ก่อนที่เฉิงฉือจะไปซอยอวี๋เฉียนนั้น ได้ไปหาฮูหยินผู้เฒ่ากัวที่เรือนเฮ่อโซ่วถังก่อน
ฮูหยินผู้เฒ่าเห็นเขาจากไปแล้วก็กลับมาใหม่ เข้าใจว่าเขาจะมาอยู่พูดคุยด้วย จึงสั่งให้สาวใช้ไปหยิบกระดานหมากมาอย่างอารมณ์ดี กล่าวกับเฉิงฉือว่า “พวกเรามาประมือกันสักสองสามกระดาน เจ้าไม่ได้มาเดินหมากกับข้าหลายวันแล้ว! ฝีมือการเดินหมากของเสาจิ่นคงก้าวหน้าขึ้นไม่น้อยแล้วกระมัง”
เสาจิ่นนั่น…นั่นก็เรียกว่าเดินหมากด้วยหรือ
ทั้งหมดนั่นก็เป็นเพียงการเล่นซุกซนหยอกล้อกับเขาเท่านั้น
แต่อย่างไรก็ตาม มันกลับสนุกกว่าตอนเดินหมากจริงๆ เสียอีก!
ขณะที่เฉิงฉือคิดอยู่นั้น ดวงตาก็เจือไปด้วยรอยยิ้มอย่างห้ามไม่อยู่ กล่าวยิ้มๆ อย่างไม่ตอบคำถามว่า “ข้าคิดว่าท่านยังโมโหอยู่เสียอีก! แต่ดูแล้วท่านอารมณ์ดียิ่งนัก!”
“หากข้าไม่หาความสุขให้ตัวเอง ก็คงจะถูกลูกไม่รักดีอย่างพวกเจ้าทำให้โมโหตายไปตั้งนานแล้ว” ฮูหยินผู้เฒ่ากัวชี้บอกให้สาวใช้เด็กนำกระดานหมากมาวางลงบนตั่ง พลางกล่าว “คนหนึ่งก็คิดถึงแต่ตัวเอง คนหนึ่งก็อะไรก็ได้ คนหนึ่งก็ต่อต้านกฎระเบียบ…ไม่มีคนที่รับมือง่ายเลยสักคน!”
เฉิงฉือหัวเราะฮ่าดังลั่น กล่าวขึ้นว่า “มิใช่ว่าพวกข้าไม่ดี เป็นท่านต่างหากที่มาตรฐานสูง แม้พี่ใหญ่จะมีใจเห็นแก่ตัวบ้าง แต่เรื่องใหญ่ๆ กลับไม่เคยเหลวไหล ส่วนพี่รองนั้นก็เพราะถูกคั่นเอาไว้ตรงกลาง จะไม่ทำตัวเป็นตัวประสานความสงบก็ไม่ได้ ส่วนข้า…มีท่านแม่และพวกพี่ชายคอยยอมลงให้ หากไม่ต่อต้านกฎระเบียบก็เสียชื่อลูกหลานของตระกูลชั้นสูงหมด!”
“เจ้ายังจะหาความชอบธรรมให้ตัวเองอีกหรือ” ฮูหยินผู้เฒ่ากัวไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี กล่าวขึ้นว่า “หากพ่อของเจ้ายังอยู่และได้ยินเจ้าพูดเช่นนี้ คงจะเตรียมลงโทษเจ้าไปนานแล้ว!”
เฉิงฉือจึงใช้โอกาสนี้กุมมือของฮูหยินผู้เฒ่ากัวเอาไว้ กล่าวขึ้นอย่างกึ่งล้อเล่นกึ่งจริงจังว่า “ต่อไปท่านก็อย่าโกรธท่านพ่ออีกเลย เขาเองก็ไม่มีทางเลือกเช่นกัน ก็เหมือนกับเถียนจี้แข่งม้าและการทิ้งเบี้ยหมากเพื่อรักษารถม้าเอาไว้ มิใช่ว่าต่างก็ล้วนแล้วแต่เป็นกลยุทธ์ที่ดีในสถานการณ์ที่สิ้นหวังหรอกหรือ ไม่แน่ว่าหากข้ามิได้ประสบกับเรื่องเช่นนี้อาจจะยังไม่ประสบความสำเร็จเลยก็เป็นได้! เวลานั้นท่านและท่านพ่อต่างก็ตามใจข้าเป็นอย่างมาก!”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวมิได้เอ่ยคำใด
เฉิงฉือจึงกุมมือของมารดาเอาไว้ตลอดไม่ปล่อย
เนิ่นนาน ฮูหยินผู้เฒ่ากัวถอนหายใจออกมาครั้งหนึ่ง กล่าวขึ้นอย่างช่วยไม่ได้เล็กน้อยว่า “เจ้าเด็กคนนี้…ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นคนใจกว้างผู้หนึ่ง!”
