เมื่อเสียงพิณมาถึงส่วนที่ลึกซึ้งที่สุด น้ำตาของโจวเสาจิ่นก็ไหลออกมาเงียบ ๆ
ห่านป่ายังมีที่ให้พักเท้า แล้วที่ของนางเล่าอยู่แห่งหนใด?
ความรู้สึกโศกเศร้าเช่นนี้โลดแล่นอยู่ในส่วนลึกของหัวใจนางอยู่เนิ่นนาน กระทั่งตอนที่นางได้สติกลับมา ถึงได้พบว่าคนที่ฟังจนดื่มด่ำเข้าไปในจิตวิญญาณนั้นไม่ได้มีแค่นางเพียงคนเดียวเท่านั้น เฉิงเจียนั่งเท้าคางอยู่ข้าง ๆ โต๊ะกลมตรงกลางโถง ดวงตาทั้งคู่ปิดอยู่เบา ๆ เงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจ พานชิงพิงอยู่บนเก้าอี้เหม่ยเหรินที่พาดยาว มองไปที่เฉิงสือที่อยู่ด้านนอกฉากกั้นนั้นอย่างตั้งอกตั้งใจ แววตาดึงดูดยิ่งนัก มีเพียงพี่สาวเท่านั้นที่เป็นเช่นเดียวกับนาง ดวงตาคลอไปด้วยหยาดน้ำตา ท่าทางเจ็บปวด ก้มหน้าลงใช้ผ้าเช็ดผ้าซับน้ำตา
โจวเสาจิ่นอดยิ้มไม่ได้
เห็นได้ชัดว่าประสบการณ์ที่ไม่เหมือนกันทำให้เกิดความรู้สึกที่ไม่เหมือนกันด้วย
สุดท้ายแล้วนางยังคงใกล้ชิดกับพี่สาวมากที่สุด
โจวเสาจิ่นเช็ดน้ำตา
เสียงดนตรีอ้อยอิ่ง และจบลง สติของทุกคนจึงกลับมา
ด้านนอกศาลานั้นมีเสียงปรบมือไม่ขาดสาย และเสียงชื่นชมก็ไม่สิ้นสุด
โจวชูจิ่นเองก็รู้สึกท่วมท้น “ข้าอาศัยอยู่ในจวนมาตั้งหลายปี แต่กลับไม่เคยรู้มาก่อนว่าพี่ชายสือจะเป็นผู้มีฝีมือสูงส่งขนาดนี้!”
เฉิงเจียรู้สึกขุ่นเคืองแทนเฉิงเจิ้งผู้เป็นพี่ชาย กล่าวขึ้นว่า “นี่นับว่ามีอะไรหรือ ตระกูลของพวกเรามีคนมากมายที่ไม่เปิดเผยความสามารถดั่งมังกรซ่อนเร้นและเสือหมอบ! พี่ชายของข้าก็บรรเลงพิณได้ไพเราะยิ่ง หากไม่เชื่อประเดี๋ยวข้าจะให้เขาบรรเลงด้วยสักเพลงหนึ่ง รับรองว่าทำให้ฝูงชนประหลาดใจอย่างแน่นอน”
“ถึงขนาดทำให้ฝูงชนประหลาดใจเลยรึ!” พานชิงหัวเราะ หึหึ “การดีดพิณนั้นคือการพูดถึงทักษะอย่างนั้นหรือ เช่นนั้นไม่กลายเป็นเรื่องของความเชี่ยวชาญไปแล้วหรือ! การดีดพิณต้องกล่าวถึงอารมณ์ร่วมในงานศิลปะ เมื่ออารมณ์ถึงแล้ว ทักษะจะเป็นเพียงตัวช่วยเสริมเท่านั้น ไม่ได้สลักสำคัญขนาดนั้น…”
เฉิงเจียทนฟังคำพูดของนางไม่ได้ จึงตัดบทคำพูดของพานชิง ยิ้มพลางเอ่ยถามโจวชูจิ่นว่า “พี่สาว ท่านรู้จักฉายาของพี่ชายสือหรือไม่เจ้าคะ”
โจวชูจิ่นส่ายศีรษะ
เฉิงเจียกล่าวยิ้ม ๆ อย่างเจ้าเล่ห์ว่า “ฉายาของพี่ชายสือเรียกว่า คฤหัสถ์พิศวาสดอกไม้…”
โจวเสาจิ่นและคนอื่น ๆ ต่างก็นิ่งเงียบไปเล็กน้อย
