หลังจากที่คนทั้งสี่รับประทานมื้อเที่ยงด้วยกันเสร็จแล้วก็ดื่มนํ้าชาพูดคุยกันครู่หนึ่ง กระทั่งดวงหน้าฮูหยินผู้เฒ่ากัวดูเหนื่อยล้าแล้ว เฉิงเซิงวางจอกชาลงยิ้มๆ พลางขยับไปตรงหน้าฮู หยินผู้เฒ่ากัว กล่าวกับโจวเสาจิ่นว่า “ท่านอาสะใภ้อยู่พูดคุยกับท่านแม่ของข้าที่นี่เถิด ไม่ง่ายเลย กว่าข้าจะได้มาหาสักครั้งหนึ่ง ให้ข้าได้แสดงความกตัญ�ู ปรนนิบัติท่านย่าไปพักผ่อนด้วยเถิด”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวได้ยินแล้วก็กล่าวหยอกเย้าขึ้นว่า “ไอโหยว! เจ้าคงไม่ได้ไปถูกใจข้าวของ อะไรของข้าเข้าหรอกกระมัง”
โจวเสาจิ่นหัวเราะน้อยๆ
ชิวซื่อหัวใจกระตุก
เฉิงเซิงแกล้งเล่นมุกตลก กล่าวยิ้มๆ ว่า “ต่อให้เป็นข้าที่ไปถูกใจข้าวของอะไรของท่านเข้า นั่นก็สมควรแล้ว ผู้ใดให้ท่านมีของดีมากมายกันเจ้าคะ!”
“ดูสิดู” ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกล่าวกับโจวเสาจิ่นและชิวซื่อยิ้มๆ “นี่กลายเป็นความผิดของข้าไป แล้ว!”
คนในห้องต่างหัวเราะดังลั่นอย่างพร้อมเพรียงกัน
สุดท้ายฮูหยินผู้เฒ่ากัวก็ให้เฉิงเซิงประคองเข้าไปในห้องชั้นใน รอยยิ้มของนางถึงได้จาง ลงเล็กน้อย กล่าวขึ้นว่า “ว่ามาเถิด ตกลงมีเรื่องอะไรกันแน่”
เฉิงเซิงเบิกตาโพลงมองฮูหยินผู้เฒ่ากัว “ท่านนี่น้า! ก็ข้อนี้แหละที่ไม่ดี เก่งกาจเกินไป! ทุก คนต่างไม่กล้าพูดอะไรต่อหน้าท่านกันไปหมดแล้ว! ผู้คนช่างกล่าวได้ดี ไม่โง่งมไม่หูหนวกบ้าง มิได้เป็นแม่สามี ท่านดูอย่างแม่สามีของข้า รู้จักแต่แสร้งเป็นคนโง่คนหูหนวก…”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวถูกเย้าแหย่จนทนต่อไปไม่ได้แล้ว หัวเราะออกมา พลางกล่าว “เจ้านี่น้า จะให้ข้าพูดอะไรดี”
“เช่นนั้นก็ไม่ต้องพูดอะไร” เฉิงเซิงยิ้มตาหยีกล่าว “ฟังข้าพูดก็พอเจ้าค่ะ”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวมองหลานสาวที่เกล้าผมของสตรีออกเรือนแล้วทว่ายังมีนิสัยเป็นเด็กสาว ตรงหน้า หัวใจอ่อนยวบลงมาอย่างอดไม่อยู่ ปล่อยให้นางประคองตนไปนั่งลงบนเตียง ยิ้มพลาง กล่าวเสียงอบอุ่นว่า “ได้ เจ้าว่ามา ข้าจะฟัง”
แววตาของเฉิงเซิงวูบไหวเล็กน้อย กล่าวขึ้นว่า “ข้าได้ยินท่านแม่พูดว่า พวกเราจะแยก บ้านกันหรือเจ้าคะ”
“พวกเราอะไรกัน” ฮูหยินผู้เฒ่ากัวเอ็ด “เจ้าแซ่เผิงแล้ว! ตระกูลเฉิงของพวกข้าแยกบ้าน เกี่ยวอะไรกับเจ้าด้วย”