เฉิงฉือหัวเราะร่า กล่าวเสียงเบาว่า “เช่นนั้นทางด้านแม่นางตระกูลฟางก็อย่าถือโทษเลย ปล่อยนางไปเถิด! ไม่คุ้มค่าที่จะลากตระกูลฟางลงน้ำไปด้วยเพียงเพื่อเรื่องของข้า”
หลีกเลี่ยงเรื่องที่ว่ายิ่งนานไปความขัดแย้งที่มีกับหยวนซื่อจะยิ่งหยั่งลึกมากขึ้นด้วย
แน่นอนว่าเขาไม่อาจพูดคำพูดประโยคนี้ออกมาต่อหน้ามารดาได้ ไม่อย่างนั้นหากฮูหยินผู้เฒ่าเกิดต่อต้านและดื้อดึงขึ้นมา เช่นนั้นจะเกลี้ยกล่อมอย่างไรก็กู่ไม่กลับแล้วเป็นแน่
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวชายตามองเขาครั้งหนึ่ง เอ่ยขึ้นว่า “เจ้ารู้อีกแล้วหรือ”
เฉิงฉือจึงกล่าวขึ้นอย่างทะเล้นว่า “เดิมทีข้าอยากจะเป็นดั่งกระดุมเสื้อของมารดา[1] แต่เมื่อออกมาเป็นบุรุษผู้หนึ่ง จึงได้แต่ต้องเป็นพยาธิในท้องของท่านเสียแล้ว…”
“เพ้ยๆๆ!” ฮูหยินผู้เฒ่ากัวหัวเราะพลางกล่าว “พยาธิในท้องอะไรกัน นับถือเจ้าจริงๆ ที่พูดออกมาได้! เจ้านี่น้า เล่นงิ้วต่อหน้าข้าให้มันน้อยๆ หน่อย แม้นข้าจะแก่แล้ว แต่สายตายังดีอยู่ อย่าคิดว่ามาทำเป็นเล่นตลกโปกฮาแล้วข้าจะลืมมันไป ข้ารู้ว่าเจ้าคิดอะไรอยู่ ก็คงกังวลว่าหยวนซื่อจะเคียดแค้นข้ากระมัง แต่หากหยวนซื่อไม่ยุยง ตระกูลฟางไม่รนหาที่ตาย ต่อให้อยากจะลงมือก็ไม่มีโอกาสหรอกกระมัง ในเมื่อพวกนางวิ่งโร่เข้ามาหาประโยชน์จากเรื่องนี้เอง ข้าจะทำให้พวกนางผิดหวังได้อย่างไรกัน” จากนั้นกล่าวอย่างเกลียดชังว่า “สิ่งที่ข้าเกลียดที่สุดในชีวิตก็คือคนที่คิดจะใช้อุบายกับข้า!”
เฉิงฉือมิได้กล่าวสิ่งใด
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวจึงนำชามดินเผาที่บรรจุหมากสีดำเอาไว้ไปวางลงตรงหน้าเฉิงฉือ กล่าวขึ้นว่า “เจ้าไม่ต้องสนใจเรื่องนี้แล้ว ข้ารู้ว่าข้ากำลังทำอะไรอยู่ เดิมทีคิดว่าจะให้พวกน้องสาวตระกูลกัวของเจ้ามารวมกลุ่มด้วย แล้วเลือกสักคนจากกลุ่มของพวกน้องสาวตระกูลกัวของเจ้าและเสาจิ่นมาเป็นภรรยาให้เจ้า จะได้หลีกเลี่ยงเรื่องที่ว่าทางนี้พวกเราเพิ่งจะแยกตระกูลไปหมาดๆ ก็ไปเอ่ยเรื่องสู่ขอที่ตระกูลโจวทางโน้นแล้ว ทำให้คนเห็นความผิดปกติอะไรได้ เพียงแต่ว่าหากเป็นเช่นนี้ชื่อเสียงของตระกูลกัวก็คงจะได้รับความเสียหายไปด้วยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ข้าก็รู้สึกคับอกคับใจหายใจไม่ออกเล็กน้อย ถึงได้ชะลอเรื่องนี้ไปเสีย ตอนนี้ได้โอกาสพอดี ได้ยกตระกูลกัวออกไป เรื่องแต่งงานของเจ้าก็ไม่ทำให้ผู้อื่นเกิดความสงสัย…เจ้าเร่งไปจัดการเรื่องหน้าที่การงานของเจ้าทางด้านโน้นให้เรียบร้อยเสีย ข้าคิดว่าเมื่อผ่านพ้นวันที่สิบห้าเดือนแปดก็ไปเกริ่นเรื่องสู่ขอที่ตระกูลโจวได้แล้ว!”
