แน่นอนว่าโจวเสาจิ่นและอู๋เป่าจางจากกันด้วยไม่ดี
เพียงแต่ว่าไม่นานโจวเสาจิ่นก็โยนเรื่องนี้ทิ้งไปได้อย่างรวดเร็วแล้ว ทว่าอู๋เป่ าจางกลับ
กระวนกระวายขึ้นมาเล็กน้อย นางตัดสินใจอยู่ฉลองปีใหม่ที่จิงเฉิง รอให้ผ่านพ้นปีใหม่ไปแล้ว
ค่อยหาวิธีทําให้เฉิงเวิ่นผู้เป็นพ่อสามีอนุญาตให้นางกลับจิงหลิน นางทนทํางานจัดหาของจําเป็น
ในชีวิตประจําวันอย่างพวกฟื น ข้าวสาร นํ้ามัน เกลือ นํ้าตาล นํ้าส้มสายชูหรือชาอยู่ในบ้านเช่า
หลังเล็กนั่นไม่ได้อีกต่อไปแล้ว จะพูดอย่างไรบิดาของนางก็เป็นเจ้าเมืองยศขั้นสี่บนผู้หนึ่ง นาง
แต่งเข้าตระกูลเฉิงมามิใช่เพื่อมาทําเรื่องของพ่อค้าเหล่านั้น
ส่วนโจวเสาจิ่นนั้นช่วยจัดเก็บของให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัวไปด้วย พลางเป็นห่วงไปด้วยว่าเหตุ
ใดเฉิงฉือถึงยังไม่กลับมาเสียที
ไม่ง่ายเลยกว่าจะรอจนถึงยามสอง เฉิงฉือกลับมาพร้อมด้วยหิมะปกคลุมไปทั้งร่าง
โจวเสาจิ่นรีบออกไปต้อนรับ ช่วยเขาแก้เสื้อคลุมหนังสัตว์ไปด้วย กล่าวพร้อมกับมอง
สํารวจสีหน้าของเขาไปด้วยว่า “ท่านรับมื้อเย็นมาหรือยัง ไปหาขุนนางใหญ่ซ่งราบรื่นดีหรือไม่เจ้า
คะ”
สีหน้าของเฉิงฉือดูค่อนข้างเคร่งเครียดเล็กน้อย ได้ยินเช่นนั้นสีหน้าดูสงบลงเล็กน้อย แต่
ก็ไม่อาจเรียกได้ว่าเป็นสีหน้าเบิกบาน แต่พรูลมหายใจยาวออกมาครั้งหนึ่ง กอดโจวเสาจิ่นโดยที่
ยังไม่ได้เปลี่ยนอาภรณ์ กล่าวขึ้นว่า “ข้าไม่เป็นไร! ท่านแม่หลับหรือยัง”
ถ้ายังไม่หลับ ตามหลักแล้วเขาต้องไปคารวะสักหน่อย
โจวเสาจิ่นกล่าว “ตอนที่ข้าจากมาท่านแม่นั่งเล่นหมากล้อมอยู่บนเตียงเตาหลังใหญ่
ข้างหน้าต่าง เกรงว่ากําลังรอท่านอยู่เจ้าค่ะ”4604
เฉิงฉือพยักหน้า พลางกล่าว “ข้าไปดูสักหน่อย!”
