เข้าสู่ระบบผ่าน

ยามดอกวสันต์ผลิบาน นิยาย บท 486

คําพูดของเฉิงจิงทําให้เฉิงเว่ยเงยหน้าขึ้นมามองสํารวจเขาอย่างอดไม่อยู่

จื่อชวนรับผิดชอบดูแลพรรคเจ็ดดาราจริงๆ มาหลายปี ตอนแยกตระกูลนําเงินหนึ่งล้าน สองแสนเหลี่ยงออกมาได้โดยไม่ต้องไปรบกวนเงินส่วนตัวและสินติดตัวของพวกพี่สะใภ้ คํานวณ จากตรงนี้แล้ว ทุกๆ ปีจะหาเงินได้จํานวนเท่าไรกัน…นอกจากนี้จากคําพูดของพ่อบ้านใหญ่ฉิน แล้ว พรรคเจ็ดดาราทํากําไรได้มากกว่าตอนที่เลี่ยกงยังมีชีวิตอยู่เสียอีก อีกสองปีนั้น จะเป็น จํานวนเงินเท่าไรกันนะ

พี่ใหญ่พูดเช่นนี้หมายความว่าอย่างไรกันแน่ หรือว่าอยากให้จื่อชวนเติมคลังกองกลางให้เต็มก่อนแล้วค่อยว่าอีกทีอย่างนั้นหรือ พี่ใหญ่…คําพูดนี้ทําให้เขารู้สึกแปลกๆ ขึ้นมา ทว่าในใจของฮูหยินผู้เฒ่ากัวกลับราวกับกระจกใสก็ไม่ปาน นี่บุตรชายคนโตคิดจะทิ้งพรรคเจ็ดดาราให้เจ้าสี่ นางอดถอนหายใจลึกๆ อยู่ในใจครั้งหนึ่งไม่ได้ มิใช่เป็นเพราะเขากลัวว่าต่อไปหัวหน้าพรรคเจ็ดดาราอาจจะต้องเลือกมาจากบุตรหลาน คนรุ่นหลังของเขาก็เป็นได้หรอกหรือ เช่นนั้นก็ดี!

พรรคเจ็ดดาราผงาดขึ้นมาได้ด้วยนํ้ามือของเจ้าสี่ ในเมื่อพวกเขามีท่าทางกลัวว่าจะถูกทํา ให้แปดเปื้อนไปด้วย เช่นนั้นพรรคเจ็ดดาราจะเป็นอย่างไรต่อไปนั้น ก็มอบให้เจ้าสี่ไปก็แล้วกัน มอบให้ผู้อื่น ก็ไม่ใช่ว่าผู้อื่นจะดูแลได้!

4519

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวค่อยๆ จิบชาคําหนึ่ง กล่าวขึ้นว่า “ข้าอยากจะคุยเรื่องนี้กับพวกเจ้าพอดี เจ้ารองอาจจะไม่รู้ แต่เจ้าใหญ่เจ้าน่าจะรู้ดี ตอนที่ข้าแต่งเข้ามานั้น มีสินติดตัวเป็นเงินเพียงห้า ร้อยเหลี่ยง รวมกับเงินสินสอดที่ตระกูลเฉิงให้มาอีกสองพันเหลี่ยงเท่านั้น ท่านตาและท่านยาย ของเจ้าให้ข้านํามาด้วยทั้งหมด ทําเป็นเงินในหีบเจ้าสาวของข้า เงินที่อยู่ในมือของข้าในตอนนี้ก็ดี ที่ดินหรือร้านค้าที่อยู่ภายใต้ชื่อของข้าก็ดี ล้วนเป็นของที่บิดาของเจ้ามอบให้ข้าหลังจากที่ตระกูล เฉิงแยกบ้านกันแล้ว เพราะกลัวว่าต่อไปข้าจะไม่มีเงินในมือ จะซื้อชาดหรือแป้งผัดหน้าสักชิ้นยัง ต้องดูสีหน้าของบุตรสะใภ้ แต่เวลานั้นก็เป็นเงินเพียงห้าถึงหกหมื่นเหลี่ยงเท่านั้น ที่ทําให้มีกําไรปี ละสองหมื่นเหลี่ยงได้จริงๆ นั้น ก็คือหลังจากที่น้องชายของเจ้าดูแลพรรคเจ็ดดาราเป็นต้นมา”

