ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกวักมือเรียกโจวเสาจิ่นและฟางเซวียนเข้าไปหา มือหนึ่งจับโจวเสาจิ่นเอาไว้ อีกมือหนึ่งจับฟางเซวียนเอาไว้ รอยยิ้มอบอุ่นและรักใคร่นั้นมองโจวเสาจิ่นครั้งหนึ่ง แล้วก็มองฟางเซวียนครั้งหนึ่ง จากนั้นกล่าวกับคนในห้องว่า “พวกเจ้าดูแม่นางน้อยสองคนนี้ งดงามประหนึ่งน้ำค้างยามเช้าและไข่มุกล้ำค่าก็ไม่ปาน ทำให้คนเห็นแล้วรู้สึกเบิกบานมีความสุข”
สีหน้าของฮูหยินรองฟางพลันเปลี่ยนเป็นแข็งค้างขึ้นมาเล็กน้อย
โจวเสาจิ่นนั้นได้ชื่อว่าเป็นคนงดงาม เพียงได้เห็นนางเป็นครั้งแรก ไม่มีผู้ใดที่ไม่เหลียวหลังมองเป็นครั้งที่สอง ฟางเซวียนเองก็งดงาม แต่ถ้ามายืนอยู่ตรงหน้าโจวเสาจิ่น ความงามนั่นก็ดูจะไม่เพียงพอขึ้นมาเล็กน้อย
นี่ฮูหยินผู้เฒ่ากำลังชมฟางเซวียนหรือว่ากำลังเหน็บแนมฟางเซวียนกันแน่
ฮูหยินรองฟางกล่าวพึมพำอยู่ในใจ
ฟางเซวียนมีสีหน้าไม่น่ามองเล็กน้อย
ฮูหยินผู้เฒ่าอยากชมโจวเสาจิ่นก็กล่าวชมโจวเสาจิ่นไปก็พอแล้ว เหตุใดต้องลากนางเข้าไปเป็นตัวเปรียบเทียบให้โจวเสาจิ่นด้วย
คนที่เข้ามาอยู่ในห้องนี้ได้ไม่มีสักคนที่มิใช่คนเฉลียวฉลาด
สถานะของฮูหยินผู้เฒ่ากัวก็โดดเด่นไม่ธรรมดา จะมีผู้ใดไร้แววกล้าไปแก้ไขฮูหยินผู้เฒ่ากัวกัน
ทุกคนต่างหัวเราะร่า พากันกล่าวชมว่าโจวเสาจิ่นและฟางเซวียนนั้นงดงาม ทว่าสายตากลับค้างอยู่ที่ร่างของโจวเสาจิ่นกว่าหลายอึดใจอย่างห้ามไม่อยู่
โจวเสาจิ่นถูกจ้องสำรวจด้วยสายตาของทุกคนเช่นนี้ ทำให้รู้สึกอึดอัดเล็กน้อย แต่นางเป็นคนรู้ความและเชื่อฟังมาโดยตลอด ไม่ว่าฮูหยินผู้เฒ่ากัวทำเช่นนี้ไปด้วยเหตุผลอะไร นางก็พร้อมยอมรับอยู่เงียบๆ ทั้งสิ้น ดังนั้นตอนที่สายตาของทุกคนตกอยู่บนร่างของนางนั้น นางพยายามทำให้รอยยิ้มของตัวเองดูงดงามอ่อนหวาน อย่างเป็นธรรมชาติ กิริยาท่าทางมั่นใจเป็นตัวของตัวเอง และพูดจาอบอุ่นอ่อนโยนให้ได้มากที่สุด ไม่ให้เสียชื่อที่ฮูหยินผู้เฒ่ากัวเคยให้การชี้แนะสั่งสอนนางมาก่อน
มีฮูหยินหลายท่านที่มองแล้วลอบพยักหน้าเงียบๆ กระทั่งมีคนแอบไปสอบถามหยวนซื่อด้วยว่าโจวเสาจิ่นหมั้นหมายหรือยัง
หยวนซื่อเห็นเช่นนั้นก็ดีใจเป็นอย่างยิ่ง กล่าวชมโจวเสาจิ่นเป็นอย่างดีไปครั้งหนึ่ง คล้ายกับว่าหากมิใช่เพราะเฉิงสวี่หมั้นหมายกับคุณหนูใหญ่ตระกูลหมิ่นเอาไว้เนิ่นนานแล้วล่ะก็ นางก็คงจะสู่ขอโจวเสาจิ่นให้เฉิงสวี่ไปแล้วก็ไม่ปาน บวกกับที่ฮูหยินหลายท่านเหล่านั้นเห็นว่าโจวเสาจิ่นมีนิสัยอ่อนโยนอย่างที่หยวนซื่อกล่าวมาจริงๆ ต่างก็เลยสนใจด้วย เริ่มหันไปสนทนากับโจวชูจิ่น