โจวเสาจิ่นขานรับคําเสียงหนึ่ง ปรนนิบัติเฉิงฉือเปลี่ยนอาภรณ์ แล้วก็ไปคารวะฮูหยินผู้
เฒ่ากัวเป็นเพื่อนเขา
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวเห็นเฉิงฉือก็ยิ้มออกมา ในดวงตาเจือความรักใคร่เอาไว้โดยไม่รู้ตัว ถาม
เขายิ้มๆ ว่า “เหตุใดถึงเพิ่งกลับมาเอาป่านนี้ พวกพี่ใหญ่ของเจ้ารอเจ้าตั้งนาน เสาจิ่นเองก็เฝ้ารอ
คอยเจ้าอยู่ตลอดเช่นกัน ให้คนไปดูที่ประตูเรือนอยู่เป็นพักๆ…”
โจวเสาจิ่นไม่คาดคิดว่าฮูหยินผู้เฒ่ากัวจะมองการกระทําของตนได้กระจ่างแจ้งเช่นนี้
หน้าแดงไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมา
สายตาของเฉิงฉือที่ตกอยู่บนร่างของนางกลับอ่อนโยนยิ่ง
“มีบางเรื่องประวิงเวลาจนล่าช้า” เขากล่าวยิ้มๆ “สองสามวันนี้อาจจะยุ่งๆ สักเล็กน้อย
ต่อไปหากข้ากลับช้า เจ้าก็กินไปก่อนได้เลย ไม่ต้องรอข้า”
โจวเสาจิ่นไม่รู้ว่าคําพูดนี้เขากล่าวกับตนหรือว่ากล่าวกับฮูหยินผู้เฒ่ากัว ก็เลยไม่กล้า
รับคํา กลับเป็นฮูหยินผู้เฒ่ากัวที่หัวเราะร่าขึ้นมา พลางกล่าว “พวกเจ้ารีบไปพักผ่อนเถิด! พรุ่งนี้ข้า
จะย้ายไปที่ซอยซิ่งหลิน”
“เช่นนั้นพรุ่งนี้พวกข้าจะไปส่งท่านขอรับ!” เฉิงฉือยิ้มพลางคุยเป็นเพื่อนมารดาอีกสอง
สามประโยค แล้วพาโจวเสาจิ่นออกมาจากลานทิงเซียง
โจวเสาจิ่นมองร่างสูงสง่าตั้งตรงของเขาที่เดินอยู่เบื้องหน้า ในใจรู้สึกภาคภูมิ ภูมิใจ และ
มีความรู้สึกเป็นเกียรติอย่างอธิบายไม่ถูก ฝีเท้าจึงเชื่องช้าลงมาอย่างห้ามไม่อยู่
ผู้ใดจะรู้ว่าเฉิงฉือกลับยิ่งเดินก็ยิ่งเร็วขึ้น ไม่นานก็เว้นระยะห่างจากนางระยะหนึ่งแล้ว
4605
โจวเสาจิ่นตกตะลึง
เมื่อก่อนยามนางเดินตามอยู่ด้านหลังของเฉิงฉือนั้นไม่เคยปรากฏเหตุการณ์เช่นนี้มา
ก่อน
เกิดเรื่องอะไรขึ้น
โจวเสาจิ่นวิ่งเหยาะๆ ตามเฉิงฉือไป
เฉิงฉือหันศีรษะกลับมา คล้ายกับเพิ่งสังเกตเห็นว่าเมื่อครู่ตนทิ้งโจวเสาจิ่นไว้ด้านหลัง
เขาถอนหายใจครั้งหนึ่ง จับมือของโจวเสาจิ่นเอาไว้
โจวเสาจิ่นยังคงต้องวิ่งเหยาะๆ ถึงจะตามฝีก้าวของเขาทัน
นางกล่าวขึ้นอย่างอดไม่อยู่ว่า “ซื่อหลาง ท่านอย่าโกรธไปเลย! ข้าไปเดินเล่นในสวน
ดอกไม้เป็นเพื่อนท่านดีหรือไม่”
ถึงแม้บนท้องฟ้าอาจจะมีหิมะกระพือตกลงมาเป็นครั้งคราว และในสวนดอกไม้ก็หนาว
เย็นยิ่ง แต่สําหรับคนที่อยู่ในอารมณ์กรุ่นโกรธผู้หนึ่งแล้ว บางทีความหนาวเย็นของอากาศอาจทํา
ให้อารมณ์ของเขาเย็นลงมาได้
ชาติก่อนยามนางพานพบกับเรื่องที่จัดการไม่ได้ก็จะไปเดินเล่นอยู่ข้างผืนนาโดยมีบ่าวรับ
ใช้ไปเป็นเพื่อน บางครั้งอารมณ์ก็จะดีขึ้น
เฉิงฉือหยุดฝีเท้าลงในทันใด กล่าวยิ้มๆ ว่า “เจ้าดูออกหรือว่าข้าอารมณ์ไม่ดี”
ยามเขากล่าวคําพูดนี้คิ้วของเขาย่นขึ้น ท่าทางไม่เชื่อเล็กน้อย
โจวเสาจิ่นกล่าวขึ้นอย่างแปลกใจว่า “มิใช่ว่าชัดเจนมากหรอกหรือเจ้าคะ เวลาท่านโกรธ
การกระทําจะกระฉับกระเฉงกว่ายามปกติ หากท่านมีความสุข การกระทําจะอ่อนโยนกว่าเวลา
4606
อื่นๆ แต่ถ้าเป็นเวลาที่ท่านโมโหมากๆ รอยยิ้มจะอบอุ่นเป็นอย่างมาก ทว่าดวงตากลับเย็นยะ
เยือก…”
นางยังพูดไม่จบ เฉิงฉือก็หัวเราะออกมาดังลั่น
เขากอดโจวเสาจิ่น หอมจอนหูของนาง พลางกล่าว “เหตุใดเจ้าถึงได้น่ารักขนาดนี้!”