เฉิงจิงและเฉิงเว่ยต่างพยักหน้าหงึกติดๆ กัน

พวกเขาคาดเดาได้ตั้งนานแล้ว

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวเห็นเช่นนั้นถึงได้กล่าวต่อว่า “ในเมื่อพวกเจ้ารู้จักประเมินสถานการณ์ดี เช่นนั้นทางด้านภรรยาของพวกเจ้า ก็ไปบอกต่อกันเอาเอง จะได้ไม่มีเรื่องที่แต่ละคนอิจฉาตาร้อน ที่ข้าซื้อบ้านหลังนี้ให้เจ้าสี่”

เฉิงจิงและเฉิงเว่ยล้วนหน้าแดง คนแรกนั้นรู้ดีว่าเหตุใดมารดาถึงกล่าวคําพูดเช่นนี้ ส่วน คนหลังนั้นนึกถึงที่มารดาซื้อบ้านให้เขาคนเดียวหนึ่งหลังขึ้นมา เกรงว่าก็คงเป็นเพราะป้องกัน เอาไว้เผื่อเขามีความคิดเช่นนี้

“ฉะนั้นกล่าวได้ว่า บ้านหลังนี้คือบ้านที่เจ้าสี่ซื้อมาด้วยตัวเอง” ฮูหยินผู้เฒ่ากัวแสร้งทํา เป็นมองไม่เห็น กล่าวสิ่งที่เคยพูดกับชิวซื่อก่อนหน้านี้ออกมาอีกครั้ง “ให้พวกเจ้าห้าหมื่นเหลี่ยง… บ้านรองหนึ่งแสนเหลี่ยง…ค่าใช้จ่ายงานแต่งของเจียซ่านและรั่งเกอเอ๋อร์ให้เป็นความรับผิดชอบ ของข้า…ที่ดินของตระกูลนั้นหลังจากที่ข้าจากไปแล้วให้ส่งคืนให้เจ้าใหญ่…” สุดท้ายกล่าวว่า “ด้านของเจ้าสี่นั้น นอกจากบ้านหลังนี้ ข้าก็จะไม่แบ่งอะไรให้เขาแล้ว เรื่องของพรรคเจ็ดดารา

4520

พวกเจ้าก็ไม่ต้องยื่นมือเข้าไปยุ่งแล้วเช่นกัน เขาอยากทําต่อไปอีกกี่ปีก็ปล่อยเขาทําไป ต่อไปพวก เจ้าพี่น้องต้องสามัคคีกัน แตกกิ่งก้านสาขาให้ตระกูลเฉิง นําพาให้ตระกูลเฉิงที่จิงเฉิงสายนี้ เจริญรุ่งเรืองขึ้นถึงจะถูก”

แม้นเฉิงจิงจะเคยได้ยินเรื่องที่ว่ามารดาต้องการแยกบ้านจากหยวนซื่อมาบ้างแล้ว แต่เขา วางตัวเป็นบัณฑิตผู้มีการศึกษา จะไปตามสืบว่าตกลงมารดาเตรียมจะแยกบ้านอย่างไรบ้างได้ อย่างไร เห็นมารดายังมีทรัพย์สินในมือมากขนาดนี้แล้ว เขารู้สึกอัศจรรย์ใจเล็กน้อย จึงเข้าใจขึ้น มาแล้วว่าคนที่ก็กล่าวได้ว่าเป็นคนรอบคอบและเจ้าเล่ห์ผู้หนึ่งอย่างเฉิงซวี่ท่านผู้นําตระกูลของ จวนรองนั้น จะมองไม่ทะลุปรุโปร่งได้อย่างไรว่าพรรคเจ็ดดาราเป็นอันตรายต่อตระกูลเฉิง

หากเปลี่ยนเป็นตัวเขา คาดว่าก็อาจจะรู้สึกเสียดายเช่นกันกระมัง!

