ยามดอกวสันต์ผลิบาน – ตอนที่ 62 คลี่คลายปัญหา
หรือว่านางจะเจอผีจริง ๆ
โจวเสาจิ่นหวาดกลัวอยู่ในใจ จนแทบจะเป็นลมล้มพับลงไป
แต่ใครจะรู้ว่าเสียงหัวเราะอันสดใสกังวานของชายผู้นั้นกลับแว่วขึ้นมาจากฝั่งตรงข้าม
โจวเสาจิ่นตะลึงงัน
เสียงนั้น คุ้นหูเล็กน้อย ทั้งยังแฝงความอบอุ่นที่ทำให้นางหลงใหลชื่นชอบอยู่หลายส่วน…
นางเบิกตากว้างอย่างห้ามไม่อยู่
รูปร่างของชายหนุ่มผู้นั้นสูงเพรียว กริยาท่าทางที่ดูสบาย ๆ ทว่ากลับดูเป็นธรรมชาติยิ่ง เผยให้เห็นความสูงศักดิ์ที่ออกมาอย่างเป็นธรรมชาติ ทำให้ผู้คนยากที่จะละสายตาได้
โจวเสาจิ่นมีชีวิตอยู่มาสองชาติภพ กลับมีเพียงคนเดียวที่สร้างภาพจำตราตรึงในใจเยี่ยงนี้แก่นาง
นางก้าวเท้ามาข้างหน้าสองก้าวอย่างเสียไม่ได้
ชายหนุ่มตรงหน้าหัวเราะร่าเสียงดังขึ้นมา
ภายใต้แสงโคมไฟ ดวงตาที่ดูมีชีวิตชีวาของเขานั้นเต็มไปด้วยความอบอุ่น
“ท่านน้าฉือ!” โจวเสาจิ่นกระโดดพรวดขึ้นมา
เฉิงฉือหัวเราะเสียงดัง พลางกวักมือเรียกนาง “จำข้าได้แล้วหรือ!”
โจวเสาจิ่นพยักหน้ารัว จิตใจที่ว้าวุ่นก็ผ่อนคลายลงมาอย่างสิ้นเชิง สาวเท้าวิ่งเข้าไป ทว่าวิ่งได้เพียงสองก้าว ก็นึกขึ้นได้ว่าพวกฝานหลิวซื่อยังติดตามนางอยู่ข้างหลัง รีบเหลียวหลังกลับไปมอง พบว่าฝานหลิวซื่อกับคนอื่น ๆ ต่างจ้องมองนางอย่างตกตะลึงตาค้าง ท่าทางชะงักงัน นางยิ้มร่าอย่างอดไม่ได้ กล่าวขึ้นว่า “ท่านผู้นี้คือท่านน้าฉือ เป็นนายท่านสี่ของจวนหลัก ไม่ต้องกลัวหรอก”
ครั้นได้ยินว่าเป็นคนของจวนหลัก และเห็นท่าทางที่คุ้นเคยกันระหว่างโจวเสาจิ่นกับเขาด้วยแล้ว ฝานหลิวซื่อกับคนอื่น ๆ จึงรู้สึกโล่งใจไปเปลาะหนึ่ง
โจวเสาจิ่นหันหน้ากลับมาอยากจะแนะนำสาวใช้ของตนเองให้กับเฉิงฉือ ถึงตอนนี้นางถึงได้สังเกตว่า…สถานการณ์เปลี่ยนเป็นแปลกประหลาดยิ่งนัก…นางควรจะอธิบายเกี่ยวกับการปรากฏตัวของพวกนางให้เฉิงฉือฟังอย่างไรดี นอกจากนี้แล้ว ยามสามของกลางดึก ที่มีสายลมเย็นและดวงจันทร์นวลเช่นนี้ ทำไมท่านน้าฉื่อถึงได้มานั่งดื่มชาอยู่ตรงนี้ได้
ย่างเท้าของนางก้าวขึ้นมาด้วยความลังเลอย่างอดไม่ได้ แววตาที่มองเฉิงฉือก็พกพาความลังเลใจอยู่หลายส่วนด้วยเช่นกัน “ท่านน้าฉือ ข้า…”
ทว่าไม่รอให้คำพูดของนางได้เอ่ยออกมาจากปาก ก็มีเสียงฝีเท้าว่องไวดังเข้ามาจากด้านหลังพวกนาง
โจวเสาจิ่นหันศีรษะกลับไปด้วยความร้อนรน
เห็นเงาร่างสูงใหญ่กำยำเงาหนึ่งนำคนสองคนเดินมุ่งหน้ามาทางนี้
เป็นพ่อบ้านฉินที่ไล่ตามมา
โจวเสาจิ่นหวาดหวั่นจนหัวใจเต้นรัว พลางมองไปยังเฉิงฉือ
