พวกนางทั้งสองคนกลับเรือนสวนดอกไม้หอมอย่างชื่นบาน
โจวชูจิ่นรื้อ**บและตู้เพื่อหาเสื้อผ้าและเครื่องประดับให้น้องสาว
โจวเสาจิ่นกล่าวอย่างไม่เห็นด้วยว่า “เพียงแค่พบแขกผู้หนึ่งเท่านั้น ท่านพี่ไม่จำเป็นต้องทำราวกับจะได้เผชิญหน้ากับศัตรูผู้น่าเกรงขามเยี่ยงนี้ก็ได้กระมังเจ้าคะ?”
“น้องสาวของข้างดงามเช่นนี้ จะไม่ให้แต่งตัวดีๆ หน่อย ได้อย่างไรกัน” โจวชูจิ่นยังคงตั้งอกตั้งใจอยู่เช่นเดิมไม่เปลี่ยน
ในมุมมองของโจวเสาจิ่นแล้ว พี่สาวที่มี ‘ดวงตางดงามสดใสราวน้ำในฤดูใบไม้ร่วงและเข้มแข็งราวดอกเหมย [1] ’ นั่นต่างหากถึงจะเป็นความงดงามที่แท้จริง นางหน้าแดงขึ้น ดันพี่สาวไว้พลางกล่าว “ท่านพี่ก็ต้องประทินโฉมดีๆ เช่นกันถึงจะถูกเจ้าค่ะ”
“ประทินโฉม?” โจวชูจิ่นไม่เข้าใจ
ประทินโฉมเป็นภาษาของทางเหนือ
“เอ่อ ก็คือความหมายเดียวกับแต่งตัวเจ้าค่ะ” โจวเสาจิ่นเพิ่งรู้สึกตัวว่าเผลอกล่าวอย่างไม่ระวังออกไป ทำทีปกปิดด้วยการหยิบปิ่นปักผมที่อยู่ใกล้มือขึ้นมาชิ้นหนึ่ง กล่าวอย่างร้อนรนว่า “ปิ่นปักผมชิ้นนี้สวยหรือไม่เจ้าคะ”
โจวชูจิ่นเห็นปิ่นทองชิ้นนั้นที่ยาวสามชุ่น [2] ส่วนหัวของปิ่นตั้งช่อขึ้นเป็นรูปทรงดอกติงเซียงสีม่วงสามดอก เกสรฝังด้วยทับทิมสีแดงขนาดเท่าเมล็ดข้าว ถึงแม้ว่าไม่ถึงกับเลอค่าที่สุด ทว่าก็เป็นงานฝีมือที่ประณีต สวยงามมากทีเดียว
“นี่เป็นผู้ใดมอบให้เจ้า” นางกล่าวอย่างแปลกใจ “ทำไมข้าไม่เคยเห็นมาก่อน”
โจวเสาจิ่นชะงักไปหนหนึ่ง ก้มศีรษะลงพิศมองอย่างละเอียด ร่างชุ่มไปด้วยเหงื่อเย็นอย่างช่วยไม่ได้
หากว่านางจำไม่ผิด ปิ่นทองชิ้นนี้เป็นเฉิงลู่ที่มอบให้นางตอนวันเกิดของนางปีที่แล้ว
ตนเองจะหยิบอะไรก็ไม่หยิบ ดันมาหยิบปิ่นทองชิ้นนี้ได้
นางฉับพลันมีท่าทีเก้กังขึ้นมาเล็กน้อย
โจวชูจิ่นชำเลืองมองนางอย่างมีนัยหนหนึ่ง พลางกล่าว “เจ้าอายุยังน้อย ถือว่ายังเร็วไปหน่อยหากจะปักปิ่นทองชิ้นนี้ เปลี่ยนเป็นเครื่องประดับอื่นสักชิ้นดีกว่า!”
