“นี่ก็จริง!” สือควนกล่าวยิ้มๆ “ได้ยินว่าหยางโซ่วซานโยกย้ายแรงงานไปหนึ่งแสนคน เตรียมจะขุดลอกแม่น้ำเหลือง หากน้องจื่อชวนออกจากสำนักข้าหลวงฝ่ายจัดการน้ำในเวลานี้ เกรงว่าจะไม่ค่อยสมเหตุสมผลนัก”
เฉิงฉือกล่าวยิ้มๆ ว่า “แรงงานหนึ่งแสนคนเป็นเรื่องที่โยกย้ายกันได้ง่ายขนาดนั้นเชียวหรือ นอกจากนี้ถึงแม้ฤดูหนาวปีนี้จะหนาวเย็น ทว่าเป็นปีอธิกมาสเดือนสี่ เกรงว่าฤดูใบไม้ผลิจะมาถึงเร็ว แรงงานหนึ่งแสนคนยังไปไม่ถึงแม่น้ำเหลือง ก็ใกล้จะถึงฤดูหว่านไถแล้ว…”
สือควนได้ยินแล้วอดขมวดคิ้วมุ่นไม่ได้ กล่าวขึ้นว่า “คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะเข้าใจการคำนวณปฏิทินด้วย!”
“เป็นเพียงงานอดิเรกเท่านั้นขอรับ!” เฉิงฉือกล่าวยิ้มๆ อย่างไม่ใส่ใจนัก “แล้วก็ไม่ได้คำนวณได้แม่นยำอะไรเท่าไรนัก”
สือควนกล่าว “น้องจื่อชวนอยากเอาตัวเองออกมาจากเรื่องนี้หรือไม่”
“มิใช่ว่าอยากเอาตัวเองออกมาหรอกขอรับ” เฉิงฉือรินสุราให้สือควนอีกจอกหนึ่ง พลางกล่าว “เนื่องจากข้าได้รับการฝากฝังจากขุนนางใหญ่ซ่ง อย่างไรก็ไม่อาจทำให้เขาเสียน้ำใจในครั้งนี้ได้ เพียงแต่ว่าหยางโซ่วซานเพิ่งจะมารับงานต่อจากกู๋จิ่งอวี้ อยากจะสร้างบรรยากาศใหม่ๆ ขึ้นมา ค่อนข้างรีบร้อนเกินไปเล็กน้อย ซึ่งมิใช่ช่วงเวลาที่ดีนัก ข้าจึงอยากจะหลบเลี่ยงทิศทางลมนี้สักหน่อยก็เท่านั้น”
ความหมายโดยนัยก็คือ หยางโซ่วซานผู้นี้ดื้อรั้นหัวแข็ง ไม่ดูแลการขุดลอกแม่น้ำเหลืองในครั้งนี้ให้ดี
สือควนครุ่นคิด กล่าวขึ้นว่า “มิใช่ว่าขุนนางใหญ่หยวนเป็นญาติของพวกเจ้าหรอกหรือ เจ้าลองเดินอยู่ในเส้นสายของขุนนางใหญ่หยวนดูก็ได้นี่นา!”
เฉิงฉือยิ้มขื่น กล่าวขึ้นว่า “ขุนนางใหญ่หยวนไม่ลงรอยกับขุนนางใหญ่ซ่งขอรับ!”
สือควนได้ยินแล้วสีหน้าดูไร้ทางออกเล็กน้อยเช่นกัน ครุ่นคิดครู่หนึ่ง กล่าวขึ้นว่า “หรือไม่ ข้าช่วยเป็นด้ายประสานให้เจ้าสักเส้นดีหรือไม่ หวังจ้วนรองเจ้ากรมขุนนางกับข้าเคยติดต่อกันอยู่บ้าง มิสู้ไปหาเขาดู หาข้ออ้างหนึ่งโยกย้ายเจ้ากลับมาก่อน รอให้ถึงฤดูใบไม้ผลิ งานที่แม่น้ำเหลืองก็เหลือไม่มากแล้ว เจ้าค่อยไปจี่หนิงตอนนั้นก็ยังไม่สาย อย่างไรเสียเจ้าก็ได้รับแต่งตั้งให้เป็นที่ปรึกษาฝ่ายจัดการน้ำกรมโยธา ก็เป็นอะไรที่สมเหตุสมผล” กล่าวถึงตรงนี้ เขาตบหน้าผากตัวเองแรงๆ ครั้งหนึ่ง กล่าวขึ้นว่า “ข้านึกออกแล้ว หลายปีมานี้ดอกบัวที่ราชอุทยานหลวงไท่เย่ฉือล้วนบานได้ไม่ค่อยดีนัก คนของสำนักดูแลพระราชวังให้คนของฝ่ายจัดสรรและดูแลทิวทัศน์ไปดูแล้ว บอกว่าต้องทำความสะอาด องค์ฮ่องเต้ทรงเตรียมจะให้กรมโยธามาเป็นผู้รับผิดชอบงานนี้ ข้าว่าเจ้ามิสู้ใช้โอกาสนี้เป็นข้ออ้างกลับเมืองหลวงมาจัดการเรื่องนี้สักครั้งหนึ่ง” ขณะที่กล่าว เขาก็กดเสียงต่ำลง เอ่ยว่า “อาจจะทรงให้องค์รัชทายาทมาควบคุมดูแล และให้พระราชนัดดาพระองค์โตมาเป็นผู้ช่วย”