โจวชูจิ่นตั้งตารอเป็นอย่างยิ่งยวดว่าเมื่อได้รับจดหมายของบิดาแล้วจะรีบหาคู่ครองที่เหมาะสมให้โจวเสาจิ่นสักคนโดยทันที จึงมีความอดทนอดกลั้นต่อคนเหล่านี้เป็นพิเศษ
ทุกคนล้วนเป็นคนฉลาดมีสายตาเฉียบแหลม เห็นเช่นนั้นก็ยิ่งกระตือรือร้นขึ้นมา ทำให้โจวเสาจิ่นรู้สึกอึดอัดยิ่ง หลบอยู่ด้านหลังของโจวชูจิ่นไม่พูดไม่จา ทุกคนก็เลยยิ่งรู้สึกว่านางบริสุทธิ์อ่อนหวาน ฟางเซวียนที่ดูอยู่รู้สึกหดหู่ใจ ไม่ง่ายเลยกว่าจะรอให้ถึงช่วงกล่าวคำอวยพรฮูหยินผู้เฒ่ากัว นางดึงแขนเสื้อแขนมารดาอยากจะกลับบ้านแล้ว
ฮูหยินรองฟางเองก็รู้สึกไม่สบายใจเช่นกัน แต่ก็คงไม่อาจจากไปเฉยๆ เช่นนี้หรอกกระมัง
นางกล่าวโน้มน้าวบุตรสาวอย่างอดทนว่า “เจ้าโตเป็นสาวแล้ว ควรจะรู้ว่าบนโลกใบนี้แม้จะเป็นดวงอาทิตย์ ดวงดารายังไม่หมุนล้อมรอบมันเลย แล้วเหตุใดด้วยเรื่องเพียงเล็กน้อยนี้ก็ร้องจะกลับบ้านแล้ว นี่เป็นงานเลี้ยงเฉลิมฉลองวันคล้ายวันเกิดของฮูหยินผู้เฒ่ากัว ต่อไปเมื่อเจ้าแต่งงานมีครอบครัวฝั่งสามีแล้ว พอได้ยินคำพูดที่ไม่เข้าหูของแม่สามีเพียงประโยคเดียวก็อยากจะแยกทางกับสามีแล้วอย่างนั้นหรือ”
นางตามใจบุตรสาวจนเสียคนแล้วจริงๆ นางต้องหาโอกาสพูดคุยกับบุตรสาวดีๆ สักครั้งถึงจะใช้การได้
ฟางเซวียนได้แต่ต้องกัดฟันทนอยู่ต่อไป พลางมองฮูหยินหลี่ผู้นั้นมองสำรวจโจวเสาจิ่นด้วยใบหน้าแต้มยิ้มไม่หยุด
มีสาวใช้เด็กเข้ามารายงานว่า “ฮูหยินผู้เฒ่า นายท่านทั้งหลายมาอวยพรท่านแล้วเจ้าค่ะ!”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวนั่งยิ้มเบิกบานอยู่บนตั่งหลัวฮั่นของห้องโถง นอกจากฮูหยินผู้เฒ่าสองสามคนแล้ว สตรีคนอื่นๆ ต่างทยอยกันหลบเลี่ยงออกไป
เฉิงฉือเดินตามพี่ชายทั้งสองคนของตัวเองเข้ามา
อาจเพราะว่าเป็นวันคล้ายวันเกิดของฮูหยินผู้เฒ่ากัว เขาจึงสวมชุดจื๋อตัวสีแดงเข้มลายใบไผ่ตัวหนึ่ง เส้นผมดำขลับนั้นใช้ปิ่นหยกขดพันเอาไว้ ด้ายสีทองบนถุงหอมผ้าไหมสีน้ำตาลอ่อนปักลายมัจฉาคู่ที่ห้อยอยู่ตรงบริเวณเอวนั้นเปล่งแสงเป็นประกายบ่อยๆ อากัปกิริยาสง่างาม รูปลักษณ์หล่อเหล่า
นัยน์ตาของโจวเสาจิ่นแน่นิ่งไปครู่หนึ่งอย่างช่วยไม่ได้
นางไม่ได้เจอท่านน้าฉือมาระยะหนึ่งแล้ว
เขายังเป็นเหมือนเดิม
ไม่สิ…ดูดี…และหล่อเหลากว่าเมื่อก่อนเสียอีก...