โจวเสาจิ่นพยักหน้ารัว ราวกับเจ้านกน้อยที่กำลังจิกกินเมล็ดข้าว “ข้าเชื่อฟังท่านพี่เจ้าค่ะ” จากนั้นรีบเรียกซือเซียงให้เข้ามา กล่าวขึ้น “เจ้าเอาปิ่นทองชิ้นนี้วางแยกเอาไว้ ดูว่าวันไหนที่มีงานเลี้ยง ยามต้องมอบของขวัญก็อย่าลืมช่วยข้านำออกมา”
ซือเซียงไม่รู้ว่าเหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น ทว่าก็พยักหน้ารับอย่างนอบน้อมพลางกล่าว “เจ้าค่ะ” แล้วหยิบปิ่นทองถอยกลับออกไป
สีหน้าของโจวเสาจิ่นคลายลงจากความโกรธ ยิ้มพลางเลือกที่คาดผมงาช้างแกะสลักลายดอกมะลิหนึ่งคู่ ชุดเพ่ยจื่อสีแดงลายดอกไห่ถัง [3] ดอกชบา ดอกซานฉา [4] ดอกพุดซ้อนคละกันหนึ่งตัว และกระโปรงบานสีเขียวของต้นไผ่ปักลายดอกสายน้ำผึ้งด้วยสีเขียวเข้มตรงชายกระโปรงให้โจวเสาจิ่น
ชุนหว่านนำชุดไปรีด ส่วนซือเซียงนำเครื่องประดับไปเก็บให้เรียบร้อย
เช้าตรู่ในวันรุ่งขึ้น โจวเสาจิ่นทำผมสามจุก สวมชุดและเครื่องประดับที่พี่สาวเลือกเอาไว้ให้นาง
ซือเซียงมองแววตาที่กระจ่างใส แก้มที่นุ่มและเนียนละเอียดของโจวเสาจิ่นในกระจกแล้ว อดไม่ได้กล่าวชมว่า “คุณหนูใหญ่ช่างมีสายตาแหลมคมยิ่งนัก! คุณหนูรองแต่งตัวเช่นนี้แล้ว ไม่เพียงงดงาม ทั้งยังมีชีวิตชีวา ฮูหยินผู้เฒ่าเห็นแล้วต้องชื่นชอบเป็นแน่เจ้าค่ะ”
โจวเสาจิ่นนึกถึงตัวเองในอดีต ใช่ว่าจะไม่รู้จักสีที่ท่านยายโปรดปราน ทว่าก็มักจะรู้สึกว่าสีแดงแปร๊ดหรือสีเขียวสดนั้นเป็นรสนิยมที่แย่ยิ่งนัก จึงจงใจแสร้งทำเป็นไม่รู้ สวมใส่แต่เสื้อผ้าอย่างเช่น สีเขียวอ่อนของต้นหลิว สีขาว หรือสีเขียวน้ำทะเลอย่างดื้อดึง มีหลายคราวที่ต้องพบแขกจากข้างนอกแล้วถูกท่านยายตำหนิและต่อว่า คิดแล้วนางก็รู้สึกร้อนที่ใบหน้าขึ้นมา จึงยกตัวยืนขึ้น กล่าวว่า “ข้าไปดูท่านพี่หน่อยว่าจัดเตรียมไปถึงไหนแล้ว”
เรือนสวนดอกไม้หอมแห่งนี้เดิมทีเป็นห้องหนังสือของนายท่านผู้เฒ่าจวนสี่ อยู่ติดกับเรือนไม้งาม เฉิงเก้าและคนอื่นๆ ค่อยๆ เติบโตขึ้น เมื่อถึงยามที่สองพี่น้องตระกูลโจวและลูกพี่ลูกน้องชายต้องแยกกันเพื่อหลีกเลี่ยงข้อครหาแล้ว ฮูหยินผู้เฒ่ากวนจึงจัดการให้พวกนางสองพี่น้องมาอยู่ที่นี่ การมีสวนเล็กๆ นั้นเป็นรูปแบบปกติทั่วไปของบ้านเรือนในเจียงหนาน มีสะพานเล็กๆ ให้น้ำไหลผ่าน มีทางเดินคดเคี้ยวเงียบสงบอยู่ภายในสวน ต้นไม้ต้นหญ้าอุดมสมบูรณ์ ประดับประดาไปด้วยสีสันสดใสของดอกไม้ โจวชูจิ่นยกห้องสามห้องทางทิศใต้ซึ่งเป็นตำแหน่งที่ตั้งที่ดีที่สุดให้โจวเสาจิ่น ส่วนตัวเองนั้นเลือกห้องสามห้องที่อยู่ทางทิศตะวันออก
อ้อมผ่านดงต้นแปะก๊วยมาระยะหนึ่ง เหลือบตาขึ้นจะมองเห็นต้นชาสองต้นที่เลื้อยอยู่ในระนาบเดียวกันกับชายคาสูง ที่นั่นคือห้องปีกตะวันออกที่โจวชูจิ่นอาศัยอยู่
โจวเสาจิ่นก้าวเข้าไปด้วยฝีเท้าที่เร็วและเบา
โจวชูจิ่นกำลังรับมื้อเช้าอยู่ พอเห็นนางก็ยิ้มพลางกล่าวขึ้นว่า “ยังเช้าอยู่เลย มาแล้วหรือ เจ้ารับมื้อเช้ามาแล้วหรือยัง อยากกินอะไรเพิ่มที่นี่หรือไม่” จากนั้นเอ่ยสั่งตงหว่านว่า “ให้ห้องครัวเพิ่มกับข้าวสองสามอย่างมาให้คุณหนูรอง!”
