โจวชูจิ่นรอนางอยู่ในห้องชั้นในของนาง เห็นสีหน้าของนางไม่สงบนัก จึงรีบกล่าวขึ้นว่า “เฉิงลู่คุยอะไรกับเจ้าบ้างหรือ”
โจวเสาจิ่นไม่มีหน้าจะเล่าสิ่งที่เฉิงลู่พูดพวกนั้นให้พี่สาวฟังอีกครั้ง
นางจึงเล่าถึงผลลัพธ์โดยตรง “เฉิงลู่ทราบเรื่องที่ข้ารู้เรื่องเกี่ยวกับบ้านที่ถนนกวนเจียแล้ว จึงชิงมาพูดกับข้าก่อนว่า เขาซื้อบ้านหลังนั้นมาโดยไม่ตั้งใจ คิดจะมอบให้ข้าตั้งแต่ต้น แต่เพราะไม่มีโอกาสที่เหมาะสม จึงไม่ได้พูดเรื่องนี้กับข้าเสียที…จากนั้นคือตั้งใจมาหยั่งเชิงดูว่าข้ารู้เรื่องเกี่ยวกับข้อพิพาทระหว่างตระกูลเฉิงและตระกูลจวงทั้งสองตระกูลหรือไม่เจ้าค่ะ…”
โจวชูจิ่นเองก็ตกใจมากเช่นกัน
เห็นน้องสาวพยายามระงับความโกรธอย่างอดทนอดกลั้นนั้นแล้ว นางก็พอจะเดาวัตถุประสงค์ของเฉิงลู่ได้อยู่รางๆ
ถึงแม้ว่าก่อนหน้านี้นางเองก็รู้สึกว่าตระกูลเฉิงนั้นไม่ใช่คู่ที่ดีอยู่บ้าง แต่เมื่อเห็นว่าทุกครั้งที่น้องสาวได้พบกับเฉิงลู่ก็จะกลายเป็นคนมีชีวิตชีวาขึ้นมาก นางก็เลยคิดว่าเป็นตนเองที่เป็นกังวลมากเกินไป ตอนนี้น้องสาวกับเฉิงลู่ไม่ได้ลงเอยด้วยกันอย่างที่นางเคยกังวลใจ สำหรับนางแล้ว เป็นเรื่องที่ดียิ่ง แน่นอนว่านางย่อมไม่ถามน้องสาวถึงรายละเอียดให้เสียบรรยากาศ
แต่เรื่องที่เกิดขึ้นในช่วงหลายวันนี้ก็ทำให้นางรู้สึกไม่สบายใจอยู่บ้าง
นางพึมพำกล่าว “เสาจิ่น เจ้าให้หม่าฟู่ซานไปสืบความว่าบ้านที่ถนนกวนเจียนั้นตกอยู่ในมือของผู้ใด การที่เขารู้เรื่องบ้านที่ถนนกวนเจียแล้ว ก็ถือเป็นเรื่องปกติ แต่เขาจะพิสูจน์ได้อย่างไรว่าเจ้ารู้เรื่องข้อพิพาทระหว่างตระกูลเฉิงกับตระกูลจวงทั้งสองตระกูลหรือไม่ แล้วเหตุใดเขาถึงต้องการหยั่งเชิงเจ้าด้วย ต่อให้เจ้าไม่เก็บเอาเรื่องนี้มาใส่ใจ แต่ท่านพ่อและท่านยายจะยอมให้เจ้าแต่งเข้าตระกูลเฉิงไปได้อย่างไร”
นี่หากว่าให้คนที่รู้เรื่องนี้ได้ยินเข้า เกรงว่าจะแอบดูแคลนว่าหญิงสาวของตระกูลโจวนั้นขายไม่ออก จึงต้องพึ่งพาตระกูลเฉิงเท่านั้น!
ถึงแม้ว่าโจวชูจิ่นจะไม่ได้กล่าวคำพูดนี้ออกมาตรงๆ แต่โจวเสาจิ่นกลับฟังแล้วเข้าใจได้เป็นอย่างดี
นางใจเต้นรัว
ชาติก่อน เฉิงลู่ปิดบังท่านยายและท่านป้าใหญ่ได้สำเร็จ
กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ ท่านยายและท่านป้าใหญ่ทั้งไม่รู้เรื่องด้วย และถูกเฉิงลู่หว่านล้อมด้วย
เฉิงลู่นั้นได้พบกับขอทานชราผู้นั้นเมื่อสองปีก่อน และก็เป็นสองปีก่อนเช่นกันที่เขาเริ่มเข้ามาใกล้ชิดกับตนเอง
ขอทานชราได้กล่าวเอาไว้ว่า ต่งซื่อผู้เป็นมารดาของเฉิงลู่นั้นไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้เลย
เขาเริ่มลงมือตั้งแต่ตอนนั้น หรือเมื่อค้นพบว่าท่านยายกับท่านป้าใหญ่ไม่รู้เกี่ยวกับเรื่องนี้ถึงค่อยเริ่มลงมือกัน?