เฉิงฉือมองนางด้วยรอยยิ้ม
ความคิดอันบรรเจิดสายหนึ่งแล่นผ่านขึ้นมาในห้วงสมองของโจวเสาจิ่น โดยไม่อาจอธิบายออกมาได้นางเชื่อมั่นว่าเฉิงฉือจะสามารถ…จะสามารถปกป้องนางให้ตลอดรอดฝั่งได้อย่างแน่นอน
ไม่เช่นนั้น ทำไมเขาถึงได้กวักมือเรียกนางด้วยตัวเอง
นางหลบไปอยู่ด้านหลังของเฉิงฉือโดยไม่คิด
ฝานหลิวซื่อและคนอื่น ๆ เห็นแล้ว ก็หลบเข้าไปซ่อนอยู่ในดงป่าที่อยู่ข้าง ๆ
พ่อบ้านฉินสาวเท้ายาวเดินเข้ามาพร้อมด้วยบ่าวติดตามสองคน
โจวเสาจิ่นใจเต้นอย่างรุนแรง นางชำเลืองมองไปยังเฉิงฉืออย่างเงียบ ๆ อีกครั้ง
ทว่าเฉิงฉือกลับนั่งนิ่งราวกับกำลังนั่งตกปลาอยู่ก็ไม่ปาน แม้แต่หางคิ้วหรือดวงตาก็ไม่กระดิกไหวเลยสักนิด ยังคงลูบถ้วยชาในมือเบา ๆ ด้วยสีหน้าที่ผ่อนคลายและสบายใจเช่นเดิม
เขาไม่กลัวว่าพ่อบ้านฉินจะค้นพบนางอย่างนั้นหรือ ต่อให้เขาเป็นผู้ที่ดูแลกิจการของตระกูลเฉิง และสามารถควบคุมพ่อบ้านฉินได้ ทว่าตระกูลเฉิงนั้นไม่ได้มีจวนหลักเพียงจวนเดียว ยังมีเฉิงซวี่ผู้เป็นท่านผู้นำตระกูลของจวนรองอีกด้วย! อยู่ ๆ ภายในจวนก็เกิดเหตุเพลิงไหม้ขึ้น นี่ถือเป็นเรื่องร้ายแรงเรื่องหนึ่ง! หากว่าสืบสาวหาสาเหตุที่เกิดเพลิงไหม้ไม่พบ จับผู้ลอบวางเพลิงไม่ได้ ใครจะรู้ว่ามีครั้งนี้แล้วจะมีครั้งถัดไปอีกหรือไม่ ใครจะรู้ว่าในครั้งนี้สามารถตรวจพบแล้วในครั้งถัดไปจะสามารถตรวจพบได้หรือไม่ ซึ่งก็จะยิ่งทวีความร้ายแรงขึ้นไปอีก ถ้าหากว่าเฉิงซวี่มาสอบสวนด้วยตนเอง การปกปิดร่องรอยของตนเองก็จะเป็นเรื่องที่ยุ่งยากมากเรื่องหนึ่ง?
ในใจของท่านน้าฉือคิดเห็นอย่างไรบ้างนะ?
นางกับเขาไม่ได้เป็นญาติสนิทหรือมิตรสหายที่เกี่ยวข้องกัน…นับครั้งแล้วก็เพิ่งจะพบกันเป็นครั้งที่สามเท่านั้น…
โจวเสาจิ่นลอบพึมพำอยู่ในใจ ภายในใจรู้สึกกระวนกระวายอยู่ไม่เป็นสุขเป็นอย่างยิ่ง
พ่อบ้านฉินยืนนิ่งอยู่เบื้องหน้าของเฉิงฉือ
ทว่าเขากลับแสร้งทำเหมือนกับว่าไม่เห็นอะไร น้อมกายหมัดประสานทำความเคารพเฉิงฉืออย่างนอบน้อม แล้วยืดตัวตั้งตรงเอามือแนบกายเรียก นายท่านสี่ อย่างสุภาพ
โจวเสาจิ่นรู้สึกสับสนงงงวยกับสถานการณ์เล็กน้อย
เฉิงฉือพยักหน้าเบา ๆ กล่าวขึ้นอย่างแผ่วเบาว่า “เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือ”
