เฉิงฉือเสียใจเรื่องที่ไม่มีเงินนั้นโจวเสาจิ่นไม่เชื่อ แต่เมื่อนางเห็นเฉิงฉือเอามือทาบหน้าอกพร้อมกับร้องโอดครวญอยู่ตรงนั้นแล้ว ในใจยังคงรู้สึกปวดแปลบ จึงตามใจเขาโดยการช่วยนวดหน้าอกให้เขาเบาๆ อย่างอดไม่ได้
เฉิงฉือจึงรู้สึกสบายประหนึ่งได้ดื่มน้ำถั่วเขียวเย็นๆ ในช่วงที่ร้อนที่สุดอย่างช่วงสามฝูก็ไม่ปาน
เขาหลับตาพริ้ม ปล่อยให้โจวเสาจิ่นนวดหน้าอกให้เขาเบาๆ อยู่ตรงนั้น
แต่ไม่นานเขาก็ค้นพบว่าสถานการณ์ไม่ค่อยถูกต้องนัก…เลือดในกายของเขาต่างไหลพรั่งพรูลงไปเบื้องล่าง…หากยังเป็นเช่นนี้ต่อไปอีก เกรงว่าต้องมีเรื่องน่าอายเกิดขึ้นเป็นแน่…
เฉิงฉือพลิกตัวอย่างกระอักกระอ่วน ตะแคงตัวนอนหันเข้าหาโจวเสาจิ่นอยู่บนตั่ง กล่าวขึ้นว่า “ข้ารู้สึกดีขึ้นมากแล้ว ไม่ต้องนวดแล้ว!”
จริงหรือ
แต่เหตุใดนางถึงรู้สึกว่าท่าทางของเขาในตอนนี้กลับดูเจ็บปวดเล็กน้อยเล่า…
“จริงหรือเจ้าคะ” นางถามขึ้นอย่างไม่เข้าใจ “แต่ข้าดูท่าทางของท่านแล้วดูเหมือนไม่ค่อยสบายเลยนะเจ้าคะ…”
ดวงตาสุกใสเป็นประกายของโจวเสาจิ่นเบิกกว้าง กระทั่งเฉิงฉือเห็นภาพสะท้อนของตัวเองจากดวงตาของนางได้
เขารู้สึกกระดากอายอย่างช่วยไม่ได้ รีบกล่าวขึ้นว่า “ไม่เป็นไรๆ ข้าไม่เป็นอะไรแล้วจริงๆ ข้าเพียงรู้สึกว่าเรื่องแยกตระกูลนี้ทำให้ข้ารำคาญใจไม่น้อยจริงๆ เท่านั้น กล่าวคือทุกคนต่างคิดว่าข้าไม่มีเงินแล้ว คนนี้คนนั้นต่างก็เลยมาหาข้าหมายจะทำการค้าร่วมกับข้า แต่ละคนก็ช่างไม่รู้จักประเมินสถานะของตัวเองเลยว่าเป็นเพียงตัวอะไร ถึงกับคิดจะใช้เงินมาล่อข้าไปเป็นคนติดตามของพวกเขา ต่อให้ข้ายากจนข้นแค้นเพียงใด ก็ไม่มีทางตกต่ำจนถึงขั้นนั้นหรอกกระมัง”
เฉิงฉือแผ่ความหยิ่งทะนงออกมาจากส่วนลึกสายหนึ่ง
ไม่รู้ว่าคนพวกนั้นคิดอะไรกันอยู่
ไม่แปลกที่ท่านน้าฉือจะโมโห!