โจวเสาจิ่นจึงมองเฉิงฉืออย่างโง่งมอยู่อย่างนั้น คล้ายกับว่าผู้คนในห้องโถงนี้ต่างมลายหายตัวไปแล้วทั้งสิ้น นางมองเห็นแต่เขา นางเห็นเพียงเขาเท่านั้นก็ไม่ปาน กลับไม่สังเกตเห็นเฉิงสวี่ที่เดินตามหลังเฉิงฉือเข้ามาด้วยแม้แต่นิดเดียว
โจวชูจิ่นทั้งร้อนใจและโมโหมากจริงๆ
โชคดีที่นางระวังเอาไว้จึงมายืนอยู่ข้างๆ ฉากกั้น ทว่ากลับลืมไปว่าแค่ผ้าม่านเปิดออกเบาๆ ก็มองเห็นภาพเหตุการณ์ในห้องโถงได้แล้ว
นางลอบหยิกแขนโจวเสาจิ่นเบาๆ กระซิบเตือนสตินางเสียงเบาว่า “เจ้าช่วยระวังกิริยาสักหน่อย ระวังจะถูกผู้อื่นมองระแคะระคายอะไรออกมาได้” จากนั้นก้าวออกไปด้านหน้าสองสามก้าว ยืนบังโจวเสาจิ่นเอาไว้ด้านหลัง
โจวเสาจิ่นกระดากอาย เก็บสีหน้ากลับมาทว่าก็ยังอยากจะมองออกไปข้างนอกอีกอย่างห้ามตัวเองไม่อยู่
โจวชูจิ่นกลับค้นพบว่าฮูหยินรองฟางและฟางเซวียนก็ยืนอยู่ข้างๆ ฉากกั้นไม่ไกลจากพวกนาง เหลือบตามองเล็กน้อย ก็มองเห็นคนที่เข้ามาอวยพรฮูหยินผู้เฒ่ากัว และดวงตาดอกท้อของฟางเซวียนก็เบิกกว้างขึ้น ไม่รู้ว่าเห็นเรื่องอะไรที่ทำให้นางประหลาดใจขนาดนั้น
นางอดไม่ได้เขย่งเท้าขึ้นยืดคอยาวมองไปตามสายตาของฟางเซวียน
โจวชูจิ่นเห็นเฉิงฉือ…แล้วก็เฉิงสวี่
เฉิงสวี่ดูเงียบขรึมขึ้นมาก ดวงตาที่เคยเปล่งประกายสดใสนั้นพลันเปลี่ยนเป็นสงบเสงี่ยมขึ้นมา ราวกับว่าได้ผ่านประสบการณ์ชีวิตบางอย่างมา ฉับพลันก็เติบโตเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมากในบัดดล
ความจริงแล้วโจวชูจิ่นรู้สึกรังเกียจเดียดฉันท์เขาเป็นอย่างยิ่ง แต่เมื่อเห็นสภาพของเขาในเวลานี้แล้ว ไม่รู้เพราะเหตุใด กลับรู้สึกเห็นใจอยู่รางๆ
นางลอบถอนหายใจครั้งหนึ่ง
ไม่รู้ว่าฟางเซวียนมองเห็นผู้ใดกันแน่ เหตุใดต้องประหลาดใจเช่นนั้นด้วย…ถ้าหากนางถูกใจเฉิงฉือก็คงจะดี ด้วยความสัมพันธ์ระหว่างตระกูลเฉิงและตระกูลฟางแล้ว นี่ถือว่าเป็นงานแต่งที่เหมาะสมกันคู่หนึ่ง
เหตุใดบิดาถึงยังไม่ตอบจดหมายของนางอีกนะ
หรือว่าจดหมายจะส่งไปไม่ถึง?
โจวชูจิ่นรู้สึกกระวนกระวายใจ

VERIFYCAPTCHA_LABEL
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยามดอกวสันต์ผลิบาน