ชิวซื่อกลับไปเล่าให้เฉิงเว่ยฟัง เฉิงเว่ยฟังแล้วก็หัวเราะดังลั่น
เกิดเรื่องที่จี่หนิง น้องชายของเขาทํางานอยู่ที่จวนข้าหลวงฝ่ ายจัดการนํ้า อยู่สํานักฮั่น หลินมานานหลายปี เขาเป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตน ไม่แก่งแย่งชิงดีชิงเด่น จึงมีสหายอยู่บ้างไม่มาก ไม่น้อย แม้นข่าวคราวจะถูกขุนนางใหญ่ซ่งปิดข่าวเอาไว้ แต่ในราชสํานักนั้นปิดเบื้องบนไม่ปิด เบื้องล่างมาโดยตลอด จึงมีสหายแอบนําความมาบอกเขาอย่างลับๆ ในทางกลับกัน พี่ใหญ่นั้น เป็นคนตําแหน่งสูงส่ง ไม่มีคนกล้าไปพูดอะไรต่อหน้าเขา เกรงว่าเวลานี้คงยังไม่ทราบว่าเกิดเรื่อง อะไรขึ้นที่จี่หนิงกระมัง
กระทั่งตอนที่เขาคิดจะส่งจดหมายไปให้น้องชายสักฉบับก่อนนั้น ขุนนางใหญ่ซ่งก็ส่งคน ไปเมืองเป่าติ้งเรียบร้อยแล้ว
ไม่รู้ว่าขุนนางใหญ่ซ่งพูดอะไรกับน้องชายไปบ้าง น้องชายทั้งไม่ปรึกษาพี่ใหญ่และไม่ บอกเขาสักคําก็ตรงไปที่จี่หนิงแล้ว
ในเวลาคับขัน คนที่ส่งข่าวไปให้น้องชายมิใช่พี่ใหญ่กลับเป็นขุนนางใหญ่ซ่งแทน…
แม้นจะกล่าวว่าหยางโซ่วซานเป็นคนของขุนนางใหญ่ซ่ง แต่เรื่องเช่นนี้หากเก็บไปคิดมาก ล่ะก็ แปดถึงเก้าในสิบส่วนความสัมพันธ์ระหว่างพี่ชายน้องชายก็จืดจางลงได้เช่นกัน
เฉิงเว่ยรู้สึกว่าต่อไปตนคั่นอยู่ตรงกลางระหว่างพี่ชายและน้องชายก็คงทําตัวยาก เหมือนกัน!
เขากล่าวขึ้นว่า “อย่าสนใจเรื่องพวกนี้เลย ในเมื่อท่านแม่เอ่ยเรื่องแยกบ้านออกมาแล้ว เช่นนั้นไม่ว่าอย่างไรครอบครัวของพวกเราก็น่าจะต้องแยกบ้านจริงๆ เจ้าก็อย่าคิดมากเรื่องใน อนาคตอีกเลย มาตัดสินใจเรื่องบ้านของพวกเราก่อนดีกว่า เมื่อตกลงเรื่องแยกบ้านแล้วจะได้ย้าย
ออกไปได้ จะได้ไม่ต้องเข้าไปพัวพันกับเรื่องระหว่างพวกเขาสองบ้าน จะเข้าข้างฝ่ ายใดก็ไม่ดี ทั้งนั้น”
คําพูดนี้กล่าวได้ตรงใจชิวซื่อยิ่งนัก
นางพยักหน้าหงึก เช้าตรู่วันต่อมาตอนที่ไปคารวะฮูหยินผู้เฒ่ากัวนั้นจึงแอบไปดูบ้านสอง สามหลังกับพ่อค้าคนกลาง สุดท้ายถูกใจบ้านหลังหนึ่งที่อยู่ไม่ไกลจากประตูเฉาหยางนัก เป็น บ้านสามทางเข้าห้าเรือน ราคาหกพันเหลี่ยง เป็นบ้านของอดีตรองเจ้ากรมยุติธรรม เป็นเพราะ แบ่งทรัพย์สินกันไม่ลงตัวถึงได้ประกาศขาย เครื่องเรือนข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ ล้วนมอบให้ ทั้งหมด ชิวซื่อพึงพอใจเป็นอย่างยิ่ง กล่าวกับเฉิงเว่ยว่า “ข้าคิดว่าต่อไปท่านแม่จะต้องอยู่ที่ประตู เฉาหยางทางด้านโน้นอย่างแน่นอน บ้านหลังนี้อยู่ใกล้ประตูเฉาหยาง ต่อไปพวกเราไปคารวะ เยี่ยมเยียนท่านแม่ก็สะดวก เพียงแต่ว่าบ้านหลังนี้เร่งขาย เกรงว่าคงต้องชําระเงินเร็วสักหน่อยเจ้า ค่ะ”
ยังมีอีกข้อหนึ่งที่นางไม่ได้บอกสามี
เฉิงสวี่ของครอบครัวพี่ชายใหญ่เป็นคนเรียนหนังสือเก่ง อีกทั้งหน้าตายังหล่อเหลา ยาม อยู่ต่อหน้าเฉิงสวี่ เฉิงรั่งของพวกเขาไม่มีอะไรเทียบได้เลย ทว่าน้องสี่เพิ่งแต่งงานยังไม่มีบุตร ต่อไปหากมีบุตรแล้ว ต่อให้บุตรของเขาจะเรียนหนังสือเก่งเหมือนเฉิงสวี่ ทว่าเฉิงรั่งของพวกเขาก็ อาวุโสกว่า เป็นญาติผู้พี่ที่จริงใจและจิตใจดีผู้หนึ่งก็น่าจะพอเทียบเคียงกันได้ นางทั้งไม่อยากให้ บุตรชายไม่มีโอกาสเงยหน้าขึ้นยามอยู่ต่อหน้าเฉิงสวี่และไม่อยากให้ตัวเองเหมือนคนไม่สั่งสอน บุตรให้ดีทําให้มักจะทําอะไรผิดๆ อยู่ตลอดยามอยู่ต่อหน้าพี่สะใภ้ใหญ่ด้วย
เฉิงเว่ยกลับไม่ได้คิดอะไรมาก เพียงแค่รู้สึกไม่ค่อยสบายใจเรื่องที่ต้องชําระเงินให้บ้าน หลังนั้นในทันทีเพียงเท่านั้น
“พวกเราไม่ได้มีเงินมากขนาดนั้นอยู่ในมือ…” ที่ผ่านมาเขาไม่เคยทําการค้าเป็นของ ตัวเองมาก่อน เบี้ยรายเดือนก็ไม่ได้มากมาย สินเดิมของชิวซื่อก็มีเพียงสองถึงสามพันเหลี่ยง เท่านั้น “แต่ก็ไม่อาจไปบอกท่านแม่ว่าพวกเราหาบ้านได้เรียบร้อยแล้ว…” ดูเหมือนพวกเขาตั้งตา รอให้แยกบ้านก็ไม่ปาน
ชิวซื่อเองก็เป็นกังวลใจเช่นกัน
สองสามีภรรยานั่งหันหน้าเข้าหากันอยู่ครู่หนึ่ง เฉิงเว่ยกล่าวขึ้นว่า “หรือว่าเจ้าลองไปคุย กับน้องสะใภ้สี่ดูดีหรือไม่ ให้นางช่วยเอ่ยเรื่องนี้ต่อหน้าท่านแม่ดู…ข้าเห็นท่านแม่รักใคร่นาง เสมือนเป็นบุตรสาว ต่อให้พูดอะไรผิดไป คาดว่าท่านแม่ก็ไม่เก็บมาใส่ใจ”
“จะทําเช่นนั้นได้อย่างไรเจ้าคะ!” ชิวซื่อกล่าว “ท่านแม่มิใช่คนที่จะหลอกได้ง่ายดายเพียง นั้น แทนที่พวกเราจะให้น้องสะใภ้สี่ช่วยหยั่งเชิงดูท่าทีของท่านแม่ มิสู้ให้อาเซิงไปดีกว่า”
“อาเซิงหรือ!” เฉิงเว่ยประหลาดใจ
ชิวซื่อเห็นเช่นนั้นก็หัวเราะออกมา กล่าวว่า “เรื่องภายในเรือนชั้นในประเภทนี้ท่านอย่ายื่น มือเข้ามายุ่งเลย คอยดูข้าดีกว่า!”
