คําพูดของเฉิงจิงทําให้เฉิงเว่ยเงยหน้าขึ้นมามองสํารวจเขาอย่างอดไม่อยู่
จื่อชวนรับผิดชอบดูแลพรรคเจ็ดดาราจริงๆ มาหลายปี ตอนแยกตระกูลนําเงินหนึ่งล้าน สองแสนเหลี่ยงออกมาได้โดยไม่ต้องไปรบกวนเงินส่วนตัวและสินติดตัวของพวกพี่สะใภ้ คํานวณ จากตรงนี้แล้ว ทุกๆ ปีจะหาเงินได้จํานวนเท่าไรกัน…นอกจากนี้จากคําพูดของพ่อบ้านใหญ่ฉิน แล้ว พรรคเจ็ดดาราทํากําไรได้มากกว่าตอนที่เลี่ยกงยังมีชีวิตอยู่เสียอีก อีกสองปีนั้น จะเป็น จํานวนเงินเท่าไรกันนะ
พี่ใหญ่พูดเช่นนี้หมายความว่าอย่างไรกันแน่ หรือว่าอยากให้จื่อชวนเติมคลังกองกลางให้เต็มก่อนแล้วค่อยว่าอีกทีอย่างนั้นหรือ พี่ใหญ่…คําพูดนี้ทําให้เขารู้สึกแปลกๆ ขึ้นมา ทว่าในใจของฮูหยินผู้เฒ่ากัวกลับราวกับกระจกใสก็ไม่ปาน นี่บุตรชายคนโตคิดจะทิ้งพรรคเจ็ดดาราให้เจ้าสี่ นางอดถอนหายใจลึกๆ อยู่ในใจครั้งหนึ่งไม่ได้ มิใช่เป็นเพราะเขากลัวว่าต่อไปหัวหน้าพรรคเจ็ดดาราอาจจะต้องเลือกมาจากบุตรหลาน คนรุ่นหลังของเขาก็เป็นได้หรอกหรือ เช่นนั้นก็ดี!
พรรคเจ็ดดาราผงาดขึ้นมาได้ด้วยนํ้ามือของเจ้าสี่ ในเมื่อพวกเขามีท่าทางกลัวว่าจะถูกทํา ให้แปดเปื้อนไปด้วย เช่นนั้นพรรคเจ็ดดาราจะเป็นอย่างไรต่อไปนั้น ก็มอบให้เจ้าสี่ไปก็แล้วกัน มอบให้ผู้อื่น ก็ไม่ใช่ว่าผู้อื่นจะดูแลได้!
4519
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวค่อยๆ จิบชาคําหนึ่ง กล่าวขึ้นว่า “ข้าอยากจะคุยเรื่องนี้กับพวกเจ้าพอดี เจ้ารองอาจจะไม่รู้ แต่เจ้าใหญ่เจ้าน่าจะรู้ดี ตอนที่ข้าแต่งเข้ามานั้น มีสินติดตัวเป็นเงินเพียงห้า ร้อยเหลี่ยง รวมกับเงินสินสอดที่ตระกูลเฉิงให้มาอีกสองพันเหลี่ยงเท่านั้น ท่านตาและท่านยาย ของเจ้าให้ข้านํามาด้วยทั้งหมด ทําเป็นเงินในหีบเจ้าสาวของข้า เงินที่อยู่ในมือของข้าในตอนนี้ก็ดี ที่ดินหรือร้านค้าที่อยู่ภายใต้ชื่อของข้าก็ดี ล้วนเป็นของที่บิดาของเจ้ามอบให้ข้าหลังจากที่ตระกูล เฉิงแยกบ้านกันแล้ว เพราะกลัวว่าต่อไปข้าจะไม่มีเงินในมือ จะซื้อชาดหรือแป้งผัดหน้าสักชิ้นยัง ต้องดูสีหน้าของบุตรสะใภ้ แต่เวลานั้นก็เป็นเงินเพียงห้าถึงหกหมื่นเหลี่ยงเท่านั้น ที่ทําให้มีกําไรปี ละสองหมื่นเหลี่ยงได้จริงๆ นั้น ก็คือหลังจากที่น้องชายของเจ้าดูแลพรรคเจ็ดดาราเป็นต้นมา”
เฉิงจิงและเฉิงเว่ยต่างพยักหน้าหงึกติดๆ กัน
พวกเขาคาดเดาได้ตั้งนานแล้ว
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวเห็นเช่นนั้นถึงได้กล่าวต่อว่า “ในเมื่อพวกเจ้ารู้จักประเมินสถานการณ์ดี เช่นนั้นทางด้านภรรยาของพวกเจ้า ก็ไปบอกต่อกันเอาเอง จะได้ไม่มีเรื่องที่แต่ละคนอิจฉาตาร้อน ที่ข้าซื้อบ้านหลังนี้ให้เจ้าสี่”
เฉิงจิงและเฉิงเว่ยล้วนหน้าแดง คนแรกนั้นรู้ดีว่าเหตุใดมารดาถึงกล่าวคําพูดเช่นนี้ ส่วน คนหลังนั้นนึกถึงที่มารดาซื้อบ้านให้เขาคนเดียวหนึ่งหลังขึ้นมา เกรงว่าก็คงเป็นเพราะป้องกัน เอาไว้เผื่อเขามีความคิดเช่นนี้
