หลังจากที่ปรึกษากับเฉิงหยวนและภรรยาแล้ว จึงสร้างเรือนใหม่ขึ้นบริเวณสะพานหานชิวด้านหลังของเรือนไม้งาม
นี่เป็นครั้งแรกที่เขาทำการตัดสินใจ ฮูหยินผู้เฒ่ากวนไม่อาจโต้แย้งคำของบุตรชายได้ รวมถึงตั้งใจหลีกเลี่ยงเรื่องกวนใจเหล่านั้นของจวนห้าด้วย จึงอาศัยอยู่ที่นี่ต่อไป
ยามที่โจวเสาจิ่นเดินเข้าไปในเรือนไม้งามนั้น หมอกยามเช้าได้ระเหยออกไปหมดแล้ว ด้านหนึ่งต้นหลิวสีเขียวห้อยระย้าลงมาอย่างนุ่มนวล ต้นกุ้ยให้ร่มเงาสบาย ดอกยี่เข่งสีม่วง ดอกกุหลาบเย่ว์จี้ ดอกอิ๋งชุนสีเหลือง และดอกยี่โถล้วนแข่งกันเบ่งบาน กลิ่นของดอกหญ้าต้นไม้ผสมปนเปไปด้วยกลิ่นหอมอ่อนๆ ของดอกไม้ ทำให้ผู้คนที่ได้สูดกลิ่น รู้สึกสดชื่นกระปรี้กระเปร่า
ผู้ที่มาต้อนรับพวกนางคือซื่อเอ๋อร์ สาวใช้ใหญ่ข้างกายของฮูหยินผู้เฒ่ากวน
นางสวมเสื้อกั๊กปี๋เจี่ยผ้าฝ้ายสีแดงชาด ใบหน้ากลมนั้นประดับไว้ด้วยรอยยิ้มหวาน ตั้งแต่ไกลๆ ก็ย่อเข่าลงทำความเคารพพวกโจวเสาจิ่น พลางกล่าว “คุณหนูรอง ฮูหยินผู้เฒ่ากำลังรอท่านอยู่เจ้าค่ะ”
โจวเสาจิ่นยิ้มพลางผงกศีรษะให้นาง ก้าวเข้าไปในห้องโถง
ฮูหยินผู้เฒ่านั่งอยู่บนตั่งตัวเตี้ยแกะสลักทาด้วยน้ำมันเคลือบสีแดงมีพนักพิงหลังที่ฝังไว้ด้วยหินจากหลิงซานอยู่ในห้องโถง กุมมือของโจวชูจิ่นที่ยืนอยู่ด้านหน้าของตั่ง กำลังพูดคุยกันอยู่
นางในปีนี้อายุห้าสิบหก ผมสีดอกเลา มองดูแล้วดูสูงวัยกว่าความเป็นจริงไปห้าถึงหกปี สวมชุดเพ่ยจื่อสีฟ้าไพลินลายก้อนเมฆโค้งมนกลม
ได้ยินเสียงเคลื่อนไหว นางจึงหันศีรษะกลับมา
ในสายตาที่อ่อนโยนนั้นประดับไว้ด้วยรอยยิ้มแห่งความปรารถนาดี ความรักและความเมตตา
ทันใดนั้นน้ำตาของโจวเสาจิ่นก็รื้นขึ้น
นางรีบก้มศีรษะลง ย่อเขาลงคำนับทำความเคารพ พลางร้องขึ้น “ท่านยาย” ในน้ำเสียงนั้นมีเสียงสะอื้นอยู่หลายส่วนโดยไม่รู้ตัว
ฮูหยินผู้เฒ่ากวนหัวเราะร่า พลางกล่าว “ถูกกักตัวอยู่ในเรือนไม่กี่วัน รู้สึกว่าได้รับความไม่ยุติธรรมแล้วหรือ มา มาหายายนี่”
โจวเสาจิ่นขยับไปด้านหน้าสองสามก้าว
บรรดาสาวใช้รีบยกตั่งกระเบื้องเคลือบทรงกระบอกกลมสองตัวเข้ามาวางไว้ด้านหน้าของตั่งตัวเตี้ย
ฮูหยินผู้เฒ่ากวนหยิบขนมรังไหม [1] ออกมาจากกล่องเก็บของทรงกลมบนตั่งส่งให้นาง พลางกล่าว “นี่เป็นของขวัญที่พี่ชายเก้าของเจ้าให้สหายนำกลับมาจากเมืองหลวงมาให้ข้าโดยเฉพาะ หวานยิ่ง เจ้าก็ชิมดูหน่อยเถอะ”
ท่านยายชอบเด็ก จึงมักจะมีขนมติดตัวอยู่เสมอ ยามเจอเด็กๆ ก็จะหยิบสองสามชิ้นส่งให้ เด็กๆ ในจวนไม่ว่าจะเป็นคุณชายน้อยคุณหนูน้อยหรือบ่าวชายหญิงล้วนชอบนาง
การถูกมองและถูกปฏิบัติด้วยเช่นเด็กน้อยเยี่ยงนี้ ความกดดันในใจของโจวเสาจิ่นฉับพลันมลายหายไปราวหมอกเมฆที่กระจัดกระจายไปในอากาศ แทนที่ด้วยความรู้สึกได้รับการเอาอกเอาใจ อดไม่ได้มีน้ำตารื้นขึ้นมาอีก
“เจ้าเด็กคนนี้ เอาหละ ร้องไห้อะไรกัน?” ฮูหยินผู้เฒ่ากวนหยิบผ้าเช็ดหน้าส่งให้นาง พลางกล่าว “มีอะไรก็ต้องบอกกล่าวออกมา! ร้องไห้แล้วจะดีขึ้นได้หรือ รีบหยุดร้องได้แล้ว!”