โจวเสาจิ่นนึกถึงชาติก่อนตอนที่ท่านยายตัดสินใจให้ตนเองหมั้นหมายกับตระกูลเฉิงนั้น ท่านพ่อคัดค้านเป็นอย่างมาก ต่อมาไม่รู้ว่าท่านยายไปพูดกับท่านพ่ออย่างไร ถึงแม้ว่าต่อมาท่านพ่อจะไม่คัดค้านอีก แต่ก็เขียนจดหมายมาถามนางเป็นการส่วนตัวว่า ต้องการติดตามไปอยู่กับท่านหรือไม่ เนื่องจากว่านางนั้นไม่เคยอยู่กับท่านพ่อมาก่อน ในตอนนั้นน้องสาวต่างมารดาอย่างโจวโย่วจิ่นยังเสียชีวิตไปตั้งแต่ยังเด็ก ทิงหลานผู้เป็นสาวใช้อุ่นเตียงที่ท่านแม่ทิ้งเอาไว้ให้ท่านพ่อก็เลยคว้าโอกาสที่ท่านพ่อต้องการทายาทสืบสกุลนี้ตั้งครรภ์และคลอดบุตรออกมาได้จนสำเร็จ ทว่ากลับถูกมารดาเลี้ยงกำจัดแม่และเก็บเพียงบุตรเอาไว้ นางจึงกลัวมารดาเลี้ยง ไม่ยอมไปอยู่กับบิดา…ปรากฏว่าไม่รอให้ท่านพ่อได้ตอบกลับเรื่องหมั้นหมายของทั้งสองตระกูล เฉิงลู่ก็หมั้นกับอู๋เป่าจางไปเสียแล้ว
ชาติก่อน เรื่องราวทั้งหมดล้วนมีร่องรอยให้ติดตามได้
เพียงแต่นางค้นไม่พบเท่านั้น
เพราะเฉิงลู่รู้ว่าท่านพ่อจะต้องคัดค้านเรื่องงานแต่งของนางกับเขา เฉิงลู่ถึงได้ไปหมั้นกับอู๋เป่าจาง หรือเพราะอู๋เป่าจางก็ก้าวขาเข้ามาผสมโรงด้วยข้างหนึ่งตั้งแต่ต้นกันนะ?
โจวเสาจิ่นตัดสินใจว่าจะตรวจสอบเรื่องทั้งหมดให้กระจ่าง
ไม่เช่นนั้น เรื่องที่บอกว่าจะช่วยชีวิตตัวเอง ก็คงจะเป็นได้เพียงเรื่องตลกเรื่องหนึ่ง
ด้วยเหตุนี้นางเองก็เกิดความรังเกียจขึ้นมาในใจอยู่หลายส่วน
เฉิงลู่ ชักจะทำเกินไปแล้ว!