“ฉะนั้นกล่าวได้ว่า บ้านหลังนี้คือบ้านที่เจ้าสี่ซื้อมาด้วยตัวเอง” ฮูหยินผู้เฒ่ากัวแสร้งทํา เป็นมองไม่เห็น กล่าวสิ่งที่เคยพูดกับชิวซื่อก่อนหน้านี้ออกมาอีกครั้ง “ให้พวกเจ้าห้าหมื่นเหลี่ยง… บ้านรองหนึ่งแสนเหลี่ยง…ค่าใช้จ่ายงานแต่งของเจียซ่านและรั่งเกอเอ๋อร์ให้เป็นความรับผิดชอบ ของข้า…ที่ดินของตระกูลนั้นหลังจากที่ข้าจากไปแล้วให้ส่งคืนให้เจ้าใหญ่…” สุดท้ายกล่าวว่า “ด้านของเจ้าสี่นั้น นอกจากบ้านหลังนี้ ข้าก็จะไม่แบ่งอะไรให้เขาแล้ว เรื่องของพรรคเจ็ดดารา
4520
พวกเจ้าก็ไม่ต้องยื่นมือเข้าไปยุ่งแล้วเช่นกัน เขาอยากทําต่อไปอีกกี่ปีก็ปล่อยเขาทําไป ต่อไปพวก เจ้าพี่น้องต้องสามัคคีกัน แตกกิ่งก้านสาขาให้ตระกูลเฉิง นําพาให้ตระกูลเฉิงที่จิงเฉิงสายนี้ เจริญรุ่งเรืองขึ้นถึงจะถูก”
แม้นเฉิงจิงจะเคยได้ยินเรื่องที่ว่ามารดาต้องการแยกบ้านจากหยวนซื่อมาบ้างแล้ว แต่เขา วางตัวเป็นบัณฑิตผู้มีการศึกษา จะไปตามสืบว่าตกลงมารดาเตรียมจะแยกบ้านอย่างไรบ้างได้ อย่างไร เห็นมารดายังมีทรัพย์สินในมือมากขนาดนี้แล้ว เขารู้สึกอัศจรรย์ใจเล็กน้อย จึงเข้าใจขึ้น มาแล้วว่าคนที่ก็กล่าวได้ว่าเป็นคนรอบคอบและเจ้าเล่ห์ผู้หนึ่งอย่างเฉิงซวี่ท่านผู้นําตระกูลของ จวนรองนั้น จะมองไม่ทะลุปรุโปร่งได้อย่างไรว่าพรรคเจ็ดดาราเป็นอันตรายต่อตระกูลเฉิง
หากเปลี่ยนเป็นตัวเขา คาดว่าก็อาจจะรู้สึกเสียดายเช่นกันกระมัง!
เฉิงจิงฝื นยิ้มออกมา กล่าวขึ้นว่า “เจตนาของท่านแม่ข้าเข้าใจทุกอย่างแล้ว วันนี้ กองกลางไม่มีเงินแล้ว ท่านกลัวว่าพวกข้าจะมีชีวิตอย่างลําบาก ดังนั้นจึงอยากแบ่งของในมือให้ พวกข้าก่อนล่วงหน้า ได้ทั้งช่วยแก้ปัญหาความยากลําบากของพวกข้าในขณะนี้ และหลีกเลี่ยง เรื่องที่พวกข้าพี่น้องจะมีปัญหาเบาะแว้งกันด้วยเรื่องของเงินทองอีกด้วย เพียงแต่ว่าเจ้าสี่เพิ่งจะ แต่งงาน ท่านยกเงินทั้งหมดให้พวกข้า ด้านของเจ้าสี่…จะเสียเปรียบมากเกินไปแล้ว แม้นบ้าน หลังนี้จะใช้เงินไปก้อนใหญ่ แต่บ้านไม่อาจกินไม่อาจดื่มได้ ทุกๆ ปียังต้องนําเงินออกมาเลี้ยงดู…”
เขานึกถึงพรรคเจ็ดดารา
เฉิงเว่ยเองก็นึกถึงพรรคเจ็ดดาราเช่นกัน
เขาครุ่นคิดคร่าวๆ ครู่หนึ่ง กล่าวตัดบทคําพูดของพี่ชายว่า “ท่านแม่ เจ้าสี่คิดจะทํา อย่างไรกับพรรคเจ็ดดาราหรือขอรับ ถ้าหากคิดจะปล่อยให้ล่มสลายไป ต่อให้แบ่งเงินของท่าน จํานวนนี้ให้พวกข้าทั้งสามบ้านเท่าๆ กัน ก็ช่วยได้ไม่กี่ปีเท่านั้น มิสู้ขายบ้านที่ถนนตะวันออก ออกไป หรือไม่ก็ให้พวกข้าย้ายเข้ามา เช่นนี้ก็จะประหยัดค่าใช้จ่ายได้ก้อนหนึ่ง”
4521
ที่ผ่านมาบ้านเรือนที่ประตูเฉาหยางนั้นเป็นที่ต้องการของตลาดมาโดยตลอด บ้านที่ชิวซื่อ ซื้อมาเมื่อหลายวันก่อนนั้นเป็นทําเลที่ตั้งที่ดีมาก ย่อมขายออกไปได้อย่างง่ายดาย หากพวกเขา ไม่รีบขาย ยังอาจทํากําไรได้อีกหลายร้อยเหลี่ยงด้วย
“หากเจ้าสี่ยังคิดจะถือพรรคเจ็ดดาราไว้ในมือต่อไป เช่นนั้นก็ไม่มีอะไรต้องพูดแล้ว ก็แยก บ้านตามความเห็นของท่านไปเลยก็แล้วกัน!”