โจวเสาจิ่นคิด ในใจอ่อนยวบจนเหลวเป็นน้ำ ปลอบโยนเขาเสียงอบอุ่นว่า “ท่านก็อย่าโมโหไปเลยเจ้าค่ะ ไม่แน่ว่าทุกคนอาจจะอยากช่วยเหลือท่านก็เป็นได้! อีกอย่าง เมื่อก่อนท่านเก่งกาจยิ่งนัก ไม่ง่ายเลยกว่าพวกเขาจะมีโอกาสได้ลากท่านลงน้ำสักครั้งหนึ่ง หากปล่อยมันไปเช่นนั้นก็โง่งมแล้ว”
ถ้อยคำของคนรักมักจะลึกซึ้งตราตรึงกว่าคนทั่วไปเสมอ
เฉิงฉือเลิกคิ้วขึ้นยิ้มๆ
โจวเสาจิ่นกลัวว่าเขาจะไม่เชื่อ จึงรีบกล่าวว่า “จริงๆ นะเจ้าคะ! เมื่อก่อนตอนอยู่ซอยจิ่วหรูมักจะได้ยินพวกเขาพูดกันบ่อยๆ ว่าท่านทำการค้าเก่งยิ่งนัก จึงคิดจะหาโอกาสร่วมมือกับท่านอยู่เสมอๆ”
แต่อย่างไรก็ตาม เกรงว่าก็คงพูดด้วยว่าเขาไร้เหตุผล เย่อหยิ่งและเย็นชาด้วยกระมัง
เฉิงฉือแสยะยิ้มเย็นอยู่ในใจครั้งหนึ่ง กล่าวกับโจวเสาจิ่นยิ้มๆ ว่า “เป็นเรื่องในอดีตไปแล้ว ตอนนี้พูดเรื่องพวกนี้ไปทำไมกัน อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ตระกูลหลี่กับร้านตั๋วแลกเงินอวี้ไท่มิได้เป็นหุ้นส่วนกันแล้ว สัดส่วนหุ้นของร้านตั๋วแลกเงินอวี้ไท่ก็ถูกตีราคาให้เป็นของจวนรองไปสี่แสนเหลี่ยงแล้ว เกรงว่าอนาคตของร้านตั๋วแลกเงินอวี้ไท่คงไม่ได้ดีนักแล้ว หากข้าเป็นเฉิงเหมี่ยน จะใช้โอกาสนี้ขายหุ้นส่วนของร้านตั๋วแลกเงินอวี้ไท่ที่ถืออยู่ในมือทิ้งไปเสีย แล้วไปทำการค้าอย่างอื่นแทน”
โจวเสาจิ่นตกใจ กล่าวขึ้นว่า “สถานการณ์จะย่ำแย่ถึงขั้นนั้นเลยหรือเจ้าคะ แต่นั่นเป็นร้านตั๋วแลกเงินที่ท่านสร้างขึ้นมากับมือนะเจ้าคะ!”
นางกำลังรู้สึกเสียดายแทนเขาอยู่!
เฉิงฉือกลับลอบวิพากษ์อยู่ในใจ
แน่นอนว่าสถานการณ์มิได้ย่ำแย่จนถึงขั้นนั้นอย่างกะทันหัน
ต่อให้เป็นการกินบุญเก่า ร้านตั๋วแลกเงินอวี้ไท่ก็อาจจะอยู่ไปได้อีกสักห้าถึงหกปี
แต่ถ้าเขาสอดมือเข้าไปยุ่ง นั่นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งแล้ว
หากจะกล่าวโทษ ก็ต้องโทษที่ตระกูลเฉิงมีญาติที่เกี่ยวดองด้วยตั้งมากมาย แต่เหตุใดตอนนั้นเฉิงสือถึงต้องใช้เสาจิ่นเป็นแพให้ตัวเองข้ามด้วย…
แต่เรื่องพวกนี้ไม่จำเป็นต้องให้เสาจิ่นรู้
เขากล่าว “เจ้ารู้หรือไม่ว่าเริ่มแรกร้านตั๋วแลกเงินอวี้ไท่กำเนิดขึ้นมาได้อย่างไร เกิดขึ้นมาจากการทำการค้ากับเก้าเหล่าทัพของราชสำนัก วันนี้พวกข้ากับจวนรองแยกตระกูลกันแล้ว พวกข้าย่อมไม่อาจไปช่วยทำการค้าให้ร้านตั๋วแลกเงินอวี้ไท่ได้อีกแล้ว นอกจากนี้มีคู่ค้าบางส่วนเลือกที่จะเข้าหาพี่ใหญ่และพี่รองของข้า ฉะนั้นจึงอาจเสียลูกค้าไปส่วนหนึ่งด้วย…”
โจวเสาจิ่นนึกถึงเรื่องที่หลี่ซื่อได้รับข่าวจากการไปสืบความของนายท่านใหญ่ตระกูลหลี่ขึ้นมา…คาดว่าคนจำนวนมากก็น่าจะคิดเห็นเป็นเช่นเดียวกันกระมัง
นางเอ่ยขึ้นว่า “ข้าจะเขียนจดหมายส่งไปให้ท่านลุงใหญ่เหมี่ยนเพื่อเตือนท่านลุงใหญ่เหมี่ยนสักครั้งหนึ่ง”
