เข้าสู่ระบบผ่าน

ยามดอกวสันต์ผลิบาน นิยาย บท 490

เฉิงฉือคนที่โจวเสาจิ่นเฝ้าคะนึงหานั้นเวลานี้มาถึงทงโจวแล้ว

แต่เขามิได้เร่งกลับจิงเฉิงในคืนนั้นเลย ทว่าคลุมชุดคลุมหนังสัตว์สีดําตัวหนึ่ง แม้แต่ไหว ซานที่ปกติมักจะติดตามอยู่ข้างกายเขาตลอดก็มิได้พาไปด้วย เดินเข้าไปในโรงเตี๊ยมขนาดเล็กที่ อยู่ห่างไกลแห่งหนึ่งเงียบๆ อย่างคุ้นเคยเป็นอย่างดี

หลงจู๊เป็นชายชราอายุห้าสิบกว่าปีผู้หนึ่ง นั่งดีดลูกคิดอยู่ใต้ตะเกียงนํ้ามันถั่วเหลือง เมื่อ เห็นว่ามีคนเข้ามาเขาก็เงยหน้าขึ้น ดวงตาคู่นั้นขุ่นมัวไร้ชีวิตชีวา แต่ชั่วพริบตาที่มองคนมาเยือน อย่างชัดเจนแล้วนั้นกลับมีแววสุกใสสายหนึ่งพวยพุ่งออกมา จากนั้นก็รีบก้มหน้าลง กล่าวขึ้นว่า “ท่านจะเข้าพักโรงเตี๊ยมใช่หรือไม่ มีห้องหลักด้านหลังเพียงห้องเดียวแล้ว ห้าสิบเหวินต่อหนึ่งคืน ขอรับ”

เฉิงฉือมิได้กล่าวคําใด ควักเงินเหรียญทองแดงกําหนึ่งทิ้งไว้บนโต๊ะคิดเงิน

หลงจู๊ยื่นตะเกียงไฟส่งให้เขาดวงหนึ่ง

เฉิงฉือถือตะเกียงเดินไปด้านหลัง

ไม่นาน หลงจู๊ก็เดินออกมาจากหลังโต๊ะคิดเงิน พึมพํากล่าวว่า “การค้าไม่ดีนัก” ไปด้วย พลางใช้บานประตูวางขวางประตูใหญ่ของโรงเตี๊ยมไปด้วย

ภายในห้องหลักของโรงเตี๊ยม ฮั่วตงถิงสวมชุดผ้าฝ้ายทออย่างง่ายปะเป็นรอยหย่อมๆ ดู คล้ายซิ่วไฉสอบตกผู้หนึ่ง นั่งกอดอกอยู่หน้าโต๊ะสี่เหลี่ยมในห้องโถง ส่วนบุรุษที่ดวงหน้าดูจริงใจ และเปิดเผยอีกผู้หนึ่งสวมชุดผ้าฝ้ายเนื้อหยาบสีนํ้าตาล เผยให้เห็นผิวหยาบกร้านสีนํ้าผึ้งอ่อน ดู เหมือนชาวนาผู้หนึ่ง

เมื่อเห็นเฉิงฉือเข้ามา ทั้งสองคนก็รีบลุกขึ้นในทันใด

4555

เฉิงฉือเป่าดับตะเกียง วางตะเกียงลงบนโต๊ะของเตียงเตาขนาดใหญ่ข้างหน้าต่าง

มีคนกระโดดออกมาจากมุมห้อง ส่งหมัด พึ่บ ไปทางเฉิงฉือ “เฉิงจื่อชวนจอมวายร้ายผู้นี้ เจ้าอยากตายเจ้าก็ตายไปคนเดียว ลากตระกูลเซียวของพวกข้าไปทําเป็นของเล่นเป็นหนังหน้าไฟ …”