เฉิงเซิงยู่ปากกล่าว “ก็ข้าได้ยินท่านแม่และท่านพ่อของข้าพูดอะไรทํานองว่าจะซื้อบ้านแต่ เงินไม่พอมิใช่หรือ ถามท่านแม่ของข้า ท่านแม่ของข้าก็ไม่ยอมบอกข้า ท่านเองก็ทราบว่าท่านแม่ ของข้าผู้นี้ไม่ค่อยฉลาดนัก แต่เรื่องใหญ่ขนาดนี้ หากมิใช่ท่านเอ่ยปากพูดกับนางด้วยตัวเอง นาง ไหนเลยจะมีความกล้าหาญมาคิดเรื่องพวกนี้ลับหลังกัน! ข้าไม่แน่ใจจึงมาถามความเห็นของท่าน ที่นี่…”
ขณะที่กล่าว ยังมองฮูหยินผู้เฒ่ากัวด้วยสายตาลําบากใจด้วยครั้งหนึ่ง
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวหัวเราะฮ่าออกมา กล่าวขึ้นว่า “เจ้าเองก็อย่ามาแสร้งไม่รู้เรื่องต่อหน้าข้า เลย บ้านหลังนั้นราคาเท่าไร ข้าจะให้หลี่ว์มามาไปหยิบเงินมาให้เจ้า”
“ท่านช่างรํ่ารวยจริงๆ!” เฉิงเซิงรู้สึกหมดคําพูด กล่าวว่า “หกพันเหลี่ยงเจ้าค่ะ!”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกล่าวยิ้มๆ ว่า “เจ้าอย่ามาทําตัวเกกมะเหรกต่อหน้าข้า เงินหกพันเหลี่ยงก็ ทําให้เจ้าตาลุกวาวได้แล้วหรือ”
เฉิงเซิงหัวเราะร่า คล้องแขนของฮูหยินผู้เฒ่ากัวเอาไว้ พลางกล่าว “นี่มิใช่ว่าอยากหยอก เย้าให้ท่านดีใจหรอกหรือ”
“เช่นนั้นก็ดี!” ฮูหยินผู้เฒ่ากัวลุกขึ้นมา กล่าวขึ้นว่า “มิใช่ว่าเจ้าอยากแสดงความกตัญ�ู ต่อข้าหรอกหรือ ช่วยเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ข้าก็แล้วกัน! ดูว่าเงินหกพันเหลี่ยงของข้านี้ทํางานได้ดี หรือไม่”
เฉิงเซิงทําหน้าทะเล้นประคองฮูหยินผู้เฒ่ากัวไปนั่งลงตรงหน้าคันฉ่อง พลางกล่าว “ทํางานได้ดีเจ้าค่ะๆ”
ด้านโจวเสาจิ่น พาชิวซื่อไปยังห้องข้างของนางห้องหนึ่งที่อยู่ด้านหลังลานทิงเซียง “…ข้า ให้พวกนางทําความสะอาดห้องข้างเอาไว้ตั้งแต่เช้าแล้ว ท่อทําความร้อนก็จุดเอาไว้ตลอด ประเดี๋ยวท่านก็พักผ่อนอยู่ที่นี่ครู่หนึ่ง รอท่านแม่ตื่นแล้ว จะมีสาวใช้มาแจ้งพวกเราเองเจ้าค่ะ”
ชิวซื่อกล่าวขอบคุณยิ้มๆ
โจวเสาจิ่นกล่าวต่อไปว่า “ต่อไปพี่สะใภ้รองคงได้มาอีกบ่อยๆ ข้าจะเก็บห้องข้างห้องนี้ เอาไว้ให้ท่าน” ขณะที่นางกล่าว สาวใช้เด็กข้างกายก็ผลักประตูห้องข้างเปิดออกและเลิกผ้าม่าน ขึ้น โจวเสาจิ่นจึงกล่าวอีกว่า “ท่านลองดูว่าต้องเพิ่มเติมอะไรอีกหรือไม่”
ชิวซื่อเห็นว่าห้องข้างห้องนั้นตกแต่งด้วยเครื่องเรือนสีดําเงา กระเบื้องเคลือบหลากสี ฟูก สีม่วงดอกติงเซียง ผ้าห่มสีแดงสด จัดเก็บได้อย่างสะอาดสะอ้านเรียบร้อย ตกแต่งได้อย่างสดใสมี ชีวิตชีวา ดอกล่าเหมยสีเหลืองตรงมุมห้องกระถางนั้นส่งกลิ่นหอมอ่อนๆ กําจายออกมาอีกทั้งยัง