โจวเสาจิ่นนั้นเนื่องด้วยอาการป่วยจึงละเว้นธรรมเนียมการคารวะทำความเคารพ หลายวันมานี้โจวชูจิ่นจึงไม่ได้รับมื้อเช้าพร้อมกันกับน้องสาว
ตงหว่านยิ้มกำลังจะออกจากห้องโถง โจวเสาจิ่นกลับมองเห็นว่าบนโต๊ะนั้นมีเพียงโจ๊กข้าวสีขาวหนึ่งชามกับผักเครื่องเคียงธรรมดาเท่านั้น นึกถึงผักสลัดน้ำและผักกวางตุ้งที่วางอยู่บนโต๊ะตัวเองแล้ว ก็อดไม่ได้นิ่งเงียบไปสักพักหนึ่ง
สถานะทางการเงินของครอบครัวที่ผ่านมาไม่แย่นัก อีกทั้งบิดาก็รักพวกนางสองพี่น้องยิ่ง นอกจากค่าใช้จ่ายประจำวันแล้ว ในทุกๆ ปียังให้เงินพิเศษแก่พวกนางสองพี่น้องสองถึงสามร้อยเหลี่ยงเป็นการส่วนตัวสำหรับเป็นค่าอั่งเปา ที่ผ่านมานางไม่เคยให้ความสำคัญถึงเรื่องพวกนี้เลย น่าจะเป็นตอนหลังจากที่เกิดเรื่องของนางแล้ว ท่านพ่อไม่สนใจนางอีก พี่เขยถึงได้ช่วยเป็นพ่อสื่อให้นาง ได้ลงเอยแต่งงานกับตระกูลหลิน
ยามพี่สาวแต่งงานออกเรือนนั้นมีสินเดิมฝั่งมารดาที่เรียกได้ว่าต้องใช้คนหามเกี้ยวสินสอดแดงยาวเป็นสิบลี้ [5] ทั้งของขวัญจากท่านยาย ท่านป้าใหญ่เหมี่ยนและคนอื่นๆ ทว่านางนั้นกลับไม่มีอะไรเลยสักอย่าง หลังจากที่พี่สาวและพี่เขยแต่งงานกันแล้ว พี่สาวแบ่งสินเดิมของตัวเองครึ่งหนึ่งให้นาง พี่เขยนั้นถึงแม้ว่าจะเป็นบุตรชายสายตรงของตระกูลเลี่ยว ทว่าทรัพย์สินเงินทองเป็นของคลังกองกลาง ตนเองนั้นยังคงอาศัยเงินจากคลังกองกลางและเบี้ยรายเดือนจากราชสำนักสำหรับเป็นค่าใช้จ่ายประจำวัน ไม่ได้มีเงินเก็บส่วนตัวมากนัก ในปีเดียวกันนั้นยังกู้ยืมเงินมาหนึ่งพันเหลี่ยงรวมกันเป็นสามพันเหลี่ยง มอบให้นางทั้งหมดเพื่อเป็นเงินสำหรับติดตัวเจ้าสาวยามออกเรือน ถึงแม้ว่าในภายหลังหลินซื่อเซิ่งชักชวนพี่เขยให้ทำการค้าขายกันครั้งหนึ่ง จนสามารถคืนหนี้ก้อนนี้จนหมดแล้ว ทว่าก็ถือว่าตนเองนั้นเป็นหนี้ต่อพี่สาวและพี่เขยอย่างใหญ่หลวง
ขอบตาของนางชื้นขึ้น ร้องเรียกตงหว่านเอาไว้ “ไม่ต้องแล้ว เจ้าตักโจ๊กครึ่งถ้วยมาให้ข้าก็พอ”
