ฝานฉีไม่เข้าใจ เอ่ยถามขึ้นว่า “ทุกวันนี้นางก็ได้รับการเลี้ยงดูอยู่ในจวนตระกูลโจวอยู่แล้ว ทำไมคุณหนูรองยังต้องทำอีกหรือขอรับ หรือว่าอยากจะให้รางวัลเป็นบ้านอีกหลัง แล้วจ้างบ่าวไปรับใช้นางอย่างนั้นหรือ นางนั้นคุ้นเคยกับการทำงานอยู่ข้างนอกลานบ้าน หากถูกคนยกย่องให้เป็นฮูหยินผู้เฒ่า เกรงว่าจะไม่มีคนพูดด้วยสักคน ไม่สู้ให้เป็นเหมือนกับตอนนี้ยังจะดีเสียกว่า ทุกคนต่างเคารพนางทั้งต่อหน้าและลับหลัง นางอยากทำอะไรก็ทำ ไม่อยากทำก็สามารถพักผ่อนได้ตามใจ”
โจวเสาจิ่นกล่าวยิ้ม ๆ ว่า “แล้วเจ้าเคยได้ยินเรื่องเล่า ‘ซื้อกระดูกด้วยทองพันชิ้น’ หรือไม่”
ฝานฉีส่ายศีรษะ
โจวเสาจิ่นกลั้นยิ้มพลางกล่าว “กลับไปก็ไปหาคนมาถามดูด้วยตัวเองก็แล้วกัน! แต่เรื่องที่ข้าสั่ง เจ้าต้องไปทำให้ข้าก็พอ ไม่อย่างนั้นระวังเถอะข้าจะบอกแม่ของเจ้า” จากนั้นก็หยิบเงินออกมาอีกสองเส้น “นี่สำหรับให้เจ้าเอาไว้ใช้ซื้อของ ถ้าหมดแล้วก็ค่อยบอกข้าอีกที”
สิ่งที่คุณหนูรองกล่าวมานั้นเขาฟังแล้วไม่เข้าใจเลย
ฝานฉีก้มศีรษะลงออกจากประตูไป
ขณะที่มุ่งหน้าไปนั้นก็ได้พบกับซือเซียง
ฝานฉีกลอกตาไปมาไม่หยุด ดึงซือเซียงไปในที่ลับตาคน แล้วเอ่ยถามขึ้นว่า “พี่ซือเซียง ท่านรู้จักเรื่องเล่า ‘ซื้อกระดูกด้วยทองพันชิ้น’ หรือไม่”
“รู้” ซือเซียงไม่รู้วัตถุประสงค์ของฝานฉี เล่าเรื่องตามที่อยู่ในหนังสือให้ฝานฉีฟัง
ตอนนี้ฝานฉีถึงได้เข้าใจเรื่องราว
ที่แท้คุณหนูรองต้องการใช้อวี๋มามาเป็นตัวเบิกทาง เพื่อดึงคนที่เคยรับใช้มารดาของนางมาก่อนออกมา…แต่ดึงออกมาเพื่ออะไรกันล่ะ? เพื่อเลี้ยงดู? เพื่อให้ความช่วยเหลือ?
