ห้องโถงรับแขกของจวนสี่นั้นฝังเลี่ยมเอาไว้ด้วยกระจกหลากสี ตอนที่บานประตูทั้งหมดเปิดออกนั้น ต้นไหวซู่เก่าแก่ด้านนอกได้บดบังแสงดวงอาทิตย์เอาไว้ ทำให้ด้านในของห้องโถงรับแขกเต็มไปด้วยร่มเงาสีเขียวครึ้มของใบไม้ที่หนาแน่น ให้ความร่มรื่นและสดชื่นยิ่ง
โจวเสาจิ่นนั่งอยู่ข้างๆ โต๊ะสี่เหลี่ยมที่อยู่ด้านหน้าของกลางห้องโถง มองเฉิงลู่อย่างยิ้มแย้ม เอ่ยขึ้นว่า “พี่ชายลู่มาหาข้ามีเรื่องอันใดหรือ” น้ำเสียงอ่อนโยนและนุ่มนวลเช่นเมื่อก่อน
จะว่าไปแล้ว นับตั้งแต่นางกลับมามีชีวิตใหม่อีกครั้ง นี่นับเป็นครั้งแรกที่ได้พบกับเฉิงลู่อย่างเป็นทางการเช่นนี้
เหมือนกับในความทรงจำของนาง เฉิงลู่มักจะชอบสวมเสื้อผ้าสีน้ำเงินไพลิน เพียงแต่ว่าในครั้งนี้เป็นชุดเดี่ยวผ้าไหมหังโจวลายว่านจื่อ รองเท้าสีฟ้าครามผ้าแพรต่วนหังโจว ตรงบริเวณเอวห้อยเอาไว้ด้วยแผ่นหยกมันแพะไร้ที่ติตลอดทั้งชิ้นอยู่ชิ้นหนึ่ง กลัดผมเป็นมวยด้วยปิ่นไม้ไผ่สีเขียว ดูเรียบง่ายและเป็นธรรมชาติทว่าก็ไม่ขาดความสง่างามและเหมาะสม
มุมปากของเขายกขึ้นเล็กน้อย เผยรอยยิ้มหนึ่งที่มีความเขินอายอยู่หลายส่วนออกมาเล็กน้อย เหลือบมองไปที่ซือเซียงที่ยืนอยู่ด้านหลังของโจวเสาจิ่นครั้งหนึ่ง กล่าวขึ้นอย่างลังเลว่า “ข้ามีเรื่องหนึ่ง อยากจะพูดกับน้องสาวตามลำพังสักหน่อย…”
หากว่าเป็นเมื่อก่อน แน่นอนว่าโจวเสาจิ่นจะต้องพิจารณาดูว่านี่เป็นเรื่องที่เหมาะสมหรือไม่ แต่ตอนนี้ นางเพียงยิ้มพลางกล่าวเรียบๆ ว่า “ซือเซียงเป็นบ่าวข้างกายของข้า มีเรื่องอะไรที่ไม่สามารถพูดต่อหน้านางหรือเจ้าคะ พี่ชายลู่ไม่จำเป็นต้องกังวลใจไป เรื่องของข้า นางล้วนทราบทุกอย่าง”
เฉิงลู่ประหลาดใจเล็กน้อย อดไม่ได้ที่จะมองสำรวจโจวเสาจิ่นโดยละเอียด
ผิวที่ขาวผ่องยิ่งกว่าหิมะ คิ้วและดวงตาที่โค้งโก่ง และท่วงท่าก็ยังคงดูอ่อนโยนและนุ่มนวลเช่นเดิม
เขาจึงรู้สึกว่าตนเองคิดมากจนเกินไป
ตามความเข้าใจที่เขามีต่อโจวเสาจิ่นนั้น นางไม่เพียงมีลักษณะที่อ่อนแอและขลาดกลัวเท่านั้น แต่ยังมากไปด้วยความกังวลและอ่อนไหวง่าย อีกทั้งเพราะเติบโตมากับการอ่าน ‘บัญญัติสอนหญิง’ และ ‘วิถีแห่งความดีงามของสตรี’ จึงเชื่อฟังในกฎระเบียบ และปฏิบัติตามธรรมเนียมอย่างเคร่งครัด ไม่ค่อยกล้าที่จะออกนอกลู่นอกทางแม้สักก้าว ถึงแม้เขาจะขอให้เฉิงอี้ช่วยนำสิ่งของไปมอบให้นาง หากพูดกันอย่างเป็นจริงเป็นจังแล้ว ก็ถือว่ายังไม่เหมาะสมสักเท่าไหร่ บ่าวรับใช้ข้างกายนางนั้นมีมากมาย อีกทั้งยังมีโจวชูจิ่นที่ฉลาดหลักแหลมอยู่ด้วยอีกผู้หนึ่ง เกรงว่าเรื่องที่ตนส่งของไปให้นั้นคงตกอยู่ในสายตาของโจวชูจิ่นแล้ว และคงถูกมองว่าผิดไปเสียทุกอย่างเสียแล้ว การที่โจวเสาจิ่นไม่สนใจตนเอง ก็เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล
เฉิงลู่คิดถึงตรงนี้ รู้สึกว่าการที่ตนเองพอเจอโจวเสาจิ่นก็ให้นางส่งคนรับใช้ข้างกายออกไปนั้นค่อนข้างไม่ฉลาดนัก ไม่แปลกที่นางจะปฏิเสธอย่างสุภาพ จากนั้นจึงกล่าวยิ้มๆ ว่า “เป็นข้าเองที่คิดมากเกินไป เนื่องจากน้องสาวกล่าวมาเช่นนี้แล้ว แน่นอนว่าซือเซียงเองก็เป็นผู้หนึ่งที่ทำให้ผู้คนวางใจได้” จากนั้น เขาก็ลังเลไปชั่วขณะหนึ่ง กล่าวขึ้นว่า “น้องสาวคงจะทราบแล้วกระมังว่าข้านำเอาทรัพย์สินที่ฝากเอาไว้ในนามของจวนสี่กลับมาแล้ว”
นี่คือคำเปิดฉาก
เนื่องจากอยากรู้เจตนาการมาของเฉิงลู่ จึงต้องพูดไปตามคำพูดของเขา
โจวเสาจิ่นยิ้มพลางกล่าว “ข้าได้ยินคนพูดกันแล้ว ท่านลุงไป่จากไปตั้งนานแล้ว ตอนนี้พี่ชายลู่ก็มียศตำแหน่งแล้ว จึงเป็นเรื่องธรรมดาที่อยากจะนำเกียรติมาให้บรรพชน สนับสนุนวงศ์ตระกูล การนำเอาทรัพย์สินที่ฝากเอาไว้ในนามของจวนสี่กลับไป ก็เป็นเรื่องที่สมควรแล้ว ไม่ทราบว่าเหตุใดพี่ชายลู่จึงเอ่ยถึงเรื่องนี้ขึ้นมาหรือเจ้าคะ”
เฉิงลู่ค่อนข้างประหลาดใจ
เขาไม่คาดคิดมาก่อนว่าโจวเสาจิ่นจะมองเรื่องนี้เช่นนี้
หรือว่า ตระกูลเฉิงจวนอื่นๆ ก็คิดเช่นนี้เหมือนกัน…
ก่อนหน้านี้เขากลัวว่าข่าวคราวจะรั่วไหลออกไป จึงปิดปากเสียแน่นสนิท กลัวคนอื่นจะสงสัยเรื่องของเขากับจวนสี่ จะหาว่าเขานั้นพอได้ตำแหน่งก็กลายเป็นไร้สาระขึ้นมา หันหลังให้ญาติมิตร ต้องการขีดเส้นแบ่งกับจวนสี่ให้ชัดเจน…
เฉิงลู่พลันรู้สึกราวกับว่าตนเองทำเรื่องผิดพลาดขึ้นมาอีกเรื่องหนึ่งเสียแล้ว
เขาเกิดความวิตกกังวลขึ้นมาเล็กน้อยอยู่ในใจ เดิมทีเขาคิดว่าหลังจากที่พบโจวเสาจิ่นแล้ว เขาจะเอ่ยถึงเรื่องนี้ขึ้นมาโดยไม่บอกกล่าว แล้วก็จะสามารถจูงจมูกโจวเสาจิ่นได้ แต่หลังจากที่เขาได้พบหน้าโจวเสาจิ่น ได้พูดคุยกันเพียงไม่กี่ประโยค กลับค้นพบว่า เรื่องที่เขาเคยคิดว่ารู้เป็นอย่างดีในก่อนหน้านี้นั้น กลับเต็มไปด้วยช่องโหว่
เฉิงลู่มองแววตาของโจวเสาจิ่นแล้วก็เผยความระแวดระวังออกมาอยู่หลายส่วน กล่าวขึ้นมาอย่างทีเล่นทีจริงว่า “ยังคงเป็นน้องสาวที่รู้ใจข้า”
โจวเสาจิ่นแสยะยิ้มเย็นอยู่ในใจ
ชาติก่อน เขาก็เคยกล่าวคำพูดสองแง่สองง่ามเช่นนี้หลายต่อหลายครั้งมาก่อน
ชาตินี้ เขาคิดจะหลอกลวงตนเองอีก เกรงว่าคงจะไม่ง่ายดายขนาดนั้นอีกแล้ว!