โจวเสาจิ่นอธิบายให้พี่สาวฟังอยู่หลายประโยค
โจวชูจิ่นเห็นนางไม่พูดความจริง ยังคิดไปว่าตอนนี้นางยังรับเรื่องของเฉิงลู่ไม่ได้ จะแอบเสียใจ ดังนั้นจึงทำเป็นไม่รู้เรื่องตามน้ำไป และพูดคุยกับนางไปอีกสองสามประโยค จากนั้นก็ไปหาฮูหยินใหญ่เหมี่ยน
ระหว่างทาง นางให้คนนำความไปแจ้งแก่ภรรยาของหม่าฟู่ซาน ให้นางเข้ามาหาที่จวนโดยทันที
กระทั่งภรรยาของหม่าฟู่ซานเข้ามาที่จวน นางดึงภรรยาของหม่าฟู่ซานไปที่ๆ ลับตาคน กระซิบกล่าวว่า “ต่อไปหากว่าคุณหนูรองมีคำสั่งอะไร พวกเจ้าก็เพียงทำตามนั้นไป แต่เมื่อเสร็จเรื่องแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการซื้อดอกไม้สักดอกหรือซื้อเข็มสักเล่ม ก็ต้องเอามาบอกข้าอย่างละเอียดทั้งหมด” จากนั้นก็กล่าวย้ำเตือนกับภรรยาของหม่าฟู่ซานอย่างจริงจังอีกครั้งว่า “อย่าให้คุณหนูรองรู้เรื่องนี้เป็นอันขาด”
เรื่องที่เกี่ยวกับชื่อเสียงของจวงซื่อและโจวเจิ้นนั้น หม่าฟู่ซานก็เป็นคนที่ปิดปากแน่นสนิทผู้หนึ่ง ภรรยาของหม่าฟู่ซานจึงไม่รู้เลยว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นบ้าง ถึงแม้นางจะรู้สึกสงสัยอยู่ในใจ แต่ก็นำความไปแจ้งแก่หม่าฟู่ซานอย่างไม่ให้ตกหล่นเลยแม้สักคำและไม่คลาดเคลื่อนเลยแม้สักประโยค
แต่โจวเสาจิ่นที่ทำงานเย็บปักอยู่ในห้องคนเดียวมาสักพัก ก็นั่งไม่ติดที่ขึ้นมาเล็กน้อย
นางอยากรู้ว่าท่านยายรู้เรื่องข้อพิพาทระหว่างตระกูลจวงและตระกูลเฉิงทั้งสองตระกูลหรือไม่กันแน่
โจวเสาจิ่นให้ชุนหว่านไปสืบดูว่าท่านยายกำลังทำอะไรอยุ่
ชุนหว่านกลับมาบอกนางว่า “…นายหญิงผู้เฒ่ากำลังคุยกับภรรยาของหัวหน้าผู้ดูแลบ้านสวนสองสามคนอยู่เจ้าค่ะ”
โจวเสาจิ่นข่มใจเอาไว้ รอให้ถึงช่วงกลางวันอย่างยากลำบาก ปรากฏว่าฮูหยินผู้เฒ่ารั้งให้ภรรยาของหัวหน้าผู้ดูแลบ้านสวนสองสามคนนั้นอยู่รับมื้อเที่ยงด้วย ให้พวกนางสองพี่น้องไม่ต้องมาร่วมมื้อเที่ยงด้วย ยังรั้งให้ภรรยาสองสามคนนั้นอยู่เล่นไพ่อีกด้วย
ดวงอาทิตย์เคลื่อนแขวนอยู่เหนือศีรษะอย่างเจิดจ้า พื้นในลานที่ปูด้วยก้อนหินก็ร้อนระอุ และเสียงร้องของจักจั่นก็ดังขึ้นเรื่อยๆ
ถึงแม้จะมีชุนหว่านคอยช่วยโบกสะบัดพัดให้ แต่โจวเสาจิ่นก็ยังรู้สสึกว่าร้อนจนจิตใจร้อนรุ่ม พลิกตัวไปมาอย่างนอนไม่หลับ
ชุนหว่านเอ่ยขึ้นว่า “คุณหนูรอง ข้าจะไปยกลูกหยางเหมยเย็นๆ มาให้ท่านสักถ้วยนะเจ้าคะ!”
จินหลิงไม่เหมือนกับจิงเฉิง ที่สามารถกักเก็บน้ำแข็งเอาไว้ในฤดูหนาว และมีก้อนน้ำแข็งมาช่วยคลายร้อนในฤดูร้อน โจวเสาจิ่นใช้ชีวิตช่วงสิบปีสุดท้ายอยู่ที่จิงเฉิง นางจึงไม่คุ้นชินกับความร้อนระอุของจินหลิง
หรือไม่ อาจจะไม่ใช่เพราะไม่คุ้นชินกับความร้อนระอุของจินหลิง แต่เป็นเพราะอารมณ์ฉุนเฉียเสียมากกว่ากระมัง
โจวเสาจิ่นเปลี่ยนใจ เอ่ยถามชุนหว่านว่า “มีต้มเม็ดบัวที่ไม่เอาไปแช่ให้เย็นในน้ำบ่อมาก่อนหรือไม่”
สุขภาพของนางในภายหลังนั้นย่ำแย่นัก จึงไม่ทานลูกหยางเหมยและพวกถั่วเขียวต่างๆ มานานแล้ว
ชุนหว่านไปที่ห้องครัว จากนั้นถือต้มเม็ดบัวถ้วยหนึ่งที่ยังร้อนลวกมืออยู่เล็กน้อยเข้ามา และใช้พัดพัดแรงๆ เท่าที่จะทำได้

VERIFYCAPTCHA_LABEL
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยามดอกวสันต์ผลิบาน