ฮูหยินผู้เฒ่าเผชิญการจากลากันด้วยความตายมามาก ไม่ชอบให้ผู้อื่นร้องไห้สะอึกสะอื้นเป็นที่สุด
โจวเสาจิ่นรีบเช็ดน้ำตา หัวเราะพลางกล่าว “ไม่ได้พบท่านยายมาหลายวัน คิดถึงของกินอร่อยๆ ของท่านยายเจ้าค่ะ!”
ฮูหยินผู้เฒ่ากวนเห็นนางที่ถึงแม้จะกำลังหัวเราะ ทว่าดวงตายังมีร่องรอยเปียกชื้นอยู่หลายส่วน ราวกับฝนที่ตกลงมาใส่ดอกสาลี่ ดูบอบบางและอ่อนแอ อดไม่ได้รู้สึกรักทั้งกายและใจ กล่าวเสียงอ่อนโยนว่า “ถึงอย่างนั้นก็จะร้องไห้อย่างนี้อยู่เสมอไม่ได้! เด็กสาวนานๆ ครั้งหลั่งน้ำตาสองสาย อันนั้นเรียกทองเท่าเมล็ดถั่ว หากร้องไห้บ่อยๆ อันนั้นเรียกว่าน้ำ ไม่มีอะไรเป็นพิเศษแล้ว”
โจวเสาจิ่นประหลาดใจเล็กน้อย
ในความทรงจำของนาง นี่ถือเป็นครั้งแรกที่ท่านยายสั่งสอนนางด้วยคำสอนเช่นนี้
ตลอดเวลาที่ผ่านมา ความรู้สึกของนางที่มีต่อท่านยายนั้นค่อนข้างเปราะบาง เนื่องด้วยปรารถนาให้ท่านยายเอ็นดูและเห็นนางสำคัญ ทั้งยังรู้สึกว่าตนเองนั้นเป็นเพียงหลานในนามของท่านยายเท่านั้น ไม่ว่าตนเองจะเชื่อฟังเฉลียวฉลาดและอ่อนน้อมว่านอนสอนง่ายอย่างไร ก็ไม่สามารถเทียบได้กับพี่สาวผู้ที่ร่วมสายโลหิตเดียวกันกับท่านยายได้
ยิ่งไปกว่านั้น ยามท่านยายปฏิบัติต่อนางและพี่สาวนั้นมีความแตกต่างกันอยู่
กับนางนั้นมักจะใจกว้างและใจดีอยู่เสมอ
ทว่ากับพี่สาวนั้นกลับเข้มงวดกวดขันยิ่ง
ในวัยเด็กตอนที่ยังโง่เขลานั้นยังไม่รู้สึก กระทั่งโตขึ้นมาหน่อย ตอนที่เข้าใจว่าบางครั้งความเข้มงวดกวดขันก็เป็นความรักรูปแบบหนึ่ง เป็นความรักที่ลึกซึ้งยิ่งกว่าความใจกว้างและความใจดีเสียอีก ภายหลังจากที่ทราบความสัมพันธ์ของนางกับตระกูลเฉิงแล้ว นางก็เริ่มเปลี่ยนเป็นรู้สึกอึดอัดและเอาใจออกห่าง เริ่มที่จะ หากสามารถไม่พบท่านยายได้ก็จะไม่มาพบท่านยายให้มากที่สุด หากสามารถอยู่แต่ในห้องได้ก็จะอยู่แต่ในห้องให้มากที่สุด
วันนี้ท่านยายเป็นอะไรไป?
โจวเสาจิ่นอดไม่ได้หัวเราะพลางกล่าว “ขอบพระคุณท่านยายยิ่งนักที่ชี้แนะ ข้าจำเอาไว้แล้วเจ้าค่ะ”
ท่านยายหัวเราะพลางพยักหน้าให้ ท่าทางพึงพอใจยิ่ง กล่าวกับคนให้ห้องว่า “เจ้าเด็กคนนี้โตขึ้นแล้วจริงๆ พวกเจ้าดูเสาจิ่น เป็นครั้งแรกที่พูดกับข้าได้อย่างคล่องแคล่วกระฉับกระเฉงเยี่ยงนี้”
ทุกคนต่างก็หัวเราะขึ้นมา
โจวเสาจิ่นนั้นกลับนึกถึงท่าทางเออๆ ออๆ ของตัวเองเมื่อกาลก่อนยามอยู่ต่อหน้าท่านยาย ที่ดูเลื่อนลอยจมอยู่ในห้วงความคิด
ฮูหยินผู้เฒ่ากวนชี้ไปยังตั่งกระเบื้องเคลือบทรงกระบอกกลมให้พวกนางนั่งลง พวกสาวใช้ยกน้ำชาและขนมขึ้นมา

VERIFYCAPTCHA_LABEL
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยามดอกวสันต์ผลิบาน