ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนอดไม่ได้กอดโจวเสาจิ่นเอาไว้ด้วยความเป็นห่วง กระซิบถามนางเสียงเบาว่า “เจ้าเป็นอะไรไป ไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า”
โจวเสาจิ่นสูดลมหายใจเข้ายาวๆ สองครั้ง ถึงได้กล่าวขึ้นว่า “อาจเป็นเพราะอยู่ในห้องนานเกินไป ตอนนี้รู้สึกเวียนศีรษะเล็กน้อยเจ้าค่ะ”
ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนพยักหน้าอย่างคนที่คิดว่าน่าจะเป็นเช่นนั้นเหมือนกัน
พวกนางมาจากทางใต้ ล้วนไม่คุ้นชินกับอากาศของทางเหนือ เมื่ออยู่ในห้องนานเกินไปจะรู้สึกหายใจไม่ออก ต้องออกไปรับลมด้านนอกถึงจะดีขึ้น
นึกถึงว่าเรื่องที่นางควรพูดก็ได้พูดไปหมดแล้ว ที่เหลือนางดูด้วยตัวเองก็เข้าใจได้ ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนจึงกล่าวเสียงเบายิ้มๆ ว่า “เช่นนั้นเจ้าพักผ่อนก่อนเถิด! ข้าจะบอกชุนหว่านเอาไว้สักคำหนึ่ง ให้พวกนางอย่ามารบกวนเจ้า เจ้าดูไปคนเดียวเงียบๆ สักครู่หนึ่ง จากนั้นเก็บมันไว้ใต้หีบพกเอาไปด้วย”
ต่อไปเมื่อมีบุตรสาวแล้ว ก็จะได้เอาออกมาให้บุตรสาวใช้ได้อีก
โจวเสาจิ่นราวกับได้รับการพ้นโทษ ลุกขึ้นเดินออกไปส่งฮูหยินใหญ่เหมี่ยน
ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนกลับให้โจวเสาจิ่นพักผ่อนให้เร็วสักหน่อย “อย่าปล่อยให้ไม่สบายในวันงานแต่งวันนั้นเชียว เช่นนั้นคงวุ่นวายเป็นแน่”
โจวเสาจิ่นขานรับคำ ส่งฮูหยินใหญ่เหมี่ยนจนถึงม่านประตู มองส่งฮูหยินใหญ่เหมี่ยนเลิกม่านขึ้นเดินออกไปแล้ว ถึงได้หมุนตัวกลับเข้าไปในห้องนอน นั่งคิดอะไรเงียบๆ คนเดียวอยู่บนเตียง
นางควรจะทำอย่างไรดี
ควรจะบอกท่านน้าฉือดีหรือไม่
เมื่อความคิดวาบผ่าน นางนึกถึงความอบอุ่นตอนที่ท่านน้าฉือกอดนางและสีหน้าอบอุ่นของท่านน้าฉือยามกอดนางเอาไว้ขึ้นมา…
บางทีนางอาจจะทนได้ก็เป็นได้?