เฉิงฉือยืนตัวตรงนิ่งไม่ไหวติงอยู่ตรงนั้น หางตาไม่ขยับแม้แต่นิดเดียว บุรุษดวงหน้าดู จริงใจและเปิดเผยผู้นั้นก้าวออกมาสองสามก้าวยืนขวางอยู่ตรงหน้าเฉิงฉือ สกัดหมัดที่พุ่ง มายังเฉิงฉือเอาไว้ กล่าวยิ้มๆ ด้วยดวงตาเย้ยหยันว่า “เซียวเจิ้นไห่ นายท่านสี่ก็เพียงให้เจ้าออก หน้าไปช่วยดูแลพรรคเจ็ดดาราเท่านั้น เป็นเจ้าเองที่ไม่ยอมหยุดสืบเรื่องของนายท่านสี่ เป็น อย่างไร ตอนนี้รู้สึกกลัวแล้วใช่หรือไม่ แล้วตอนแรกทําอะไรลงไปเล่า”

เป็นคําพูดที่ทําเอาเซียวเจิ้นไห่หน้าแดงกํ่าไปหมด

เฉิงฉือไม่มองเขาเลยแม้แต่ครั้งเดียว นั่งลงบนเตียงเตาตัวใหญ่ข้างหน้าต่าง ถามฮั่วตงถิง ว่า “คนที่ปรนนิบัติอยู่ข้างวรกายองค์รัชทายาทล้วนเป็นขันทีและมามาที่มีประสบการณ์ทั้งสิ้น แล้วองค์รัชทายาททรงประชวรได้อย่างไร”

ฮั่วตงถิงกล่าวเสียงเบาว่า “ได้ยินว่าก่อนหน้าที่องค์รัชทายาทจะทรงประชวรหนึ่งวันนั้นฮู หยินผู้เฒ่าของเฉิงเอินโหววิ่งไปครํ่าครวญหน้าพระพักตร์องค์รัชทายาท ยังพูดด้วยว่าขุนนางใหญ่ ในกองทัพของราชสํานักรู้จักแต่เผิงเฉิงป๋ อผู้เดียว ไม่รู้ว่ายังมีเฉิงเอินโหวอยู่ด้วยอีกผู้หนึ่ง เผิงเฉิง ป๋ อผู้นั้นได้อยู่ดีกินดีทุกวัน ยังซื้อที่ดินที่ต้าซิ่งอีก ทว่าเฉิงเอินโหวกลับทําได้เพียงพึ่งพาเบี้ยราย เดือนใช้ชีวิตไปวันๆ เท่านั้น ต้องการให้องค์รัชทายาทช่วยให้ซื่อจื่อของเฉิงเอินโหวได้เข้าไปอยู่ที่ สํานักขนส่งกิจการทางนํ้า ยังกล่าวด้วยว่าซื่อจื่อของเผิงเฉิงป๋ อได้ไปดูแลต้นไม้ดอกไม้ที่ราช อุทยานหลวงซ่างหลินแล้ว ซื่อจื่อของเฉิงเอินโหวเป็นน้าร่วมสายเลือดขององค์รัชทายาท เหตุใด ถึงสู้น้าปลอมๆ หนึ่งไม่ได้…ต่อมายังกล่าวคําอวดดีอหังการอีกมากมาย องค์รัชทายาทพิโรธจนทํา

4556

จอกชาแตกคามือ แล้วสะบัดแขนฉลองพระองค์จากไป ฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงเอินโหวผู้นั้นไม่มีแววเลย สักนิด รีบก้าวออกไปอย่างรีบร้อนหมายจะดึงองค์รัชทายาทเอาไว้ ขันทีสองสามคนก้าวออก มาถึงได้ขวางนางเอาไว้ได้ องค์รัชทายาทประทับอยู่ในห้องทรงอักษรเพียงลําพังทรงพระอักษรไป กว่าครึ่งค่อนวัน และในคืนวันเดียวกันนั้นก็ทรงพระประชวร ที่สํานักหมอหลวงมีหมอหลวงผู้หนึ่ง นามว่าหวังโหย่วเต้าถูกเรียกตัวเข้าวังบูรพาในคืนนั้น มีเพียงเขาคนเดียวที่ถูกเรียกตัวเข้าไป ข้าง กายไม่มีแม้แต่คนช่วยถือกล่องยาสักคน เทียบยาก็มิได้เก็บรักษาไว้ที่สํานักหมอหลวง พวกข้าเอง ก็ยังสืบไม่ได้ว่าเก็บเทียบยาไว้ที่ไหน…