เฉิงจิงฝื นยิ้มออกมา กล่าวขึ้นว่า “เจตนาของท่านแม่ข้าเข้าใจทุกอย่างแล้ว วันนี้ กองกลางไม่มีเงินแล้ว ท่านกลัวว่าพวกข้าจะมีชีวิตอย่างลําบาก ดังนั้นจึงอยากแบ่งของในมือให้ พวกข้าก่อนล่วงหน้า ได้ทั้งช่วยแก้ปัญหาความยากลําบากของพวกข้าในขณะนี้ และหลีกเลี่ยง เรื่องที่พวกข้าพี่น้องจะมีปัญหาเบาะแว้งกันด้วยเรื่องของเงินทองอีกด้วย เพียงแต่ว่าเจ้าสี่เพิ่งจะ แต่งงาน ท่านยกเงินทั้งหมดให้พวกข้า ด้านของเจ้าสี่…จะเสียเปรียบมากเกินไปแล้ว แม้นบ้าน หลังนี้จะใช้เงินไปก้อนใหญ่ แต่บ้านไม่อาจกินไม่อาจดื่มได้ ทุกๆ ปียังต้องนําเงินออกมาเลี้ยงดู…”

เขานึกถึงพรรคเจ็ดดารา

เฉิงเว่ยเองก็นึกถึงพรรคเจ็ดดาราเช่นกัน

เขาครุ่นคิดคร่าวๆ ครู่หนึ่ง กล่าวตัดบทคําพูดของพี่ชายว่า “ท่านแม่ เจ้าสี่คิดจะทํา อย่างไรกับพรรคเจ็ดดาราหรือขอรับ ถ้าหากคิดจะปล่อยให้ล่มสลายไป ต่อให้แบ่งเงินของท่าน จํานวนนี้ให้พวกข้าทั้งสามบ้านเท่าๆ กัน ก็ช่วยได้ไม่กี่ปีเท่านั้น มิสู้ขายบ้านที่ถนนตะวันออก ออกไป หรือไม่ก็ให้พวกข้าย้ายเข้ามา เช่นนี้ก็จะประหยัดค่าใช้จ่ายได้ก้อนหนึ่ง”

4521

ที่ผ่านมาบ้านเรือนที่ประตูเฉาหยางนั้นเป็นที่ต้องการของตลาดมาโดยตลอด บ้านที่ชิวซื่อ ซื้อมาเมื่อหลายวันก่อนนั้นเป็นทําเลที่ตั้งที่ดีมาก ย่อมขายออกไปได้อย่างง่ายดาย หากพวกเขา ไม่รีบขาย ยังอาจทํากําไรได้อีกหลายร้อยเหลี่ยงด้วย

“หากเจ้าสี่ยังคิดจะถือพรรคเจ็ดดาราไว้ในมือต่อไป เช่นนั้นก็ไม่มีอะไรต้องพูดแล้ว ก็แยก บ้านตามความเห็นของท่านไปเลยก็แล้วกัน!”

ขอเพียงมีพรรคเจ็ดดาราอยู่ในมือ ยังจะต้องห่วงเรื่องไม่มีเงินอีกหรือ!