เฉิงฉือคิดว่าตนเป็นคนไม่แสดงความรู้สึกนึกคิดผ่านทางสีหน้าแล้ว แต่ความเป็นจริงใน
สายตาของคนที่ใส่ใจเขาทุกอย่างด้วยหัวใจทั้งหมดที่มีนั้น ทุกๆ การกระทําของเขาล้วนชัดเจน
แจ่มแจ้งราวกับแสงสว่างในยามกลางวัน
โจวเสาจิ่นเหม่อลอย ไม่รู้ว่าคําพูดนี้ของเฉิงฉือมาจากที่ใด
เฉิงฉือจึงยิ่งหัวเราะอย่างเบิกบานมากขึ้น แม้แต่บ่าวไพร่ที่เดินตามอยู่ด้านหลังของพวก
เขายังแอบเงยหน้าขึ้นมามองสํารวจพวกเขาอย่างห้ามไม่อยู่เมื่อกลับถึงห้อง โจวเสาจิ่นตักนํ้ามาให้เฉิงฉือล้างเท้า
เฉิงฉือชี้เก้าอี้สี่เหลี่ยมข้างๆ ให้นางนั่งลง แช่เท้าไปด้วยกล่าวกับนางไปด้วยว่า “วันนี้ข้า
ไปบ้านของใต้เท้าหยางมา…อยู่ที่ตรอกซุ่ยอี้ทางทิศเหนือของเมือง เป็นบ้านครึ่งลาน ไม่มีอะไรสัก
อย่าง ในบ้านโล่งมีแต่กําแพง มื้อเที่ยงเป็นโจ๊กกับผักดองที่ทําเองสองจานเล็ก…”
โจวเสาจิ่นเบิกดวงตาโต
ตรอกซุ่ยอี้ทางทิศเหนือของเมืองนั้นได้ชื่อว่าเป็นย่านยากจน
หยางโซ่วซาน เขาเป็นจิ้นซื่อขั้นสอง เป็นข้าหลวงฝ่ายจัดการนํ้านี่นา!
4607
เฉิงฉือพยักหน้า “เขามาจากครอบครัวยากจน เติบโตขึ้นมาจากการกินอาหารบริจาค
แต่งงานกับคนรักสมัยเด็กจากหมู่บ้านเดียวกัน เดิมทีเบี้ยรายเดือนก็ไม่เพียงพออยู่แล้ว ยังต้องปัน
อีกครึ่งหนึ่งไปช่วยเหลือคนยากจนที่หมู่บ้านอีก บุตรสาวแต่งงานออกไปสองคนแล้ว ยังมีบุตรชาย
และบุตรสาวอีกอย่างละหนึ่งคนอยู่บ้าน…ตอนที่ฮูหยินหยางออกมารับแขกนั้น สวมเพ่ยจื่อผ้าไหม
หังโจวสีนํ้าเงินไพลินกลางเก่ากลางใหม่ตัวหนึ่งและปักปิ่นปักผมทําจากไม้ท้อชิ้นหนึ่งเท่านั้น”
โจวเสาจิ่นเติมนํ้าร้อนลงไปในอ่างแช่เท้าอีกเล็กน้อย กล่าวขึ้นว่า “หรือว่า ท่านช่วยเหลือ
พวกเขาสักหน่อยดีหรือไม่!”