ฝานฉีก็ไม่เข้าใจแล้ว
แต่เขายังคงถือลูกสาลี่สองสามลูกและพุทราจีนอีกครึ่งจิน ไปยังจวนตระกูลโจวที่ถนนผิงเฉียวอย่างเป็นการเป็นงาน
เฉิงเจียมาหาโจวเสาจิ่นด้วยอารมณ์เดือดดาล ไล่บ่าวรับใช้ของโจวเสาจิ่นให้ออกจากห้องไปทั้งหมดราวกับเป็นเรือนของตัวเอง
“ช่างไร้ยางอายจริง ๆ!” เมื่อเห็นว่าในห้องไม่มีคนแล้ว นางก็แสดงอาการขยะแขยงออกมาในทันที “เจ้ารู้หรือไม่ พานชิง นางถึงกับแล่นไปเดินเล่นถึงทะเลสาบชิงซี และได้พบกับพี่ชายสวี่ด้วยความบังเอิญมาก ทั้งยังพูดคุยหยอกล้อกับพี่ชายสวี่อย่างสนุกสนาน พูดอะไรทำนองว่านับถือพี่ชายสวี่เรื่องการเรียนและการวางตัว อยากจะขอคำแนะนำเกี่ยวกับการดีดพิณจากพี่ชายสวี่…เจ้าไม่ได้เห็น ท่าทางอ่อนหวานเช่นนั้นของนาง แบบนี้…” นางแสดงสีหน้ารักใคร่หนึ่งออกมา “ช่างน่าคลื่นไส้จริง ๆ…ข้ารู้ว่านางนั้นไร้ยางอาย แต่ก็คิดไม่ถึงว่านางจะไร้ยางอายได้มากขนาดนี้! โชคดีที่พี่ชายสวี่ ยังคงยิ้มน้อย ๆ กับนางอย่างมีสุภาพ และพูดคุยกับนางอย่างนุ่มนวล…ข้าเกือบจะสำลอกทุกอย่างที่กินเข้าไปเมื่อคืนออกมาแล้ว…ที่ผ่านมานางไม่เคยแสดงอาการอ่อนโยนขนาดนี้ต่อหน้าพวกเรามาก่อน…”
โจวเสาจิ่นตะลึงงัน กล่าว “แล้วเจ้ารู้ได้อย่างไร”
เฉิงเจียที่กำลังพ่นคำพูดออกมาไม่หยุดนั้นพลันชะงักลง อึกอักอยู่ครู่ใหญ่ ถึงได้พึมพำกล่าวขึ้นมาว่า “ข้า..ข้าให้คนสะกดรอยตามนาง…” พอคำพูดออกจากปากแล้ว นางก็รู้สึกว่าตนเองแสดงออกมาอย่างขาดความมั่นใจเกินไป ทันใดนั้นก็ยืดหลังให้ตรงขึ้น และพูดห้วน ๆ เสียงดังว่า “นี่ก็โทษข้าไม่ได้หรอกนะ! ใครใช้ให้นางแสดงออกไม่เหมือนกันเช่นนี้ กับข้ามักจะเสแสร้งแกล้งทำ ไม่ว่าอย่างไรข้าก็จะต้องเปิดโปงใบหน้าที่แท้จริงของนางออกมา…เพื่อไม่ให้ท่านแม่ของข้ายกเอานางมาสั่งสอนข้าทุกครั้งที่พบหน้าข้า…”
เฉิงเจียเหมือนกับเด็กคนหนึ่งก็ไม่ปาน
ทว่าโจวเสาจิ่นกลับหัวเราะไม่ออกเลยแม้แต่นิดเดียว
ถ้าหากไม่มีเฉิงเจีย นางก็อาจจะยังไม่รู้ว่าเพื่อให้ได้แต่งกับเฉิงสวี่แล้ว พานชิงจะวางตัวได้ต่ำขนาดนี้
แต่นี่ก็ล้วนแต่เป็นเรื่องของพานชิงเอง
นางไม่ควรใช้โจวชูจิ่นผู้เป็นพี่สาวมาช่วยสร้างชื่อเสียงให้นาง
โจวเสาจิ่นนึกถึงบทสนทนาของสาวบ่าวรับใช้พวกนั้น
พี่สาวคือผู้ที่ใกล้จะออกเรือนอยู่แล้ว เพื่อความเห็นแก่ตัวของตนเองแล้ว พวกนางกลับลากนางเข้าไปอยู่ในวังวนแห่งปัญหา
โจวเสาจิ่นแสยะยิ้มอยู่ในใจ เอ่ยถามเฉิงเจียว่า “นอกจากเจ้าแล้ว มีใครรู้เรื่องนี้อีกบ้าง”
โจวเสาจิ่นไม่ได้ยกเอาเหตุผลหรือคำพูดที่จริงจังมาอบรมสั่งสอนนางเหมือนกับอาจารย์แก่ ๆ เฉิงเจียพลันรู้สึกอิ่มเอมใจ แต่ก็ไม่วายกลอกตาให้นางครั้งหนึ่ง กล่าวอย่างขุ่นเคืองว่า “เจ้าคิดว่าข้าโง่หรืออย่างไร! ไม่ใช่ว่าข้าดีกับเจ้าที่สุดหรอกหรือ นอกจากเจ้าแล้ว ข้าก็ไม่ได้บอกใครเลย” พูดจบ นางก็กล่าวขึ้นอย่างเป็นกังวลอีกว่า “แต่ว่าควรจะทำอย่างไรกับเรื่องนี้ดี ปล่อยให้นางทำอย่างนี้ต่อไปอย่างนั้นหรือ ถ้าหากถูกคนอื่นพบเห็นเข้า ไม่ใช่ว่าต้องอับอายขายหน้าผู้คนแย่เลยหรือ! ทำไมข้าถึงได้ดวงซวยขนาดนี้ ต้องมาเป็นลูกพี่ลูกน้องกับพานชิง!”