“แต่ข้าคิดว่าปล่อยให้พรรคเจ็ดดาราล่มสลายไปจะดีกว่า! และก็ไม่ต้องทําต่อไปอีกสองปี แล้ว ปล่อยไปเสียตั้งแต่ตอนนี้ วิถีการเป็นคนของผู้ยิ่งใหญ่ในโลกหล้านั้น ความมั่งคั่งไม่อาจ เหลือล้นเกินไป อํานาจไม่อาจใช้อย่างอยุติธรรม เงินของพรรคเจ็ดดารานี้เดิมทีก็ได้มาอย่างไม่ ถูกต้อง ตระกูลเฉิงเสวยสุขมานานหลายปีแล้ว ตอนนี้มาโอกาสตัด ก็ควรตัดเสียจะดีกว่า สิ่งที่ ตระกูลเฉิงของพวกเรายึดถือคือหลักของข่งจื่อที่สืบทอดต่อกันมา พรรคเจ็ดดารานี้หากสืบทอด ต่อกันไปอีกสักสองสามรุ่น เกรงว่าจะกลายเป็นการสืบทอดผลกําไรและเงินทองแทน ตระกูลเฉิง เองก็คงจะเน่าเปื่อยตั้งแต่รากขึ้นไปเป็นแน่ขอรับ!”

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวฟังแล้วดวงตาเผยแววพึงพอใจออกมาให้เห็นอย่างอดไม่อยู่

เมื่อก่อนรู้สึกเพียงว่าบุตรชายคนโตเป็นคนเฉลียวฉลาด ไม่คิดว่าผ่านมานานหลายปี ขนาดนี้ถึงได้ค้นพบว่าเจ้ารองก็เป็นคนที่มีจิตใจแน่วแน่มั่นคงผู้หนึ่ง

นี่ถึงจะเป็นคนทําการใหญ่ได้

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกล่าว “เจ้าสี่ตัดสินใจจะปล่อยให้พรรคเจ็ดดาราล่มสลายไปตั้งนานแล้ว เงินที่เขานํากลับมาในสองปีนี้ล้วนเป็นเงินที่ได้มาโดยการทําการค้าอย่างสุจริตทั้งสิ้น เพียงแต่ กลัวว่าหากพรรคเจ็ดดาราล่มสลายไปอย่างกะทันหัน คนของพรรคเจ็ดดาราจะสร้างความวุ่นวาย

4522

ไปทั่วทุกที่ได้ เพราะฉะนั้นถึงได้ค่อยๆ วางแผนทีละนิด หาเหตุผลขจัดคนนิสัยไม่ดีเหล่านั้นออกไป ก่อน แล้วเก็บคนนิสัยดีเอาไว้ ค่อยๆ มอบหมายให้แต่ละคนไปประจําร้านแต่ละสาขา อย่างมาก อีกสองปี ก็จะไม่มีพรรคเจ็ดดาราเหลืออยู่อีกต่อไปแล้ว” เฉิงเว่ยกล่าวอย่างดีใจว่า “เช่นนี้ดียิ่งๆ!” เฉิงจิงกลับตกตะลึง เอ่ยขึ้นว่า “เหตุใดข้าถึงไม่ทราบเรื่อง”

“ก็จริง!” ชิวซื่อพรูลมหายใจยาวออกมาครั้งหนึ่ง กล่าวออกมาอย่างกระดากอายว่า “ข้า มักจะชอบคิดนั่นคิดนี่ไปเองอยู่เรื่อย”

โจวเสาจิ่นหันไปยิ้มน้อยๆ ให้นางอย่างปรารถนาดี

ชิวซื่อจึงกล่าวขึ้นว่า “อาเซิงบอกว่า นางส่งดอกไม้ผ้าที่เจ้ามอบให้นางไปให้อาเจิงดอก หนึ่งและอาเซียวดอกหนึ่ง ทุกคนต่างบอกว่างดงาม อีกไม่กี่วันอยากจะมาขอให้เจ้าช่วยสอนวิธี ทําดอกไม้ผ้าว่าต้องทําอย่างไรบ้าง!”