เฉิงฉือมิสนใจ
นับตั้งแต่ที่รู้ว่าชาติก่อนตระกูลเฉิงถูกองค์ฮ่องเต้สั่งลงทัณฑ์ทั้งตระกูลเป็นต้นมา ในใจของเขาก็อัดแน่นไปด้วยความขุ่นเคืองหนึ่งมาโดยตลอด
ตระกูลเฉิงไม่มีทางคิดคดเป็นกบฏได้
องค์ฮ่องเต้ทำให้ตระกูลเฉิงไร้ผู้สืบทอดสกุล นั่นเป็นเรื่องไม่ถูกต้อง
เขากล่าวยิ้มๆ ว่า “หลักๆ แล้วข้าเพียงอยากจะหลีกเลี่ยงการขุดลอกแม่น้ำเหลืองในครั้งนี้เท่านั้น ส่วนเรื่องอื่นข้าไม่ได้คิดอะไรมากขนาดนั้น”
สือควนมองสำรวจเฉิงฉืออย่างละเอียด รู้สึกว่าเขาไม่ผิดจากที่เคยได้ยินมาจริงๆ รู้สึกยกย่องชื่นชมอยู่ในใจเป็นอย่างยิ่ง กล่าวขึ้นว่า “น้องจื่อชวนช่างเป็นผู้ทรงคุณธรรมจริงๆ”
เฉิงฉือกล่าวยิ้มๆ ว่า “ผู้ทรงคุณธรรมกับผู้ไร้คุณธรรมก็ห่างกันเพียงหนึ่งเส้นบางๆ กั้นเท่านั้น เวลานี้ข้าปรารถนาจะให้เวลากับที่บ้าน จึงเป็นธรรมดาที่จะได้เป็นผู้ทรงคุณธรรม แต่ถ้าเวลานี้ข้าอยากจะให้หน้าที่การงานราบรื่น คงไม่แคล้วได้เป็นผู้ไร้คุณธรรมไปแล้ว!”
สือควนชื่นชมเป็นอย่างยิ่ง ยกจอกสุราขึ้นแสดงความนับถือต่อเฉิงฉือ กล่าวขึ้นว่า “น้องจื่อชวนมีจิตใจกว้างขวาง ข้าเทียบไม่ได้จริงๆ เรื่องกลับเข้าเมืองหลวงของเจ้า ก็ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของข้าก็แล้วกัน”
น้ำเสียงการพูดดูมั่นใจยิ่งนัก
แววตาของเฉิงฉือสว่างวาบ นั่งอยู่ที่ร้านเหล้าเล็กๆ ท้ายซอยแห่งนั้นกับสือควนไปเกือบจะหนึ่งชั่วยาม ดื่มและพูดคุยกันจนลิ้นพันกันเล็กน้อยแล้ว ถึงได้นำเอาสุราที่เหลืออยู่ทั้งสองขวดมอบให้สือควนทั้งหมด ทั้งสองคนเดินเรียงหน้าคนหนึ่งหลังคนหนึ่งออกมาจากร้านเหล้าเล็กๆ แห่งนั้น สือควนนั่งเกี้ยวออกไปจากหน้าประตู ส่วนเฉิงฉือขึ้นรถม้าคันหนึ่งที่จอดอยู่ไม่ไกลจากท้ายซอยแห่งนั้น แต่เมื่อเขาขึ้นมาบนรถม้าแล้ว แววตาที่ดูเมามายเล็กน้อยนั้นก็พลันกระจ่างใสขึ้นมาในทันที สั่งการไหวซานที่รออยู่ในรถม้าเป็นเวลานานนั้นให้เตรียมกระดาษและหมึก นั่งเขียนจดหมายแผ่นหนึ่งอยู่บนรถม้าแล้วส่งให้ไหวซาน ให้เขานำไปส่งให้โจวเสาจิ่น
ไหวซานไม่กล้าชักช้า ถือกระดาษไปที่ซอยอวี๋เฉียนอย่างรีบร้อน นำไปส่งให้ซางมามา
โจวเสาจิ่นเปิดออกอ่านครั้งหนึ่ง เฉิงฉือถามนางว่ารู้จักหวังจ้วนหรือไม่ ท้ายที่สุดแล้วคนผู้นี้ได้ดำรงตำแหน่งอะไร