…คืนนั้นไม่มีความเคลื่อนไหวอะไร แต่เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น องค์ฮ่องเต้ทรงเร่งมาที่วังบูรพา หลังทรงทอดพระเนตรองค์รัชทายาทเสร็จแล้วถึงทรงเสด็จไปที่ท้องพระโรง…

…ข้าเองก็ได้สืบเรื่องของหวังโหย่วเต้ามาแล้วขอรับ…

…เดิมทีแล้วเขาเป็นหมอเลื่องชื่อของเจียงหนาน ได้รับการแนะนําให้เข้าวังโดยอดีตราช บัณฑิตหลวงหูจั๋วหรานผู้ล่วงลับ ปีนั้นองค์รัชทายาทเพิ่งจะมีพระชนมายุเจ็ดเดือนเท่านั้น ต่อมา หวังโหย่วเต้าผู้นี้ก็กลายเป็นหมอหลวงของวังบูรพา ให้การรักษาองค์รัชทายาทโดยเฉพาะ นอกจากองค์รัชทายาทแล้ว แม้แต่องค์ฮองเฮาเหนียงเหนียงก็ไม่อาจสั่งการเขาได้ และนอกจาก องค์รัชทายาทแล้วเขาก็ไม่รักษาผู้ใดด้วยเช่นกัน เป็นเหตุให้พวกหมอหลวงในสํานักหมอหลวงไม่ พอใจมาตั้งแต่ต้นแล้ว เพียงแต่เป็นเพราะว่าองค์ฮ่องเต้ทรงไว้วางพระทัยเขามากเป็นพิเศษ ต่อให้ มีคนไปฟ้องร้องหวังโหย่วเต้า องค์ฮ่องเต้ก็ทรงเก็บเอาไว้ไม่ส่งเรื่องออกไป และหวังโหย่วเต้าผู้นั้น ก็เป็นเพียงหมอหลวงตัวเล็กๆ ยศขั้นเจ็ดเท่านั้น หลายครั้งเข้า คนที่ชอบจับผิดเหล่านั้นก็ไม่ให้ ความสนใจเขาอีก…

…เพราะฉะนั้นข้าเดาว่าวันนั้นองค์รัชทายาทน่าจะประชวรจริงขอรับ”

4557

เขากล่าวถึงตรงนี้ ดวงหน้าเผยความละอายออกมาให้เห็น นํ้าเสียงยิ่งเบาลง “ตอนนั้นข้า ไม่ทันได้คิด พอตอนที่คิดได้ขึ้นมา ของที่วังบูรพาทิ้งไปล้วนถูกเก็บกวาดไปเรียบร้อยแล้ว จึงไม่ อาจตรวจสอบได้แล้วขอรับ…”

เฉิงฉือไม่ได้กล่าวคําใด หลับตาลงนั่งอยู่บนเก้าอี้มีเท้าแทน

เซียวเจิ้นไห่มองแล้วก็ทั้งร้อนใจและกรุ่นโกรธ กล่าวขึ้นว่า “เหวย เจ้าจะคิดบัญชีข้าเช่นนี้ ไม่ได้! ต่อให้เจ้าคิดจะให้ข้าไปตายแทนเจ้า เจ้าก็ต้องบอกอะไรข้าสักประโยค! จะลากข้ามาถึงที่นี่ โดยไม่รู้อะไรเลยเช่นนี้ไม่ได้ สืบเรื่องของราชวงศ์นั้นถือเป็นความผิดมหันต์ เป็นอาชญากรรม! นอกจากนี้ยังเป็นอาชญากรรมที่นําหายนะมาสู่วงศ์ตระกูลอีกด้วย…”

