หากฮูหยินผู้เฒ่ากัวฟังไม่ออกมิเท่ากับว่าความเฉลียวฉลาดและหลักแหลมที่นางมีจะเป็นการเสียเปล่าหรอกหรือ
นางเพียงแต่คิดไม่ถึงว่าฮูหยินใหญ่ฟางจะสนใจเฉิงฉือเท่านั้น
ฟางเซวียนผู้นั้นอายุน้อยกว่าเฉิงฉือเป็นสิบปี
แต่ว่าโจวเสาจิ่นเองก็อายุน้อยกว่าเฉิงฉือเป็นสิบปีเหมือนกัน…
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวจึงอดไม่ได้ที่จะลอบถอนหายใจอยู่ในใจอย่างไร้ทางเลือกเล็กน้อย
วันนั้นพอส่งฮูหยินใหญ่ฟางออกไปแล้วเฉิงฉือก็มาคารวะนาง พูดถึงเรื่องที่จะให้โจวเสาจิ่นมาอยู่เป็นเพื่อนนางขึ้นมา
นางยังไม่ทันได้เอ่ยปาก เจ้าเด็กโง่เฉิงเซิงผู้นั้นกลับปรบมือเห็นด้วย ยังกล่าวด้วยว่า “…เสาจิ่นเป็นคนอ่อนโยนและว่าง่ายเป็นที่สุด ตอนนี้พวกเราพี่สาวน้องสาวทั้งสามคนต่างก็ออกออกเรือนกันหมดแล้ว ไม่อาจมาอยู่เป็นเพื่อนท่านย่าเหมือนเมื่อก่อน ได้เสาจิ่นมาอยู่เป็นเพื่อนท่านย่าพอดี” จากนั้นยังกล่าวยิ้มๆ อย่างยินดีว่า “ถ้าหากปักภาพเด็กเล่นกันจำพวกนั้นให้ข้าได้สักผืนหนึ่งก็คงจะยิ่งดีเจ้าค่ะ”
แล้วเด็กผู้นั้นก็มีจิตใจที่ซื่อตรงมากเกินไป ถึงกับเตรียมจะปักภาพเด็กเล่นกันให้เฉิงเซิงสักผืนจริงๆ อีกด้วย
คิดถึงตรงนี้ ฮูหยินผู้เฒ่ากัวถามเจินจูที่ปรนนิบัติอยู่ข้างกายว่า “คุณหนูรองกำลังทำอะไรอยู่ ยังคัดพระธรรมไม่เสร็จอีกหรือ ฮูหยินใหญ่เลี่ยวมาหา ให้นางมาคารวะฮูหยินใหญ่เลี่ยวสักครั้งหนึ่ง!”
ฮูหยินใหญ่เลี่ยวรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย เอ่ยขึ้นว่า “คิดไม่ถึงว่าวันนี้คุณหนูรองของบ้านสะใภ้ใหญ่จะอยู่ที่นี่ด้วย!”
นางได้ยินโจวชูจิ่นบอกว่าช่วงนี้โจวเสาจิ่นมักจะมาอยู่เป็นเพื่อนฮูหยินผู้เฒ่ากัวที่ประตูเฉาหยางบ่อยๆ นางคิดว่าเป็นเพียงการมาอยู่เป็นเพื่อนพูดคุยเท่านั้น คิดไม่ถึงว่ายังต้องคัดพระธรรมด้วย
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวจึงกล่าวว่า “เมื่อก่อนนางเคยติดตามข้าไปสักการะพระพุทธองค์ที่เขาผู่ถัว เชี่ยวชาญในพระธรรม ข้ามักจะให้นางช่วยคัดพระธรรมให้ข้าบ่อยๆ”
ฮูหยินใหญ่เลี่ยวกล่าวยิ้มๆ ว่า “คิดไม่ถึงว่าคุณหนูรองของบ้านสะใภ้ใหญ่จะเชี่ยวชาญการคัดพระธรรมด้วย”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกล่าวยิ้มๆ ว่า “อักษรของนางก็คัดได้ดียิ่ง ตัวบรรจงงดงาม ฝีแปรงเบาสบายเป็นธรรมชาติ ค่อนข้างมีพื้นฐานที่ดี”
ฮูหยินใหญ่เลี่ยวฟังน้ำเสียงของฮูหยินผู้เฒ่ากัวนั้นแล้วคล้ายกับว่านางชื่นชอบโจวเสาจิ่นเป็นอย่างมากก็ไม่ปาน จึงกล่าวยิ้มๆ อย่างประจบประแจงว่า “เนื่องจากเป็นคนที่ทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าถูกใจได้ คาดว่าคงเป็นคนที่ยอดเยี่ยมมากผู้หนึ่ง” นางเอ่ยถึงฟางเซวียนขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง “…อักษรของนางก็คัดได้ดีมากเช่นกัน มิสู้ให้นางมาอยู่เป็นเพื่อนเสาจิ่นสักคน”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวปฏิเสธอย่างสุภาพไปว่า “เกรงว่าฮูหยินรองฟางจะสงสารนาง ทนเห็นนางรับความยากลำบากเหล่านี้มิได้”
บิดาของฟางเซวียนเป็นบุตรชายลำดับที่สองของตระกูลฟาง


VERIFYCAPTCHA_LABEL
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยามดอกวสันต์ผลิบาน