โจวเสาจิ่นมองเฉิงเจียที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวนั้นแล้ว ในใจก็พลันเกิดความเศร้าสายหนึ่งขึ้นมา
ทะเลสาบชิงซีนั้นตั้งอยู่ที่ลานด้านหลังของซอยจิ่วหรู สร้างอยู่ติดกับสวนดอกไม้ของตระกูลเฉิง ด้านตะวันตกคือจวนหลัก ด้านตะวันออกคือจวนรอง หากคนจากจวนสามอยากจะไปเดินเล่นที่นั่น ก็ต้องเดินผ่านจวนรองก่อน…
ถ้าหากไม่มีใครช่วยเหลือพานชิง พานชิงจะสามารถไปเดินเล่นยังสถานที่ที่ไกลขนาดนั้นได้อย่างไร นอกจากนี้จะได้พบกับเฉิงสวี่โดยบังเอิญขนาดนั้นได้อย่างไร
เฉิงเจียนั้นไม่รู้เรื่องอะไรเลยสักอย่าง
เรื่องที่ทำให้นางได้รับความเสื่อมเสียในครั้งนั้น นางจะเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดได้จริง ๆ หรือ
โจวเสาจิ่นเอ่ยถามเฉิงเจียเสียงเข้มว่า “วันนั้นตอนที่อยู่ที่ศาลาอี้ชุ่ยนั้น ทำไมพี่ชายเจิ้งถึงไม่หยุดยั้งการประลองพิณของพวกเขา?”
“เจ้ายังจะพูดอีก” เฉิงเจียไม่ได้รับรู้ถึงอารมณ์ของโจวเสาจิ่น นางกล่าวขึ้นอย่างขุ่นเคืองว่า “วันนั้นเจ้าหนีไปคนเดียว ทิ้งให้ข้าอยู่ที่นั่นอย่างโง่งม ข้าจะนั่งก็ไม่ใช่ จะยืนก็ไม่ใช่ พอกลับไปก็เลยด่าไปพี่ชายใหญ่ของข้าไปชุดหนึ่ง เขาบอกว่าเป็นเพราะพี่ชายสืออนุญาตแล้ว ก็เลยไม่เหมาะที่เขาจะไปห้ามปราม อย่างไรเสีย พี่ชายสือก็เป็นพี่ชายคนโตที่สุด!”
จริงหรือ?
ถ้าเฉิงเจิ้งคัดค้าน เฉิงสือจะยอมให้เรื่องที่ไม่สลักสำคัญอย่างเช่นเรื่องนี้ทำให้ลูกพี่ลูกน้องต้องอับอายเลยอย่างนั้นหรือ
ที่ผ่านมามีเรื่องมากมายที่สิ่งที่มองเห็นกับสิ่งที่มันเป็นจริง ๆ นั้นแตกต่างกัน
ก็เหมือนกับเฉิงเจีย ตนเองนั้นคิดมาตลอดว่านางคือบุตรสาวที่โชคดีมาก มีบิดามารดาที่ถนอมนางเอาไว้ในอุ้งมือ มีท่านปู่ท่านย่าที่คอยตามใจนาง มีพี่ชายที่ดูแลนางทุกอย่าง…
แต่ในความเป็นจริงแล้ว นางกลับถูกแต่งงานออกไปอยู่อย่างห่างไกล
ขณะที่โจวเสาจิ่นมองเฉิงเจียนั้น ก็ราวกับว่าได้มองเห็นตนเองในชาติก่อน
เพียงแต่ว่าเฉิงเจียนั้นจนกระทั่งเสียชีวิตก็ไม่มีโอกาสได้รับรู้ความจริง แต่นางนั้นโชคดีที่ได้รับความเมตตาขององค์พระโพธิสัตว์ ได้กลับมามีชีวิตใหม่!
VERIFYCAPTCHA_LABEL
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยามดอกวสันต์ผลิบาน