ตงหว่านตกอยู่ในภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก
โจวชูจิ่นทราบมาตลอดว่าน้องสาวของตัวเองผู้นี้เป็นคนอ่อนไหวยิ่ง รู้ว่านางคิดมากอีกแล้ว ก็อดไม่ได้ยิ้มพลางเอ่ยถามโจวเสาจิ่นว่า “เจ้ากำลังคิดมากอะไรอีกแล้วหรือ ข้านั้นเป็นเพราะว่าบนโต๊ะอาหารของท่านยายยังไม่มีผักแบบนี้ ถึงได้หลบมากินเช่นนี้ ทว่ากับเจ้านั้นไม่เหมือนกัน เจ้าป่วยอยู่ ทำให้ไม่อยากอาหาร จึงต้องกินพวกผักสดบ้างเพื่อบำรุงร่างกาย ไม่ได้มากเกินไปเลย!”
โจวเสาจิ่นไม่เชื่อ
นางเบิกตาโตมองพี่สาว ท่าทางจริงจังเป็นอย่างมาก กล่าวขึ้นว่า “อาการป่วยของข้าหายดีแล้วเจ้าค่ะ ท่านพี่กินอะไร ข้าก็จะกินอันนั้นด้วยเจ้าค่ะ!”
โจวชูจิ่นอยากจะคะยั้นคะยอนางอีกสักประโยคสองประโยค แต่เมื่อคิดพิจารณาแล้วอีกสองปีน้องสาวก็จะถึงเวลาต้องพูดคุยเรื่องแต่งงานแล้ว ยามอยู่บ้านก็ไม่มีใครว่าอะไรนางได้ ทว่าเมื่อแต่งงานออกเรือนไปแล้ว เรื่องเล็กๆ น้อยๆ พวกนี้ต้องระมัดระวังไว้บ้าง ผู้อื่นจะว่าเอาได้ เช่นนี้ก็ดีเหมือนกัน ท่าทีที่เหมือนว่าอยากจะเอ่ยอะไรสักอย่างนั้นจึงชะงักไป แต่ก็ไม่วายออกคำสั่งตงหว่านไปว่า “ให้ห้องครัวทำสือจิ่นโต้วฝูเลาให้คุณหนูรองถ้วยหนึ่ง”
ตงหว่านยิ้มพลางออกไปจากห้องโถง
โจวเสาจิ่นหันไปยิ้มร่าให้พี่สาวพลางกล่าวขอบคุณ แล้วนั่งลงตรงด้านหน้าของโต๊ะกลม
รับมื้อเช้าเสร็จ รอโจวชูจิ่นล้างหน้าและแต่งตัวจนเรียบร้อย นางทำอย่างที่เคยทำเหมือนเช่นเมื่อกาลก่อน คือจูงมือของโจวเสาจิ่นเอาไว้ เตรียมเดินไปหาท่านยายพร้อมกัน
ในใจของโจวเสาจิ่นรู้สึกแปลกอยู่หลายส่วน
นางนั้นคุ้นเคยกับความสง่างามและดูสูงส่งของโจวชูจิ่น เห็นพี่สาวที่มีอายุเพียงสิบแปดปี ใบหน้าอ่อนเยาว์และบอบบางอยู่หลายส่วน นางเกิดความรู้สึกทั้งเคารพยำเกรง และยอมรับนับถือออกมาจากใจอย่างช่วยไม่ได้

VERIFYCAPTCHA_LABEL
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยามดอกวสันต์ผลิบาน