4525

ได้ยินคนเอ่ยถึงชื่อของบุตรสาว หยวนซื่อก็ได้สติกลับมา กล่าวยิ้มๆ ว่า “อาเจิงและอา เซียวทําไมหรือ” เงยหน้าขึ้นมาเห็นโจวเสาจิ่นและชิวซื่อยืนเคียงคู่กัน โจวเสาจิ่นสวมเสื้อกั๊กปี๋เจี่ย ผ้าไหมหังโจวสีม่วงอ่อนลายขั้วผลไม้สี่แฉกแบบใหม่ ด้านในเป็นชุดยาวผ้าเนื้อละเอียดสีนํ้าเงิน ดวงหน้าขาวนวลเนียนยิ่งกว่าของเด็กทารก ดูงดงามยิ่งกว่าตอนก่อนออกเรือนเสียอีก นึกถึง ความเงียบขรึมไม่พูดไม่จาและความอดสูของบุตรชายยามอยู่ต่อหน้านางขึ้นมาแล้ว ในใจของ นางพลันมีไฟผุดออกมากองหนึ่ง อยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ก็ไม่รู้จะเริ่มพูดจากตรงไหนดี อยากจะแสร้งทําเป็นไม่มีอะไร ทว่าก็อดกลั้นเอาไว้จนเจ็บหน้าอกไปหมด

ชั่วขณะที่กําลังละล้าละลังกันอยู่นั้น มีสาวใช้เด็กวิ่งเข้ามา เอ่ยขึ้นอย่างดีใจว่า “ฮูหยินสี่ เจ้าคะฮูหยินสี่ นายท่านสี่ให้คนส่งของใช้สําหรับปีใหม่มาให้จากเมืองจี่หนิง ยังเขียนจดหมายมา ด้วยสองฉบับ หนึ่งฉบับให้ฮูหยินผู้เฒ่าและอีกหนึ่งฉบับมอบให้ท่าน พ่อบ้านกําลังยกของลงอยู่ที่ หน้าประตู อีกประเดี๋ยวก็มาแล้วเจ้าค่ะ!”

โจวเสาจิ่นทั้งประหลาดใจและดีใจ รอยยิ้มเอ่อล้นออกมาจากดวงตาของนางอย่างห้าม ไม่อยู่ ทําให้ดวงหน้าของนางดูสว่างสุกใสขึ้นมา

นางยิ้มพร้อมกับกล่าวกับชิวซื่อว่า “พี่สะใภ้รอง ทางนี้คงต้องรบกวนท่านแล้ว ข้าจะไปดู สักหน่อยแล้วจะรีบมาเจ้าค่ะ!”

กล่าวจบ ไม่รอให้ชิวซื่อได้กล่าวอะไร ก็ยกกระโปรงรีบสาวเท้าออกจากห้องรับแขกไป พร้อมกับสาวใช้เด็กผู้นั้นแล้ว

ชิวซื่อเม้มปากกลั้นยิ้ม

หยวนซื่อกลับร้อง “หึ” อย่างเย็นชาเสียงหนึ่ง กล่าวขึ้นว่า “ช่างเหลาะแหละไม่เอาไหน จริงๆ!”

4526

ชิวซื่อกล่าวยิ้มๆ ว่า “คู่สามีภรรยาหนุ่มสาว เพิ่งห่างกันเป็นครั้งแรกหลังแต่งงาน ไหนเลย จะไม่คิดถึงกันและกันเจ้าคะ จะดีใจบ้างก็เป็นเรื่องให้อภัยได้ ไหนเลยจะเหมือนคู่สามีภรรยาที่ แต่งกันมานานอย่างพวกเรากัน เจอหน้ากันทุกวัน เทพเซียนก็กลายเป็นคนธรรมดากันไป หมดแล้ว”

หยวนซื่อไม่เห็นด้วย ยังอยากจะพูดอะไรอีก ทว่าชิวซื่อไม่อยากฟังนางพูด จึงกล่าวยิ้มๆ ว่า “ไม่รู้ว่าในครัวทําอะไรบ้าง สองวันมานี้นายท่านรองของพวกข้าเป็นหวัดนิดหน่อย ข้าต้องไป บอกในครัวเอาไว้สักคําหนึ่ง ดูว่าจะทํานํ้าแกงรสเผ็ดเปรี้ยวให้เขาดื่มสักถ้วยหนึ่งได้หรือไม่…” จากนั้นทิ้งหยวนซื่อเอาไว้ ออกจากห้องรับแขกไป

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยามดอกวสันต์ผลิบาน