โจวเสาจิ่นอยากไปถามพี่สาวหรือไม่ก็เฉิงเจียดูสักหน่อยว่าผ่านคืนเข้าหอกันอย่างไร แต่ด้วยที่เป็นคนหน้าบาง เดินไปถึงข้างกายโจวชูจิ่นหลายต่อหลายครั้งแต่ก็พูดไม่ออก อีกทั้งโจวชูจิ่นก็วุ่นอยู่กับฮูหยินใหญ่เหมี่ยนเรื่องจัดแจงสั่งการพวกบ่าวรับใช้ยกสินเจ้าสาวของนางไปวางบนที่แบกหามมงคล ทั้งไม่มีเวลามาคุยกับนางและไม่ได้สังเกตเห็นความผิดปกติของนางด้วย ส่วนเฉิงเจียนั้นยิ่งไม่ต้องกล่าวถึง เดินทางไปที่ประตูเฉาหยางเรียบร้อยแล้ว
กลับเป็นกูที่สิบเจ็ดตระกูลกู้ที่สังเกตเห็นความผิดปกติของนาง แต่นางเข้าใจว่านั่นเป็นเพราะโจวเสาจิ่นใกล้จะได้เป็นเจ้าสาวคนใหม่แล้วนั่นเอง
ก่อนที่นางจะแต่งกับเฉิงอี้ ก็หวาดกลัวอยู่ไม่สุขไปหลายวันเหมือนกันมิใช่หรือ
หลังจากแต่งงานแล้ว นึกถึงประโยคที่ว่า ‘ไม่รู้รสชาติอาหารที่แม่สามีชอบ ให้น้องสาวสามีลองชิมดูก่อน’ ขึ้นมา หัวใจของนางก็ไม่สงบไปหลายวันเหมือนกันมิใช่หรือ
กูที่สิบเจ็ดตระกูลกู้เอ่ยเย้าโจวเสาจิ่นยิ้มๆ ว่า “เจ้าวางใจเถิด พวกข้าไม่ทำสินเจ้าสาวของเจ้าหล่นหายอย่างแน่นอน เจ้ารอแต่งเข้าไปอย่างสบายใจก็พอแล้ว ฮูหยินผู้เฒ่ากัวเห็นเจ้ามาตั้งแต่เล็ก ไม่อย่างนั้นก็คงไม่เลือกเจ้ามาเป็นบุตรสะใภ้หรอก คาดว่านางคงพึงพอใจในตัวเจ้าไม่น้อยเลยทีเดียว ต่อไปจะมีแต่คนมารักเจ้าเพิ่มขึ้นอีกคนเท่านั้น เจ้าน่ะ ทำใจให้สบายอย่างเดียวก็พอแล้ว รับรองว่าไม่มีเรื่องอะไรผิดพลาดอย่างแน่นอน”
ทุกคนต่างหัวเราะออกมาอย่างพร้อมเพรียงกัน มองโจวเสาจิ่นอย่างเอื้อเอ็นดู
โจวเสาจิ่นขัดเขินจนไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมา วิ่งหนีกลับไปที่ห้อง ไหนเลยจะกล้าไปพูดถึงเรื่องคืนเข้าหออีก
แต่ขณะที่ใจยังมีความหวาดกลัวเล็กน้อยอยู่นั้น ท่ามกลางการส่งสินเจ้าสาว การแต่งหน้าแต่งตัว คำเร่งเร้าเจ้าสาว และเสียงอึกทึกของผู้คนนั้น นางก็ถูกคนคล้องแขนเดินไปยังห้องโถง หันไปโขกศีรษะทำความเคารพเก้าอี้มีเท้าแขนที่ว่างเปล่าอยู่ แล้วถูกเฉิงอี้แบกขึ้นหลังไปส่งขึ้นเกี้ยวมงคล
ท่ามกลางเสียงประทัดที่ดังปึงปังนั้น น้ำตาของโจวเสาจิ่นพลันไหลรินออกมาอย่างกะทันหัน
กำลังจะแต่งงานแล้วจริงๆ!
นางจะได้แต่งงานกับเฉิงฉือแล้วจริงๆ!
แม้นจะเป็นเรื่องที่คาดการณ์ไว้อยู่แล้ว แต่เมื่อเกิดขึ้นจริงๆ แล้วกลับมีความรู้สึกเหมือนกับว่ามันมิใช่ความจริงขึ้นมา
โจวเสาจิ่นรีบดึงผ้าเช็ดหน้าที่ซ่อนอยู่ในแขนเสื้อออกมาเช็ดที่หางตาเบาๆ กลัวว่าจะทำให้เครื่องแต่งหน้าเลอะ ยิ่งไปกว่านั้นคือกลัวว่าจะเป็นลางร้าย
นางจะต้องผ่านไปได้ด้วยดีอย่างแน่นอน!