ขอเพียงมีพรรคเจ็ดดาราอยู่ในมือ ยังจะต้องห่วงเรื่องไม่มีเงินอีกหรือ!
“แต่ข้าคิดว่าปล่อยให้พรรคเจ็ดดาราล่มสลายไปจะดีกว่า! และก็ไม่ต้องทําต่อไปอีกสองปี แล้ว ปล่อยไปเสียตั้งแต่ตอนนี้ วิถีการเป็นคนของผู้ยิ่งใหญ่ในโลกหล้านั้น ความมั่งคั่งไม่อาจ เหลือล้นเกินไป อํานาจไม่อาจใช้อย่างอยุติธรรม เงินของพรรคเจ็ดดารานี้เดิมทีก็ได้มาอย่างไม่ ถูกต้อง ตระกูลเฉิงเสวยสุขมานานหลายปีแล้ว ตอนนี้มาโอกาสตัด ก็ควรตัดเสียจะดีกว่า สิ่งที่ ตระกูลเฉิงของพวกเรายึดถือคือหลักของข่งจื่อที่สืบทอดต่อกันมา พรรคเจ็ดดารานี้หากสืบทอด ต่อกันไปอีกสักสองสามรุ่น เกรงว่าจะกลายเป็นการสืบทอดผลกําไรและเงินทองแทน ตระกูลเฉิง เองก็คงจะเน่าเปื่อยตั้งแต่รากขึ้นไปเป็นแน่ขอรับ!”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวฟังแล้วดวงตาเผยแววพึงพอใจออกมาให้เห็นอย่างอดไม่อยู่
เมื่อก่อนรู้สึกเพียงว่าบุตรชายคนโตเป็นคนเฉลียวฉลาด ไม่คิดว่าผ่านมานานหลายปี ขนาดนี้ถึงได้ค้นพบว่าเจ้ารองก็เป็นคนที่มีจิตใจแน่วแน่มั่นคงผู้หนึ่ง
นี่ถึงจะเป็นคนทําการใหญ่ได้
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกล่าว “เจ้าสี่ตัดสินใจจะปล่อยให้พรรคเจ็ดดาราล่มสลายไปตั้งนานแล้ว เงินที่เขานํากลับมาในสองปีนี้ล้วนเป็นเงินที่ได้มาโดยการทําการค้าอย่างสุจริตทั้งสิ้น เพียงแต่ กลัวว่าหากพรรคเจ็ดดาราล่มสลายไปอย่างกะทันหัน คนของพรรคเจ็ดดาราจะสร้างความวุ่นวาย
4522
ไปทั่วทุกที่ได้ เพราะฉะนั้นถึงได้ค่อยๆ วางแผนทีละนิด หาเหตุผลขจัดคนนิสัยไม่ดีเหล่านั้นออกไป ก่อน แล้วเก็บคนนิสัยดีเอาไว้ ค่อยๆ มอบหมายให้แต่ละคนไปประจําร้านแต่ละสาขา อย่างมาก อีกสองปี ก็จะไม่มีพรรคเจ็ดดาราเหลืออยู่อีกต่อไปแล้ว” เฉิงเว่ยกล่าวอย่างดีใจว่า “เช่นนี้ดียิ่งๆ!” เฉิงจิงกลับตกตะลึง เอ่ยขึ้นว่า “เหตุใดข้าถึงไม่ทราบเรื่อง”


VERIFYCAPTCHA_LABEL
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยามดอกวสันต์ผลิบาน