เฉิงเว่ยหัวเราะร่า ไม่ถามอะไรเพิ่มอีกจริงๆ
ชิวซื่อเรียกเฉิงเซิงกลับมาหา เล่าที่มาที่ไปของเรื่องทั้งหมดให้นางฟังหนึ่งรอบ
เฉิงเซิงตกใจเป็นอย่างมาก ถามขึ้นว่า “ท่านย่าบอกว่าจะแยกบ้านจริงๆ หรือเจ้าคะ”
“ข้าจะหลอกเจ้าไปเพื่ออันใด!” ชิวซื่อกล่าว ตบที่มือของบุตรสาวเบาๆ ทอดถอนหายใจ กล่าวว่า “โชคดีที่ฝั่งบุตรเขยเป็นคนซื่อสัตย์สุจริตเชื่อถือได้ สนิทสนมกับบิดาของเจ้า ท่านลุงใหญ่ ของเจ้าจะเป็นขุนนางหรือไม่ หรือว่าจะเป็นขุนนางตําแหน่งอะไรก็ไม่ค่อยมีผลเกี่ยวข้องกับเจ้า มากนัก ไม่อย่างนั้นข้าไหนเลยจะกล้ารับปากท่านย่าของเจ้า”
เฉิงเซิงรู้สึกเศร้าใจเล็กน้อย
ชิวซื่อเกลี้ยกล่อมนางว่า “บางครั้งในหมู่พี่น้องก็ต้องคํานวณเงินทองให้ชัดเจนถึงจะยิ่ง สนิทสนมกันมากขึ้นได้”
เฉิงเซิงพยักหน้า หลังจากนั้นสองวันก็ไปคารวะฮูหยินผู้เฒ่ากัวพร้อมกับมารดา
โจวเสาจิ่นออกมาต้อนรับพวกนางสองแม่ลูกที่หน้าประตูชั้นในด้วยตัวเอง
เฉิงเซิงเห็นโจวเสาจิ่นเกล้าผมดุจเส้นไหมสีดําเอาไว้อย่างง่ายๆ มวยหนึ่ง ประดับดอกบัว คู่ทําจากผ้าไหมกลีบสีนํ้าเงินไพลินและเกสรสีเหลืองเอาไว้ ขับเน้นผิวขาวเนียนละเอียดที่ขาวยิ่ง กว่าหิมะของใบหน้าเล็กให้เด่นชัดยิ่งขึ้น ทุกท่วงท่าของการขยับเขยื้อนดูเกร็งน้อยลงหลายส่วน และดูสบายๆ เป็นธรรมชาติขึ้นหลายส่วน ทั้งร่างดูคล้ายกับดอกไม้ตูมที่พร้อมจะเบ่งบานและ ค่อยๆ เผยความงามและเสน่ห์ออกมาให้เห็นช้าๆ ก็ไม่ปาน อดไม่ได้ที่จะก้าวออกไปจับมือของโจว เสาจิ่นเอาไว้ กล่าวขึ้นว่า “ท่านอาสะใภ้เล็ก ไม่เจอไม่กี่วัน เจ้ายิ่งงดงามขึ้นอีกแล้ว” กล่าวอีกว่า “ดอกไม้ผ้านี้ซื้อมาจากที่ใดหรือ ทั้งแปลกใหม่และเป็นเอกลักษณ์”
โจวเสาจิ่นยิ้มอย่างขัดเขิน กล่าวขึ้นว่า “เจ้ารู้สึกว่ามันงดงามหรือ หลายวันมานี้อยู่ว่างๆ ไม่มีอะไรทําข้าและพวกสาวใช้ช่วยกันทําขึ้นมา หากเจ้าชอบ ที่ข้ายังมีสีแดงกุหลาบหนึ่งชิ้น สี ชมพูหนึ่งชิ้น และสี่เหลืองอ่อนอีกหนึ่งชิ้น เจ้าไปเลือกดูสักชิ้นได้!”
“ไอ้โหยว!” เฉิงเซิงกล่าวยิ้มๆ “ท่านอาสะใภ้เล็กทําของพวกนี้เป็นด้วย! เมื่อก่อนเจ้าไม่ ค่อยเที่ยวเล่นกับพวกข้าสักเท่าไรนัก คิดไม่ถึงว่าจะซ่อนความสามารถเอาไว้!”
ชิวซื่อฟังคําพูดไม่ให้เกียรติผู้อาวุโสนี้แล้ว รีบกล่าวตําหนิเสียงหนึ่งว่า “จะเรียก ‘ท่านอา สะใภ้’ ก็เรียก ‘ท่านอาสะใภ้’ เหตุใดยังต้องเพิ่มคําว่า ‘เล็ก’ คํานั้นลงไปด้วย ต่อไปไม่อนุญาตให้ พูดจาไม่ให้เกียรติผู้อาวุโสเช่นนี้อีก”
เฉิงเซิงหันไปแลบลิ้นให้โจวเสาจิ่น
โจวเสาจิ่นอยากบอกเหลือเกินว่า เจ้าเรียกข้าว่าเสาจิ่นเหมือนเมื่อก่อนเถิด แต่เมื่อนึกขึ้น ได้ว่าตอนนี้ตนเป็นภรรยาของเฉิงฉือ เป็นอาสะใภ้ของเฉิงเซิงแล้ว ดีที่ไม่ได้พูดประโยคนี้ออกไปให้ เป็นเรื่องน่าขบขันขึ้นมา

VERIFYCAPTCHA_LABEL
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยามดอกวสันต์ผลิบาน