พ่อบ้านฉินหลุบตาลงเล็กน้อย กล่าวอย่างนอบน้อมว่า “คุณชายใหญ่นั่วของจวนห้าได้นำลูกพี่ลูกน้องชายกับสหายร่วมชั้นจากสำนักศึกษาหลายท่านไปเล่นพนันกันในศาลาริมน้ำที่สวนดอกไม้เล็กของจวนห้าขอรับ ไม่ทราบว่าใครเป็นผู้ลอบวางเพลิง ป้าผู้เป็นบ่าวเฝ้าเวรยามตอนกลางคืนของจวนสี่เป็นผู้พบเห็น จึงลั่นฆ้องตีกลองพลางวิ่งไปช่วยกันดับไฟ ทว่าใครจะรู้ว่าทางด้านจวนห้านั้นกลับนิ่งเงียบไม่มีความเคลื่อนไหวเลยสักนิด จนกระทั่งข้าไปถึงจุดที่เกิดเหตุ ถึงได้มีป้าบ่าวรับใช้สองสามคนวิ่งลุกลนออกมาด้วยสภาพเสื้อผ้าหลุดลุ่ยพลางตะโกนร้องให้ช่วยดับไฟ ตอนนี้ดับไฟได้แล้ว และได้จัดเตรียมให้พวกคุณชายกับสหายทั้งหลายไปพำนักอยู่ในเรือนของคุณชายใหญ่นั่วเป็นการชั่วคราวก่อน แต่ก็ยังไม่พบสาเหตุที่เกิดไฟไหม้ขอรับ”
โจวเสาจิ่นหัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะ มองไปยังพ่อบ้านฉินอย่างร้อนรน
พ่อบ้านฉินก็หันมามองนางพอดิบพอดี
ทั้งสองคนสบตากันกลางอากาศไปชั่วขณะหนึ่ง ทว่าพ่อบ้านฉินกลับรีบหลบตาลงอย่างรวดเร็ว หลีกเลี่ยงสายตาของโจวเสาจิ่น
นางต่างหากที่เป็นผู้กระทำความผิดผู้นั้น ควรจะเป็นนางที่ต้องเกรงกลัวเขา และหลบสายตาของเขาถึงจะถูก แต่ทว่าเหตุใดถึงกลายเป็นเขาที่มีท่าทางเกรงกลัวที่จะมองตนเองอีกสักหน่อยอย่างนั้น?
โจวเสาจิ่นรู้สึกฉงนเป็นอย่างยิ่ง
ทว่าเสียงของเฉิงฉือที่ยังคงแผ่วเบากลับดังผ่านมาข้างหูของนาง “ช่วงนี้อากาศแห้งแล้งนักกิ่งไม้ใบหญ้าก็แห้งกรอบ เกรงว่าพวกคุณชายสองสามท่านจะเผลอจุดอะไรบางอย่างข้างนอกศาลาริมน้ำโดยไม่ตั้งใจ นี่ก็นับเป็นเรื่องเล็กน้อย ทว่าเรื่องที่เกิดไฟไหม้ในจวนห้า แต่จวนสี่กลับเป็นผู้พบเห็น ส่วนจวนห้านิ่งเงียบไม่ออกมาดับเพลิง นี่ต่างหากที่นับเป็นเรื่องใหญ่ ทางด้านนั้นคงจะวุ่นวายอยู่ไม่น้อย เจ้าไปจัดการให้ที แล้วพรุ่งนี้เช้าไปเข้าพบผู้นำตระกูลของจวนรองพร้อมข้า คาดว่าค่ำคืนนี้พวกผู้อาวุโสของตระกูลก็คงจะนอนไม่หลับแล้ว”
พ่อบ้านฉินขานตอบว่า ขอรับ อย่างนอบน้อม หมุนกายจากไปพร้อมกับบ่าวติดตามสองคน
บ่าวติดตามสองคนนั้นของเขาตั้งแต่ต้นจนจบต่างไม่ได้ส่งเสียงเอ่ยอะไรเลยทั้งสิ้น ประหนึ่งเป็นหุ่นเชิดสองตัว ทว่าขณะที่พ่อบ้านฉินกำลังจะเดินออกไปนั้นก็เผลอตัวเหลือบมองไปที่โจวเสาจิ่นอีกครั้ง แต่แล้วสายตากลับเต็มไปด้วยความประหลาดใจอย่างไม่อาจปิดบังเอาไว้ได้
นี่ มันเกิดอะไรขึ้น
พ่อบ้านฉินเพียงเดินจากไปเช่นนี้อย่างนั้นหรือ
เสมือนกับว่าไม่ได้เห็นนางเลยอย่างนั้นหรือ
ท่านน้าฉือยังกล่าวอีกว่า พวกคนที่ไปเล่นพนันกันในศาลาริมน้ำเหล่านั้นต่างหากที่เป็นคนจุดเพลิงโดยไม่ตั้งใจ…



VERIFYCAPTCHA_LABEL
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยามดอกวสันต์ผลิบาน