ส่วนเรื่องที่จะขายหุ้นออกจากร้านตั๋วแลกเงินอวี้ไท่หรือไม่นั้น นั่นก็ต้องแล้วแต่การตัดสินใจของจวนสี่เองแล้ว
สถานะเปลี่ยน การตัดสินใจเลือกก็เปลี่ยน
นางเลือกเฉิงฉือ
และจวนสี่ที่หวังจะได้สร้างตระกูลของตัวเองขึ้นมาโดยตลอดนั้น ใช้โอกาสนี้แยกตัวออกไป ก็ถือเป็นโอกาสอันดีที่หาได้ยากยิ่งครั้งหนึ่ง แต่จวนสี่จะเลือกใครนั้น นางไม่อาจรู้ได้
โจวเสาจิ่นเอ่ยถามขึ้นว่า “หน้าอกของท่านยังเจ็บอยู่หรือไม่ ให้ข้านวดให้ท่านอีกสักหน่อยดีหรือไม่เจ้าคะ”
เฉิงฉือนึกถึงความรู้สึกอ่อนนุ่มของมือเล็กอันนุ่มนิ่มที่วางอยู่บนหน้าอกของตนนั่นแล้วก็คิดในใจว่า นี่ถ้าหากว่าแต่งงานกันแล้วจะดีมากเพียงใด…แต่เวลานี้เขาจำต้องปฏิเสธไปอย่างแข็งขัน “ไม่ต้องแล้ว ดีขึ้นมากแล้ว” เขาไหนเลยจะกล้าหมุนวนกลับมาที่เรื่องนี้อีก จากนั้นนึกถึงวัตถุประสงค์การมาที่นี่ของตัวเองขึ้นมา เอ่ยขึ้นว่า “ฮูหยินอยู่บ้านหรือไม่ ข้าอยากหารือกับฮูหยินสักหน่อย จะให้เจ้าไปอยู่เป็นเพื่อนท่านแม่ของข้า”
“ไปอยู่เป็นเพื่อนฮูหยินผู้เฒ่าหรือเจ้าคะ!” โจวเสาจิ่นรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
เกรงว่าฮูหยินผู้เฒ่ากัวคงไม่โปรดปรานให้นางไปอยู่เป็นเพื่อนหรอกกระมัง!
นางก้มหน้าก้มตาลงเล็กน้อย
เฉิงฉือเห็นแล้วก็เข้าใจ คาดว่าคำพูดของมารดาในวันนั้นคงยังทำให้โจวเสาจิ่นรู้สึกเสียใจอยู่บ้างเล็กน้อย
เขากุมมือของโจวเสาจิ่นเอาไว้ ยิ้มพร้อมกับหันมาขยิบตาให้นาง กล่าวว่า “ตอนนี้คนทั่วทั้งจิงเฉิง ไม่สิ กระทั่งคนทั่วทั้งเจียงหนานต่างรู้ว่ามารดาของข้า ‘ถูกบีบบังคับ’ ให้ย้ายมาอยู่จิงเฉิง คาดว่านางจะต้องรู้สึกเจ็บปวดใจมากเป็นแน่ เมื่อก่อนตอนอยู่จินหลิงเจ้าเคยอยู่ปรนนิบัติรับใช้มารดาของข้ามาก่อน ตอนนี้เจ้าอยู่จิงเฉิงพอดี ตามหลักและน้ำใจแล้วเจ้าก็ควรจะไปเยี่ยมนางสักหน่อยกระมัง เมื่อเห็นนางเศร้าโศกเสียใจ เจ้าทนไม่ได้ ก็เลยอยู่ปรนนิบัติท่านแม่ของข้าสักสองสามวัน ก็เป็นเรื่องปกติมิใช่หรือ จากนั้นพวกเราที่เป็นบุตรชายหญิงเพื่อให้นางมีความสุขแล้ว ก็หวังให้มีใครสักคนหนึ่งมาอยู่เป็นเพื่อนนางสักระยะหนึ่ง เจ้าก็เลยกลายเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมที่สุดมิใช่หรือ”
เช่นนี้นางก็จะได้รั้งอยู่ที่จิงเฉิงต่อไปได้อย่างชอบธรรมแล้ว
กว่าครู่ใหญ่โจวเสาจิ่นถึงได้เอ่ยขึ้นว่า “ข้า…ข้าไปอยู่เป็นเพื่อนฮูหยินผู้เฒ่า จะเหมาะสมหรือเจ้าคะ”
เฉิงฉือยิ้มพลางถามนางเสียงอบอุ่นว่า “เจ้าไม่อยากไปหรือ”
มิใช่ว่านางไม่อยากไป แต่เพราะถ้อยคำของฮูหยินผู้เฒ่ากัวที่กล่าวมานั้น ทำให้นางรู้สึกขลาดกลัวอยู่บ้างเล็กน้อย
แต่ฮูหยินผู้เฒ่าเป็นมารดาของท่านน้าฉือ


VERIFYCAPTCHA_LABEL
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยามดอกวสันต์ผลิบาน