พักใหญ่ พานชิงถึงได้กล่าวขึ้นมาอย่างขุ่นเคืองว่า “น้องสาวเจีย ทำไมเจ้าถึงได้กล่าวลอย ๆ อย่างไร้เหตุผลได้ทั้งวันโดยที่ไม่มีเวลาไหนที่จะจริงจังบ้างเลย ฉายาของพี่ชายสือ ใช่เรื่องที่เจ้าสามารถเอาไปโพนทะนาทุกที่หรือ”
เฉิงเจียหัวเราะร่าเสียงดัง พลางกล่าว “สิ่งที่พี่ชายสือชื่นชอบมากที่สุดก็คือการปลูกดอกไม้ ดอกเบญมาศที่เขาปลูก แต่ละดอกล้วนบานจนใหญ่เท่าขอบชาม ดอกซีฝู่ไห่ถัง ช่วงเวลาของการบานสรั่งนั้นยาวนานจนถึงเดือนที่สองของฤดูใบไม้ผลิ ด้วยเหตุนี้จึงได้รับฉายาว่า คฤหัสถ์พิศวาสดอกไม้…พี่สาวชิงคิดไปถึงไหนต่อไหนกันหรือเจ้าคะ”
พานชิงหน้าแดงก่ำไปทั้งหน้า กล่าวอย่างไม่ยอมจำนนว่า “เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้ากำลังคิดอะไรอยู่ เป็นเจ้าเองที่คิดอกุศล แต่กลับผลักมาให้ผู้อื่น…”
สองพี่น้องตระกูลโจวไม่คิดเข้าไปร่วมวงด้วย
โจวชูจิ่นมองคนทั้งสองยิ้ม ๆ ส่วนสายตาของโจวเสาจิ่นมองไปที่ร่างของเฉิงสือและเฉิงเจิ้งที่อยู่ด้านนอกศาลาอี้ชุ่ย
คนทั้งสองต่างก็สูงใหญ่ หล่อเหลา และมีมารยาทเฉกเช่นบัณฑิตเหมือนกัน ส่วนที่ไม่เหมือนกันคือเฉิงสือนั้นมีกลิ่นอายของหนอนหนังสือ และค่อนข้างสง่างามตามแบบของลูกหลานตระกูลผู้ดีมากกว่าอยู่หลายส่วน ขณะที่เฉิงเจิ้งนั้นสุขุมรอบคอบ ดูมีประสบการณ์และความสามารถ เสมือนลูกหลานของตระกูลบัณฑิตและชาวนาที่สืบทอดกันมาหลายต่อหลายรุ่น แฝงความเรียบง่ายเอาไว้อยู่หลายส่วน
ทั้งสองคนกำลังกระซิบกระซาบคุยบางอย่างกันอยู่ ร้อยยิ้มสุกใส การแสดงออกอย่างจริงใจ ท่าทีโอภาปราศรัย เสมือนกับสหายสนิทที่รู้จักกันมาเป็นเวลานานหลายปี
แต่ในความเป็นจริงแล้วในใจของพวกเขาคิดอย่างไรกันแน่นั้น เกรงว่าใครก็ไม่อาจรู้ได้
โจวเสาจิ่นหันศีรษะกลับมา
หางตาเหลือบไปเห็นเฉิงสวี่
เขากำลังจ้องมาที่ศาลาอี้ชุ่ยพอดี
โจวเสาจิ่นขมวดคิ้วมุ่น
เฉิงสวี่เก็บสายตากลับไป พูดคุยและหัวเราะขึ้นมากับเฉิงเก้าและพานจ้าวที่อยู่ข้าง ๆ
ไม่นานหลังจากนั้น มีบ่าวชายถือพิณตัวหนึ่งเข้ามา เฉิงสวี่นั่งลงบนพื้น เริ่มจัดวางพิณให้เข้าที่
ทันใดนั้นข้าง ๆ หูของโจวเสาจิ่นก็ได้ยินเสียงของพานชิงดังเข้ามา “ไม่รู้ว่าอีกประเดี๋ยวพี่ชายสวี่จะบรรเลงเพลงอะไร มีพี่ชายสือที่เก่งกาจอยู่ตรงหน้าเช่นนี้ ไม่รู้ว่าพี่ชายสวี่จะรู้สึกกดดันหรือไม่”
ในน้ำเสียงของนางให้ความรู้สึกบางอย่างที่อธิบายให้ชัดเจนได้ยาก ทำให้โจวเสาจิ่นรู้สึกไม่ชอบยิ่งนัก นางยิ้มพลางกล่าวอย่างเรียบ ๆ ว่า “พี่สาวชิงรู้หรือไม่ว่าพี่ชายสวี่เชี่ยวชาญบทเพลงอะไร ข้าไม่รู้เลย!”