เฉิงฉือยิ้มขื่น พลางกล่าว “ข้าโน้มน้าวอยู่นาน ฮูหยินหยางถึงได้รับเงินห้าสิบเหลี่ยงเอาไว้
นี่ยังเป็นเพราะเห็นว่าใต้เท้าหยางถูกคุมขังอยู่ในคุกหลวง จําเป็นต้องใช้เงินติดสินบนบ้าง”
แต่นี่ก็ไม่น่าจะถึงกับทําให้เฉิงฉือต้องโมโหนี่นา!
โจวเสาจิ่นครุ่นคิด พลางกล่าว “เป็นเพราะว่ายังมีอะไรที่ไม่ถูกต้องอีกใช่หรือไม่เจ้าคะ”
เฉิงฉือมองโจวเสาจิ่นครั้งหนึ่ง นิ่งเงียบไปครู่ใหญ่ กล่าวขึ้นว่า “ความจริงแล้วข้าคิดมา
ตลอดว่าใต้เท้าหยางผู้นี้เป็นคนหัวโบราณหยาบกระด้าง หัวแข็งและไม่ชอบประจบประแจงผู้อื่น
เรื่องขุดลอกแม่นํ้าเหลืองนั้น ข้าและขุนนางใหญ่ซ่งล้วนรู้สึกว่ามิใช่โอกาสที่ดีที่สุด แต่เขากลับยืน
กรานจะทํา เวลานั้นขุนนางใหญ่ซ่งจึงกล่าวกับข้าอย่างขุ่นเคืองว่า นี่เขาต้องการแต่ความสําเร็จ
ในหน้าที่การงานโดยไม่สนใจความลําบากของปวงประชา ข้าเองก็เห็นด้วยเป็ นอย่างยิ่ง
เพราะฉะนั้นถึงได้หาข้ออ้างรั้งอยู่ที่จิงเฉิงไม่ยอมไป หลังจากเกิดเรื่องกับเขาแล้ว ข้าจึงให้คนไป
ตรวจสอบบัญชีของฝ่ ายจัดการนํ้าทางด้านโน้น…” นํ้าเสียงของเขาหยุดลงเล็กน้อย “พบว่าบัญชี
ของฝ่ ายจัดการนํ้ามีช่องโหว่จํานวนมาก…มีหลายจุดที่ไม่อาจตรวจสอบได้…ตอนนั้นข้าจึงสงสัย
ว่าเขาจะทุจริต ข้าไปตระกูลหยาง ก็เพราะอยากจะดูว่าจะค้นพบอะไรบ้างหรือไม่…จากนั้นก็พูด
4608
กับขุนนางใหญ่ซ่งอย่างเปิดเผยไม่ปิดบัง หยั่งเชิงดูว่าขุนนางใหญ่ซ่งจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้
หรือไม่ และเขาทราบเรื่องที่บัญชีของฝ่ายจัดการนํ้ามีปัญหาหรือไม่…”
แต่เมื่อไปดูตระกูลหยาง กลับเป็นสภาพเช่นนั้น
แน่นอนว่าโจวเสาจิ่นเชื่อเฉิงฉือ
เฉิงฉือเป็นคนที่อ่านบัญชีได้ยอดเยี่ยมมาก
ไม่อย่างนั้นเหตุใดผู้อื่นถึงกล่าวกันว่าหากเขาได้รับราชการ จะต้องได้เป็นจี้เซียง 277
1
คนสําคัญ
นางกล่าวขึ้นว่า “เป็นไปได้หรือไม่ว่าเขาเอาเงินพวกนั้นไปซ่อนที่อื่นแล้ว ท่านบอกว่า
บัญชีของเขามีปัญหามิใช่หรือ ต่อให้จะดูไม่ออกอยู่ชั่วขณะหนึ่ง แต่เมื่อรอให้ถึงตอนที่ข้าหลวงคน
ใหม่มารับช่วงงานต่อความลับก็ต้องเปิดเผยออกมามิใช่หรือ ถึงเวลานั้นผู้อื่นย่อมต้องสงสัยในตัว
เขา หากข้าเป็นเขา ไม่แน่ว่าก็จะเอาเงินไปซ่อนเสีย จากนั้นแสร้งทําเป็นคนยากจนข้นแค้นผู้หนึ่ง
…”