เบ่งบานได้อย่างงดงามอุดมสมบูรณ์ยิ่ง คนเดินเข้าประตูมาก็สัมผัสได้ถึงความอบอุ่นสบายแล้ว อดกล่าวกับโจวเสาจิ่นไม่ได้ว่า “น้องสะใภ้สี่ ทําให้เจ้าต้องลําบากแล้ว”
“พี่สะใภ้รองชื่นชอบก็ดีแล้วเจ้าค่ะ” โจวเสาจิ่นกล่าว “ข้าจะไปนอนที่ห้องกั้นอุ่นทางด้าน โน้น ท่านมีเรื่องอะไรก็ให้สาวใช้ไปเรียกข้าได้”
ทั้งสองคนคุยกันสองสามประโยค ชุนหว่านก็ถือกล่องสีแดงสดลายเส้นสีทองกล่องหนึ่ง วิ่งเข้ามา เปล่งเสียงเรียก “ฮูหยินรอง” เสียงหนึ่ง แล้วกล่าวกับโจวเสาจิ่นว่า “ฮูหยินสี่ ดอกไม้ผ้า มาแล้วเจ้าค่ะ”
โจวเสาจิ่นยิ้มพร้อมกับยื่นส่งกล่องใบนั้นให้ชิวซื่อ กล่าวยิ้มๆ ว่า “ท่านมอบให้อาเซิงก็ แล้วกัน!”
นี่ก็นับว่าผู้ใหญ่ให้ของขวัญแล้ว ชิวซื่อครุ่นคิดพลางยิ้มออกมา เป็นตัวแทนรับของเอาไว้แทนเฉิงเซิง โจวเสาจิ่นคุยกับนางอีกสองสามประโยค แล้วจึงกล่าวขอตัว ชิวซื่อยิ้มขณะเปิดกล่องออก มีดอกไม้ผ้าสามดอก สีแดงกุหลาบหนึ่งชิ้น สีชมพูหนึ่งชิ้น และสีเหลืองอ่อนหนึ่งชิ้น ชิวซื่อใจลอยไปครู่หนึ่ง น้องสะใภ้สี่นั้นแม้นอายุน้อย ทว่ากระทําสิ่งใดกลับไว้วางใจได้เป็นอย่างยิ่ง ปฏิบัติตัวต่อ ผู้อื่นก็จริงใจ หากทั้งสองคนเป็นอย่างเช่นตอนนี้ต่อไปได้ นางก็รู้สึกพอใจมากแล้ว นางเอนตัวงีบอยู่บนเตียงเตาได้ครู่หนึ่ง เฉิงเซิงก็เข้ามา ชิวซื่อลุกขึ้นมานั่งในทันใด ถามขึ้นว่า “ท่านย่าของเจ้าว่าอย่างไรบ้าง”
เฉิงเซิงไม่ได้มีท่าทางไร้เดียงสาเหมือนยามอยู่ต่อหน้าฮูหยินผู้เฒ่ากัวอีก ล้วงกล่องขนาด เล็กกล่องหนึ่งออกมาจากกระเป๋ าเสื้อยื่นส่งให้มารดา กล่าวขึ้นว่า “นี่คือตั๋วเงินหกพันเหลี่ยงเจ้า ค่ะ”
ชิวซื่อถอนหายใจออกมาครั้งหนึ่ง เฉิงเซิงอดไม่ได้กล่าวขึ้นว่า “ไม่แยกบ้านได้หรือไม่เจ้าคะ” ชิวซื่อกล่าว “ข้าเชื่อใจท่านย่าของเจ้า”
เฉิงเซิงไม่กล่าวอะไรอีก ขึ้นเตียงเตาไป ชิวซื่อดันกล่องที่อยู่บนโต๊ะเบาๆ กล่าวขึ้นว่า “อาสะใภ้สี่ของเจ้าส่งมาให้” เฉิงเซิงเปิดกล่องออก มองดอกไม้ผ้าในกล่องนั้นแล้วก็ถอนหายใจออกมาครั้งหนึ่ง หากคนทั้งครอบครัวอยู่ด้วยกันอย่างกลมเกลียวเช่นนี้ได้ จะดีเพียงใดนะ!



VERIFYCAPTCHA_LABEL
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยามดอกวสันต์ผลิบาน