พานชิงยิ้ม
ไม่รู้ว่าพานจ้าวพูดอะไร เฉิงเก้าและคนอื่น ๆ ต่างก็หันมามองที่ศาลาอี้ชุ่ยด้วยสีหน้าประหลาดใจ จากนั้นก็หัวเราะขึ้นมา ราวกับว่าเห็นอะไรบางอย่างที่น่าสนใจ
โจวเสาจิ่นหลบออกไปจากมู่ลี่ไผ่
มีสาวใช้วิ่งเข้ามา เอ่ยขึ้นยิ้ม ๆ เสียงดังว่า “พวกคุณชายหลายท่านกล่าวว่า ไม่อาจปล่อยให้พวกเขาได้รับคำชื่นชมเพียงเท่านั้น จึงเชิญให้คุณหนูทั้งหลายร่วมบรรเลงสักสองสามเพลง แล้วทุกคนมาร่วมแสดงความเห็นต่อกันและกันเจ้าค่ะ”
เช่นนี้ก็คือต้องการประลองการดีดพิณกันแล้ว!
เฉิงเจียตกใจจนหน้าซีด กล่าวขึ้นว่า “นี่เป็นความคิดของผู้ใดกัน”
สาวใช้ไม่กล้าตอบ
พานชิงยิ้มพลางพูดแทนสาวใช้ผู้นั้นว่า “นางก็แค่นำความมาแจ้งมาเท่านั้น เจ้าไปโมโหนางเช่นนั้นมีประโยชน์อันใด” จากนั้นก็กล่าวเสียงอ่อนโยนว่า “คำพูดนี้เป็นใครบอกมาหรือ”
สาวใช้มองพานชิงอย่างรู้สึกขอบคุณ พลางกล่าว “คุณชายทั้งหลายต่างก็พูดเช่นนี้เจ้าค่ะ…”
เฉิงเจียโกรธจนกระทืบเท้าไม่หยุด
มีเสียงหัวเราะใสกังวานของเฉิงสือดังมาจากด้านนอกของศาลาอี้ชุ่ยว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าจะกล้าไม่ทำตามได้อย่างไร”
โจวเสาจิ่นและคนอื่น ๆ มองไปตามเสียงนั้น
ไม่รู้ว่าพานจ้าวไปยืนอยู่ข้าง ๆ เฉิงสือและเฉิงเจิ้งตั้งแต่เมื่อไหร่ เฉิงสือกำลังถอดจี้หยกตรงบริเวณเอว พลางกล่าว “นี่คือจี้หยกที่ได้รับมาจากท่านปู่ทวด ถือเป็นของรางวัลการประลอง!” กล่าวจบก็ตบหน้าผากอย่างแสนเสียดาย พลางกล่าวขึ้นว่า “ข้าว่า หากพวกน้องสาวทั้งหลายชนะ จี้หยกชิ้นนี้คงไม่เหมาะสมเท่าไหร่แล้ว…” เขาครุ่นคิดครู่หนึ่ง จากนั้นตะโกนเรียกเฉิงสวี่ว่า เจียซ่าน และกล่าวขึ้นว่า “ข้าจำได้ว่าเจ้ามีพิณดี ๆ อยู่หลายตัว ถึงเวลานั้นนำออกมาสักตัวเป็นของรางวัลให้พวกน้องสาวเถิด”
เฉิงสวี่ยิ้มพลางกล่าวอย่างองอาจว่า “พี่ชายใหญ่ออกปากเช่นนี้แล้ว น้องเล็กจะกล้าไม่ทำตามได้อย่างไร!” เขาสั่งฮวนสี่เสียงดังว่า “เจ้าไปหยิบ หวงหมิง ชิ้นนั้นของข้าออกมา”
เฉิงสือยิ้มพลางกล่าว “ยังคงเป็นเจียซ่านที่ใส่ใจ คิดได้รอบด้าน พิณ หวงหมิง นั้นมีน้ำหนักเบาและใช้ง่าย เสียงกังวานใส เหมาะสำหรับให้เด็กสาวดีดยิ่งนัก”

VERIFYCAPTCHA_LABEL
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยามดอกวสันต์ผลิบาน