คิดจะต่อกรกับเฉิงลู่ ก็ต้องเหนือชั้นยิ่งกว่าเฉิงลู่ถึงจะถูก
ถึงแม้โจวเสาจิ่นจะไม่รู้ว่าแบบไหนถึงจะเรียกว่าเหนือชั้นยิ่งกว่าเฉิงลู่ แต่นางก็รู้ว่า อย่างน้อยตนเองต้องไม่ปล่อยให้เฉิงลู่เพียงแค่มองครั้งหนึ่ง ก็ทำให้เฉิงลู่รู้แล้วว่านางกำลังคิดอะไรอยู่
โจวเสาจิ่นพยายามยิ้มน้อยๆ อย่างสุดความสามารถ ให้เหมือนกับรอยยิ้มน้อยๆ ในอดีต ไม่เอ่ยอะไร เผชิญหน้ากับเฉิงลู่ไปตามเล่ห์เหลี่ยมของเขา
เฉิงลู่กลับไม่ได้สงสัยอะไร
โจวเสาจิ่นนั้นพูดคุยไม่เก่งนัก เวลาส่วนใหญ่จึงมักจะนิ่งเงียบไม่พูดไม่จา…และยิ้มอย่างเขินอาย
เขายิ้มพลางกล่าว “เจ้าเองก็รู้ดีเกี่ยวกับเรื่องในครอบครัวของข้า…ถึงแม้ท่านแม่จะเป็นคนมีความสามารถผู้หนึ่ง เรื่องต่างๆ ภายในจวนล้วนไม่ต้องให้ข้าต้องเป็นกังวลใจ แต่เรื่องภายนอกจวนแล้ว ทั้งหมดกลับต้องพึ่งตัวข้าทั้งนั้น เมื่อก่อนตอนที่ข้ายังไม่ได้สอบจนเป็นซิ่วไฉนั้น ก็คิดมาตลอดว่าหากมีตำแหน่งแล้วก็คงจะดี อย่างน้อยเรื่องในบ้านก็เป็นข้าที่สามารถจัดการด้วยตนเองได้…”
เมื่อก่อน โจวเสาจิ่นชอบฟังคำพูดเช่นนี้เป็นที่สุด
ดังนั้นโจวเสาจิ่นจึงก้มหน้าก้มตาลง
นางกลัวว่าเฉิงลู่จะมองออกว่าตนเองกำลังเหยียดหยันอยู่ในใจ
เฉิงลู่ไม่ได้คิดมากอะไร กล่าวอย่างไม่รีบร้อนว่า “ข้าจึงซื้อบ้านซึ่งเป็นสินเดิมของท่านยายทวดของเจ้าบนถนนกวนเจียที่ตกไปอยู่ในมือของท่านลุงตระกูลจวงมา เตรียมเอาไว้รอให้ถึงเวลาที่เหมาะสมแล้วจะมอบให้เจ้า…”
ราวกับหินที่แตกสลายจนสะเทือนเลือนลั่นไปถึงสวรรค์
โจวเสาจิ่นมองเฉิงลู่อย่างประหลาดใจ ผ่านไปครู่ใหญ่แล้วก็ยังไม่ได้สติกลับมา

VERIFYCAPTCHA_LABEL
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยามดอกวสันต์ผลิบาน