เฉิงฉือรู้อยู่แล้วว่าที่ฮูหยินผู้เฒ่าเก็บคุณหนูตระกูลฟางผู้นั้นเอาไว้ก็เพื่อจะสนับสนุนเสาจิ่น ตอนนี้ฮูหยินผู้เฒ่ากัวยอมรับอย่างตรงไปตรงมาเช่นนี้แล้ว จึงรู้ว่าฮูหยินผู้เฒ่ามีแผนการต่อเรื่องนี้แน่แล้ว จึงไม่อาจกล่าวอะไรมากอีก ได้แต่หวังว่าหยวนซื่อจะไม่เข้ามายุ่งวุ่นวายแล้วลากคุณหนูตระกูลฟางผู้นั้นลงน้ำไปด้วย
เดินหมากกับมารดาไปสองกระดาน เมื่อเห็นว่าเวลาไม่เช้าแล้ว เฉิงฉือจึงหาข้ออ้างหนึ่งกล่าวอำลาฮูหยินผู้เฒ่ากัวแล้วไปที่ซอยอวี๋เฉียน
วันที่สองหลังกลับจากไปคารวะฮูหยินผู้เฒ่ากัวหลี่ซื่อก็เลือกวันดีได้วันหนึ่งและเดินทางกลับเมืองเป่าติ้งไปเรียบร้อยแล้ว
ทางด้านซอยอวี๋เฉียนจึงมีโจวเสาจิ่นอยู่บ้านเพียงคนเดียว พ่อบ้านและบรรดาบ่าวชายที่เฝ้าเวรยามอยู่หน้าประตูล้วนเป็นคนของเฉิงฉือทั้งสิ้น เมื่อเห็นเฉิงฉือมา ก็ย่อมไม่มีเหตุอันใดให้ต้องขวางเอาไว้ พวกบ่าวชายวิ่งไปแจ้งที่ประตูชั้นใน ส่วนพ่อบ้านก็เดินเข้าไปด้านในเป็นเพื่อนเฉิงฉือ
โจวเสาจิ่นคิดว่าใกล้จะถึงเทศกาลไหว้พระจันทร์แล้ว จึงหมักสุราดอกกุ้ยฮวาด้วยตัวเองหลายไห กำลังชิมรสชาติของสุราอยู่ในห้องขนาบข้างที่เก็บสุรากุ้ยฮวาเอาไว้ พอได้ยินสาวใช้เด็กมารายงาน ยังไม่ทันได้วางจอกสุราในมือลง เฉิงฉือก็เดินเข้ามาก่อนแล้ว
“เหตุใดถึงนึกจะหมักสุราดอกกุ้ยฮวาได้เล่า” เขาเดินเข้ามาในเรือนหลักก็ได้กลิ่นหอมอ่อนๆ ของสุราดอกกุ้ยฮวาแล้ว
โจวเสาจิ่นรู้สึกกระดากอายเล็กน้อย กล่าวขึ้นว่า “มิใช่ว่าใกล้จะถึงเทศกาลไหว้พระจันทร์แล้วหรอกหรือ ของขวัญสำหรับเทศกาลไหว้พระจันทร์นั้นคงไม่อาจหาซื้อมาจากตลาดทั้งหมดทุกอย่างหรอกกระมัง เมื่อก่อนข้าเคยหมักสุราดอกกุ้ยฮวามาก่อน ทุกคนต่างบอกว่ารสชาติดี ประจวบเหมาะกับที่ปีนี้ดอกกุ้ยฮวาบานสะพรั่ง ข้าก็เลยหมักสุราอีกสองสามไห มิใช่ของหายากอะไร เป็นการแสดงน้ำใจครั้งหนึ่งก็เท่านั้น”
เฉิงฉือฟังแล้วรู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก
เสาจิ่นมีนิสัยอ่อนโยน ทั้งยังเป็นคนเงียบๆ เก็บเนื้อเก็บตัว เดิมทีเขาไม่ได้คาดหวังว่านางจะครองเรือนได้ แต่นางคิดเรื่องการเข้าสังคมกับผู้อื่นเช่นนี้ได้ รู้จักไปมาหาสู่กับบรรดาญาติสนิทมิตรสหายของครอบครัวเป็นครั้งคราวเช่นนี้ได้ เขาเป็นคนกลางช่วยไกล่เกลี่ยให้ทั้งสองฝั่งอีกสักหน่อย เรื่องต้องเข้าสังคมนี้ก็จะผ่านพ้นไปได้ด้วยดีเป็นแน่
“เอ๋!” เขาทำท่าทางกึ่งไม่เชื่อพลางกล่าวยิ้มๆ ว่า “เจ้าหมักสุราดอกกุ้ยฮวาเป็นด้วยหรือ คิดไม่ถึงเลยจริงๆ!”
โจวเสาจิ่นเม้มปากหัวเราะ
ท่านน้าฉือมักจะชอบเย้าแหย่ให้นางมีความสุข
แน่นอนว่าเขามิได้ไม่เชื่อว่านางหมักสุราเป็น ก็แค่อยากจะทำให้ตนดีใจเท่านั้น
นางจึงตักสุราจอกเล็กๆ ยื่นส่งให้เฉิงฉือ “ท่านน้าฉือ ท่านลองชิมดูว่ารสชาติดีหรือไม่”
เฉิงฉือจิบไปคำหนึ่ง
ใช้สุราของจินหวาหมักโดยเติมดอกกุ้ยฮวาสีทองและดอกกุ้ยฮวาสีเงินเข้าไป เมื่อจิบเข้าปากแล้วยังคงเป็นรสชาติที่ติดลิ้นนานของสุราจินหวา เพียงแต่ว่าจะได้กลิ่นหอมของดอกกุ้ยฮวาสีทองและดอกกุ้ยฮวาสีเงินอย่างชัดเจน
“ไม่เลว!” เฉิงฉือกล่าวยิ้มๆ “ท่านแม่ชอบสุราจินหวา ก็น่าจะชอบสุราดอกกุ้ยฮวาเช่นกัน”
โจวเสาจิ่นได้ยินแล้วก็ยิ้มตาหยีจนเป็นพระจันทร์เสี้ยว ลากเฉิงฉือไปดูสุราดอกกุ้ยฮวาที่นางฝังเอาไว้หลังลานบ้าน “…เป็นสุราข้าวหมากที่ข้าหมักขึ้นมาเอง เติมน้ำตาลกรวด ลำไยและพุทราจีนไปด้วย เป็นสุราดอกกุ้ยฮวาสีทองสิบไห สุราดอกกุ้ยฮวาสีเงินสิบไห สุราดอกกุ้ยฮวาสีแดงสิบไห และยังมีอีกยี่สิบไหที่ใช้สุราเกาเหลียงหมัก สุราข้าวหมากเอาไว้ดื่มตอนเทศกาลไหว้พระจันทร์ปีหน้า ส่วนสุราเกาเหลียงฝังเอาไว้ห้าถึงหกปีค่อยนำออกมา ถึงเวลานั้นข้าจะทำนกพิราบหมักสุราตากลมให้ท่านน้าฉือแกล้มสุรา”
สาวน้อยของเขาเป็นเสมือนกับเรือลำน้อยที่แล่นมาอย่างยาวนาน ที่สุดท้ายก็ได้หยุดอยู่ที่ท่าเรือของเขาแล้ว
ถึงกับฝังสุราไว้ใต้ดิน ยังบอกด้วยว่าห้าปีหลังจากนี้ค่อยนำออกมา…
เฉิงฉือมองนางยิ้มๆ


VERIFYCAPTCHA_LABEL
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยามดอกวสันต์ผลิบาน