โจวเสาจิ่นลอบหยิกกำปั้นเล็กน้อย
ลงจากเกี้ยว เดินข้ามกระถางไฟ กราบไหว้ฟ้าดิน ถูกส่งเข้าไปในเรือนหอ
โจวเสาจิ่นเดินเข้าไปอย่างมั่นคง
ชาติก่อน นางเองก็เคยเดินมาก่อนแล้วครั้งหนึ่ง
เวลานั้นมีเพียงความหวาดหวั่นและสิ้นหวัง
นางไม่รู้ว่าอนาคตอยู่ที่ไหน
และก็ไม่รู้ว่าสิ่งที่ตัวเองเลือกนั้นถูกหรือผิด
ในใจของนางมีเพียงความคิดเดียว นั่นก็คือนางไม่อาจตกลงไปในหนองบึงที่เน่าเปื่อยจนกลายเป็นโคลนตม นางไม่อาจทำให้บิดาและพี่สาวต้องอับอายเพื่อนางไปตลอดกาลได้
แต่ว่าตอนนี้ ในใจของนางกลับเต็มไปด้วยความหวังที่มั่นคงและรู้สึกปลอดภัย
นางรู้ว่านางในตอนนี้อาจจะยังไกลห่างจากบุตรสะใภ้ที่ฮูหยินผู้เฒ่ากัวคาดการณ์เอาไว้มากโข แต่เพื่อเฉิงฉือแล้ว นางจะบากบั่นตั้งใจเรียนรู้จากฮูหยินผู้เฒ่ากัว จะรับเอาหน้าที่ดูแลเรือนของประตูเฉาหยางมาไว้ในมือ ให้เหมือนกับที่เฉิงฉือเคยทำเพื่อนางมาก่อนเช่นนั้น นางเองก็จะช่วยแบ่งเบาภาระให้เฉิงฉือ ให้เขาได้ดูแลรับผิดชอบการงานด้านนอกได้อย่างสบายใจ
ผ้าคลุมศีรษะสีแดงสดดิ้นทองถูกเลิกขึ้นด้วยไม้มงคล
นางเห็นดวงหน้าหล่อเหลาของเฉิงฉือ
ไม่ได้ผอมลงและก็มิได้คล้ำขึ้นด้วย
นัยน์ตาเป็นประกายสว่างสุกใส เจือความยินดีเต็มเปี่ยมเอาไว้
โจวเสาจิ่นพลันรู้สึกว่าความทุกข์ระทมของตัวเองก่อนหน้านี้ได้มลายหายไปจากตัวนางจนหมดสิ้นแล้ว
สิ่งที่นางอ้อนวอนร้องขอมาตลอดทั้งสองชาติภพ มิใช่ว่าขอให้มีดวงตาสักคู่หนึ่งที่มองนางอย่างอบอุ่น เอาใจใส่และมีความสุขเหมือนเช่นตอนนี้หรอกหรือ
มุมปากของโจวเสาจิ่นยกยิ้มขึ้น เผยรอยยิ้มอบอุ่นและอ่อนหวานหนึ่งออกมา
มีเสียงเจือรอยยิ้มของสตรีดังขึ้นภายในห้องว่า “วันนี้เจ้าสาวคนใหม่ช่างงดงามจริงๆ เจ้าค่ะ!”
โจวเสาจิ่นเงยหน้าขึ้น ก็เห็นสะใภ้สามตระกูลอู๋ผู้ทำหน้าที่เป็นผู้เปี่ยมไปด้วยพรทุกประการ
นอกจากนางแล้ว ภายในห้องหอยังมีสาวใช้อยู่ด้วยอีกสี่คน
หนึ่งในจำนวนนั้นมีเจินจูอยู่ด้วย ส่วนคนที่เหลือนั้นไม่คุ้นหน้ายิ่งนัก น่าจะเพิ่งเข้าจวนมาใหม่

VERIFYCAPTCHA_LABEL
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยามดอกวสันต์ผลิบาน