นางครุ่นคิดอย่างละเอียด บอกเฉิงฉือไปว่า หลังจากที่ฮ่องเต้พระองค์ใหม่เถลิงราชย์แล้ว หวังจ้วนก็ได้เข้าดำรงตำแหน่งแทนชวีหยวนผู้เป็นเจ้ากรมโยธาและที่ปรึกษาประจำพระที่นั่งจิ่นเซินคนก่อนอย่างรวดเร็ว ขึ้นมาเป็นสมาชิกราชเลขาธิการและที่ปรึกษาระดับสูงคนใหม่ในราชสำนัก ส่วนบุตรชายของเขาถูกดึงตัวจากสำนักฮั่นหลินไปเป็นหัวหน้าฝ่ายดูแลทรัพย์สินยศขั้นห้าล่าง มีครั้งหนึ่งที่หลินซื่อเซิ่งและผู้อื่นเคยรับงานของพิธีล่าสัตว์ด้วยกันครั้งหนึ่ง ตอนวางใบเสร็จคิดค่าใช้จ่ายต้องไปหาบุตรชายของหวังจ้วนเพื่อประทับตรา ด้วยเหตุนี้ยังส่งสร้อยไข่มุกที่มุกแต่ละเม็ดมีขนาดใหญ่เท่านิ้วโป้งสองชั้นไปให้เส้นหนึ่งด้วย ตอนนั้นเองนางถึงได้รู้ว่าหัวหน้าฝ่ายดูแลทรัพย์สินคือบุตรชายของหวังจ้วน นอกจากนี้ หลังจากที่ตระกูลเฉิงถูกสั่งตรวจสอบแล้วนั้น เลี่ยวเส้าถังเคยไปขอร้องหยวนเหวยชาง แต่ถูกเขาปฏิเสธ คล้ายกับว่าเหตุผลที่ปฏิเสธจะบอกเป็นนัยว่าเขามิได้เป็นที่โปรดปรานขององค์ฮ่องเต้แล้ว หวังจ้วนอาจจะได้ขึ้นเป็นหัวหน้าราชเลขาธิการ ตัวเขาเองก็ไร้อำนาจจะปกป้องตัวเองเช่นกัน
เฉิงฉือได้รับกระดาษแล้วก็แสยะยิ้มเย็น
ฝ่ายดูแลทรัพย์สินนั้นรับผิดชอบดูแลทรัพย์สมบัติของพระราชวัง เครื่องรางของขลัง และตราประทับ ส่วนกรมโยธารับผิดชอบดูแลกำแพงเมืองการขุดลอกคูคลอง การก่อสร้างซ่อมแซม ช่างฝีมือกองทหารรักษาการณ์ และแม่น้ำคูคลองต่างๆ ทั่วใต้หล้า…กรมโยธาทำงานเสร็จแล้ว ต้องไปประทับตราที่ฝ่ายดูแลทรัพย์สิน จากนั้นถึงค่อยไปวางใบเสร็จคิดเงินกับกรมการคลัง บิดาควบคุมดูแลกรมโยธา บุตรชายควบคุมดูแลตราประทับ นี่ช่างเปรียบได้กับยื่นเงินของราชสำนักจากมือข้างซ้ายส่งไปให้มือข้างขวาเสียจริง ทุกอย่างล้วนขึ้นอยู่กับการคิดคำนวณของสองพ่อลูกคู่นี้ทั้งสิ้น
ถ้าหากหวังจ้วนผู้นี้มิใช่คนที่องค์ชายสี่ไว้ใจนั่นถึงจะเป็นเรื่องแปลก!
เฉิงฉือเผากระดาษที่โจวเสาจิ่นเขียนทิ้งไป
เขาให้ไหวซานนำของขวัญล้ำค่าไปเยี่ยมสือควน “…บอกว่าแทนน้ำใจที่ช่วยเหลือ เรื่องงานที่อุทยานหลวงตะวันตกนั้นให้ช่างมันเถิด ทำให้ข้าได้กลับมาพักผ่อนที่เมืองหลวงสักสองสามเดือน ได้จัดการเรื่องงานแต่งให้แล้วเสร็จได้พอดีนั่นต่างหากที่สำคัญกว่า”
เฉิงฉือถึงได้ไปอาบน้ำเปลี่ยนอาภรณ์ เตรียมตัวไปคารวะฮูหยินผู้เฒ่ากัว
ทว่าชิงเฟิงกลับเข้ามารายงานว่า “นายท่านสี่ นายท่านใหญ่เวิ่นได้ยินว่าท่านกลับมาแล้ว อย่างไรก็ต้องการขอพบท่านให้ได้ขอรับ…”


VERIFYCAPTCHA_LABEL
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยามดอกวสันต์ผลิบาน