“มิใช่! เสาจิ่น!” เฉิงฉือถอนหายใจครั้งหนึ่ง “ตอนนั้นข้าเองก็คิดเช่นเดียวกับเจ้า ก็เลยยิ่ง
ไม่อยากทักทายคนตระกูลหยาง ตั้งใจว่าจะส่งต่อเรื่องบัญชีให้ขุนนางใหญ่ซ่ง ให้ขุนนางใหญ่ซ่ง
เป็นคนจัดการ ผู้ใดจะรู้ว่าเมื่อขุนนางใหญ่ซ่งดูบัญชีแล้วจะประหลาดใจยิ่งกว่าข้าเสียอีก
สอบถามเรื่องราวกับข้ามากมาย กระทั่งถึงเวลาจุดโคมไฟ มิได้รั้งข้าอยู่รับมื้อเย็นด้วยก็ส่งข้าออก
มาแล้ว…
1จี้เซียง คนที่ได้รับการยกย่องว่ามีความสามารถด้านการคํานวณ
…ข้ารู้สึกว่าเรื่องนี้มีกลิ่นแปลกๆ จึงให้คนจับตาดูตระกูลซ่งเอาไว้ ตั้งใจว่าตัวเองกลับมา
ก่อนแล้วค่อยว่ากันอีกที…
…ปรากฏว่าข้าออกมาได้ครึ่งทาง ไหวซานก็วิ่งมาบอกข้าว่าขุนนางใหญ่ซ่งไปบ้านของขุน
นางใหญ่ชวี…”
ทันใดนั้นโจวเสาจิ่นก็ร้อง “ไอ้โหยว” ออกมาเสียงหนึ่ง กระโดดตัวโหยงลุกขึ้นมา ตัดบท
คําพูดของเฉิงฉือ
“มีอะไรหรือ” เฉิงฉือนึกขึ้นได้ว่านางย้อนเวลากลับมา ใจเต้นตึกตึกไปครู่หนึ่ง ถามขึ้นว่า
“เจ้านึกเรื่องอะไรขึ้นมาได้ใช่หรือไม่”
โจวเสาจิ่นพยักหน้าหงึกๆ พลางกล่าว “หากท่านไม่พูดข้าคงคิดไม่ถึงแล้ว ขุนนางใหญ่ชวี
ถูกคนฟ้องร้องจับตัวเข้าคุกหลวงในรัชศกจื้อเต๋อปีที่ยี่สิบสาม ซึ่งเป็นปีที่สามหลังจากที่ข้าแต่งเข้า
ตระกูลหลินไป คุณหนูใหญ่มู่เข้าบ้านมาแล้ว คลอดบุตรคนโตให้หลินซื่อเซิ่งแล้ว หลินซื่อเซิ่งอุ้ม
เด็กผู้นั้นมาให้ข้าดู พูดถึงเรื่องในราชสํานักและเอ่ยถึงขุนนางใหญ่ชวีขึ้นมา…บอกว่าขุนนาง
ใหญ่ชวีสอดมือเข้าไปยุ่งเรื่องของชายแดน รับสินบนของแม่ทัพเซวียนถง…มีข้อกล่าวหาจํานวน
มาก…ดูเหมือนหนึ่งในนั้นจะเป็นเงินที่ยักยอกมาจากคนงานที่ฝ่ ายจัดการนํ้า เนื่องจากการสอด
มือเข้าไปยุ่งเรื่องของชายแดนและการรับสินบนเป็นข้อหาหลัก เรื่องของฝ่ายจัดการนํ้าก็เลยไม่ได้
รับความสนใจจากคนเท่าไรนัก ที่ข้าจําได้ก็เพราะไร่นาในปีนั้นต้องซ่อมแซมทางนํ้า…”
เฉิงฉือฟังแล้วรู้สึกแน่นหน้าอกเล็กน้อย
ความทรงจําในชาติก่อนของเสาจิ่นล้วนมีภาพของตระกูลหลินอยู่ด้วยทุกอย่าง
เห็นได้ชัดว่าวันเวลาของนางช่างเปล่าเปลี่ยวและโดดเดี่ยวมากเพียงไร
ไม่ว่าอย่างไรชีวิตนี้ก็ต้องล้างความทรงจําเหล่านั้นออกไปจากหัวสมองของนางให้ได้ถึง
จะถูก
เฉิงฉือพึมพํากล่าวว่า “ทว่าขุนนางใหญ่ซ่งกลับไปหาขุนนางใหญ่ชวี…”
นั่นก็หมายความว่า ขุนนางใหญ่ซ่งอาจจะทราบความจริงของเรื่องราวก็เป็นได้!