ขณะที่เขากล่าว ทันใดนั้นเฉิงฉือก็ลืมตาขึ้นมาอย่างกะทันหัน

ดวงตาคู่นั้นดุจดวงดาราในคํ่าคืนอันหนาวเหน็บที่ทั้งสว่างสุกใสและเยือกเย็น กล่าวขึ้น ว่า “ที่แท้ตระกูลเซียวก็เป็นตระกูลบัณฑิตที่สืบทอดพิธีรีตองสืบต่อกันมารุ่นต่อรุ่นหรือนี่!”

เซียวเจิ้นไห่โกรธจนดวงหน้าแดงกํ่า

เดิมทีแล้วตระกูลเซียวเป็นกองโจรที่สถาปนาตัวเองขึ้นเป็นหัวหน้ากองโจร กระทําการค้า ในความมืดโดยไม่ต้องลงทุน ยังจะกลัวเรื่องถูกยึดทรัพย์และสังหารทั้งตระกูลอะไรนั่นอีกหรือ!

เฉิงฉือเห็นแล้วก็เหลือบมองเขาอย่างเย็นชาครั้งหนึ่ง กล่าวขึ้นว่า “ตระกูลพวกข้าต้อง เลือกฝั่งยืน!”

เซียวเจิ้นไห่อ้าปากค้าง ครู่ใหญ่ถึงได้ชี้เขาพลางกล่าว “เจ้า เจ้า…”

ทว่ามือสั่นจนไม่รู้จะสั่นอย่างไรแล้ว!

เฉิงฉือไม่มองเขาแม้แต่ครั้งเดียว

4558

เซียวเจิ้นไห่ลูบหน้าแรงๆ ครั้งหนึ่ง กล่าวขึ้นว่า “เฉิงจื่อชวน ยอมแล้ว! ข้ายอมทําตามเจ้า แล้ว! ไม่ว่าจะสําเร็จหรือตาย! เจ้านําพาพรรคเจ็ดดาราโลดแล่นอยู่ในยุทธภพจนผืนฟ้าพลิกผืน ดินควํ่าได้ ข้าติดตามเจ้าย่อมไม่เสียเปรียบอย่างแน่นอน! เจ้าบอกมาเถิดว่าต้องการให้ข้าทํา อะไร”

เฉิงฉือร้อง “อืม” เสียงหนึ่ง หลับตาลง

ส่วนเซียวเจิ้นไห่ยืนอยู่ตรงหน้าเฉิงฉืออย่างกระตือรือร้น

เนิ่นนาน เฉิงฉือถึงลืมตาขึ้นมา

เซียวเจิ้นไห่ถูมืออย่างตื่นเต้น ได้ยินเฉิงฉือกล่าวกับตงถิงว่า “องค์รัชทายาทประทับอยู่ที่ วังบูรพา อยู่ใต้เพียงหนึ่งอยู่เหนือคนเป็นหมื่น การสืบเรื่องของเขาเป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่นได้ ง่าย ให้คนทางโน้นยังไม่ต้องขยับเขยื้อน เจ้าจงกลับเมืองหลวงไป ดูว่าอาการประชวรขององค์รัช ทายาทช่วงสองวันนี้นั้น องค์ชายสี่มีความเคลื่อนไหวอะไรบ้างหรือไม่…”

เขาจําเป็นต้องรู้ว่าตกลงแล้วองค์ชายสี่ทรงรู้เรื่องอาการป่วยขององค์รัชทายาทหรือไม่!

ถ้าหากทรงทราบ เรื่องที่อยากปลงพระชนม์องค์รัชทายาทก็จะกลายเป็นเรื่องง่ายดายยิ่ง แล้ว!

Verify captcha to read the content.VERIFYCAPTCHA_LABEL

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยามดอกวสันต์ผลิบาน