เฉิงฉือขมวดคิ้วเป็นปมแน่น
โจวเสาจิ่นรีบกล่าวขึ้นว่า “ตอนนั้นข้าเองก็มิได้ใส่ใจมากนัก ท่านลองตรวจสอบดูอีกครั้ง
ดีหรือไม่”
ถ้าหากว่ามีความเกี่ยวพันกับสํานักข้าหลวงฝ่ ายจัดการนํ้าจริงๆ ต้องตรวจสอบได้อย่าง
แน่นอน
ไม่อย่างนั้นในปีนั้นขุนนางใหญ่ชวีจะได้รับข้อกล่าวหาเช่นนั้นได้อย่างไร
เฉิงฉือพยักหน้าอย่างใจลอย
โจวเสาจิ่นปรนนิบัติเขาล้างเท้า เปลี่ยนอาภรณ์แล้วขึ้นเตียง สีหน้าของเขายังคงเคลือบ
แคลงสงสัยเล็กน้อย
นางเองก็ไม่รบกวนเขา ดับตะเกียงทั้งสองดวง ช่วยเหน็บมุมผ้าห่มให้เขา มองเขาและอยู่
เป็นเพื่อนเขาเงียบๆ และหลับไปโดยไม่รู้ตัวว่าตนนอนหลับไปตั้งแต่เมื่อใด เมื่อตื่นขึ้นมาเฉิงฉือก็
ไม่อยู่บนเตียงแล้ว นางถูกห่อตัวอยู่ในผ้าห่ม นอนหลับสบายยิ่งนัก
โจวเสาจิ่นอดเม้มปากกลั้นยิ้มไม่ได้ ถามชุนหว่านว่า “นายท่านสี่เล่า”

ชุนหว่านช่วยดึงม่านขึ้นให้นางไปด้วย กล่าวไปด้วยว่า “นายท่านสี่ตื่นมาตั้งแต่ยามอิ๋นสือ
278
2 นั่งอยู่ในห้องหนังสือตลอดไม่ออกมาเลยเจ้าค่ะ”
เรื่องนี้เป็นปัญหายุ่งยากมากหรือ
โจวเสาจิ่นรีบคลานออกมาจากผ้าห่ม ล้างหน้าแต่งตัวรอบหนึ่งแล้วไปที่ห้องหนังสือ
ภายในห้องหนังสือจุดตะเกียงเอาไว้ เฉิงฉือสวมชุดผ้าฝ้ายเนื้อละเอียดบุสองชั้นสีดํานั่ง
ฝึกคัดอักษรอยู่ตรงนั้น
สีหน้าท่าทางของเขาอ่อนโยน ดูแล้วไม่มีอะไรต่างไปจากยามปกติ แต่โจวเสาจิ่นกลับ
รู้สึกว่าเขาดูเหมือนมีอะไรที่แปลกออกไป ยืนมองเขาอยู่ที่ปากประตู ลืมกล่าวคําทักทายเขาไปชั่ว
ขณะหนึ่ง
เฉิงฉือกลับเงยหน้าขึ้นมา กล่าวยิ้มๆ ว่า “เหตุใดถึงตื่นเช้าขนาดนี้ ฟ้ายังไม่สว่างเลย!”
โจวเสาจิ่นรีบกล่าวขึ้นว่า “ประเดี๋ยวยังต้องไปส่งฮูหยินผู้เฒ่าที่ซอยซิ่งหลินอีกเจ้าค่ะ…”
เฉิงฉือตะลึงงันไปครู่หนึ่ง กล่าวยิ้มๆ ว่า “ข้าลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิท!”
เขาลืมเรื่องนี้ไปได้อย่างไร
โจวเสาจิ่นอดไม่ได้ก้าวออกไปกอดแขนของเขาเอาไว้ ถูไถอยู่บนแขนของเขาอย่างออด
อ้อนเล็กน้อย
สายตาที่เฉิงฉือมองนางอ่อนโยนจนคล้ายกับจะหลั่งนํ้าออกมาได้

ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยามดอกวสันต์ผลิบาน