เข้าสู่ระบบผ่าน

ยามดอกวสันต์ผลิบาน นิยาย บท 79

ยามดอกวสันต์ผลิบาน – ตอนที่ 79 จากไป

มองเห็นเด็กสาวที่ไม่คุ้นหน้าคนหนึ่งนั่งอยู่ในห้องของฮูหยินผู้เฒ่ากัว งดงามบอบบางราวกับดอกไม้ ไม่เพียงสวยสดงดงาม แต่ยังน่ารัก ฉินโส่วเยว์ประหลาดใจเล็กน้อย ทว่าฮูหยินผู้เฒ่ากลับไม่ได้ให้เด็กสาวหลบออกไป เขาจึงไม่กล่าวอะไรมาก และยิ้มพลางคำนับฮูหยินผู้เฒ่ากัว กล่าวอย่างนอบน้อมว่า “นายท่านใหญ่เขียนจดหมายมาจากเมืองหลวงขอรับ”

หากว่าเป็นจดหมายทั่วไปจากคนในครอบครัว ฉินโส่วเยว์จะส่งมอบให้โดยตรง และจะไม่ใช้ถ้อยคำอารัมภบทเพื่อแจ้งฮูหยินผู้เฒ่าก่อน

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวถึงได้ตระหนักว่าที่ตนเองปล่อยให้โจวเสาจิ่นรั้งอยู่นั้นค่อนข้างไม่สมควรอยู่เล็กน้อย ทว่าคนก็ได้รั้งอยู่ไปแล้ว จะให้เด็กสาวออกไปตอนนี้ก็คงไม่ได้แล้วกระมัง

นางไม่คิดมากและพยักหน้ารับ

ฉินโส่วเยว์ล้วงซองจดหมายออกจากแขนเสื้อ ยื่นให้เจินจูที่ยืนคอยอยู่ข้างๆ

เจินจูนำจดหมายมอบให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัว แล้วหมุนกายไปหยิบกรรไกรเงินสำหรับตัดกระดาษ

ขณะที่ฮูหยินผู้เฒ่ากัวตัดซองจดหมาย เจินจูก็หยิบแว่นขยายมาให้ จากนั้นฮูหยินผู้เฒ่ากัวถือแว่นขยาย แล้วอ่านจดหมาย

ทุกคนต่างกลัวว่าจะรบกวนฮูหยินผู้เฒ่ากัว พยายามกลั้นลมหายใจให้เงียบที่สุด ภายในห้องจึงเงียบสงัดไม่มีสักหนึ่งเสียง

โจวเสาจิ่นเคี้ยวแตงหวานเบาๆ

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวเงยหน้าขึ้นมา ขมวดคิ้วเป็นปมแน่น ถามฉินโส่วเยว์ว่า “เจ้าทราบหรือไม่ว่าเหตุใดนายท่านใหญ่ถึงได้เขียนจดหมายกลับมา”

“ทราบขอรับ” ฉินโส่วเยว์น้อมศีรษะลงเล็กน้อย กล่าวอย่างเคารพนบนอบว่า “นายท่านใหญ่ได้เขียนจดหมายถึงข้าน้อยด้วยเช่นกัน บอกให้ข้าน้อยช่วยเกลี้ยกล่อมนายท่านสี่ขอรับ”

นายท่านสี่? เฉิงฉือ!

โจวเสาจิ่นหูผึ่งขึ้นมา

“ข้าน้อยคิดว่า นายท่านสี่เป็นผู้มีความคิดความอ่านมาแต่ไหนแต่ไร แน่นอนว่าการกระทำเช่นนี้ย่อมมีจุดประสงค์ลึกซึ้งขอรับ” ในน้ำเสียงคำพูดของฉินโส่วเยว์แฝงการพินิจพิเคราะห์อยู่หลายส่วน “ทว่านายท่านใหญ่อาศัยอยู่ในเมืองหลวงมานาน จะไม่ยิงธนูอย่างไร้จุดหมายเป็นแน่ ข้าน้อยตัดสินใจไม่ได้อยู่นาน จึงเสนอตัวนำจดหมายมาส่งให้แก่นายหญิงผู้เฒ่า อีกทั้งอยากจะถามความคิดเห็นของนายหญิงผู้เฒ่าว่าควรจัดการเรื่องนี้อย่างไรดีขอรับ”

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวยิ้มเย็น ถามขึ้นว่า “นายท่านใหญ่ทราบเรื่องนี้ได้อย่างไร”

ฉิวโส่วเยว์ก้มศีรษะต่ำลงอีกหลายส่วนและตอบว่า “ท่านผู้นำตระกูลของจวนรองได้เขียนจดหมายถึงนายท่านใหญ่ กล่าวว่าการมอบเงินสักเล็กน้อยแก่ว่านถงนั้นไม่เป็นไร แต่เงินหนึ่งแสนเหลี่ยง…ก็ออกจะมากเกินไปสักหน่อยขอรับ”

โจวเสาจิ่นอ้าปากกว้าง

หนะ…หนึ่งแสนเหลี่ยง…มอบให้ว่านถง…ขันทีผู้นั้น…

ในชาติก่อน ตอนที่แต่งงานนางมีสินสอดประมาณห้าพันเหลี่ยงเงิน ทุกครั้งที่มารดาของหลินซื่อเซิ่งกล่าวถึงเรื่องนี้ ฮูหยินผู้เฒ่าหลินล้วนรู้สึกภูมิใจและปลาบปลื้มเป็นอย่างยิ่ง ผู้คนรอบข้างต่างอิจฉากันถ้วนหน้า…สินสอดของตนเองนับว่ามากแล้ว ทว่ากลับไม่ถึงหนึ่งในยี่สิบส่วนของว่านถง ท่านน้าฉือก็มอบเงินให้มากเกินไป…นี่เพียงพอถึงขั้นเป็นสินบนได้เลย…

นางนึกถึงถ้อยคำเหล่านั้นที่ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกล่าวออกไปด้วยความฉุนเฉียวในวันนั้นที่นางบังเอิญได้ยิน

ไม่แปลกใจที่ท่านผู้นำตระกูลของจวนรองจะโกรธเกรี้ยว!

หากว่าเรื่องราวเหมือนดังที่ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกล่าวไปเมื่อครู่ การที่ตำหนักบูรพา ว่างเปล่า เช่นนั้นก็ไม่ค่อยดีนัก…ถ้าหากเบื้องหลังว่านถงมีองค์ชายองค์ไดหนุนหลังอยู่ ไม่ใช่ว่าตระกูลเฉิงควรจะฝักใฝ่ฝ่ายนั้นก่อนหรือ

ในชาติที่แล้ว ฮ่องเต้ทรงแต่งตั้งหวงไท่ซุน เป็นรัชทายาท ทว่าสุดท้ายกลับเป็นองค์ชายสี่ที่สืบราชบัลลังก์

เนื่องด้วยเหตุนี้เอง ขุนนางในราชสำนักแทบจะถูกกวาดล้างไปทั้งสิ้น

เนื่องจากท่านพ่อไม่ได้เข้าพัวพันกับเหตุการณ์อันยุ่งเหยิงเหล่านี้ จึงไม่เพียงอยู่รอดปลอดภัย ซ้ำยังได้เลื่อนตำแหน่งขึ้นเป็นผู้พิพากษาขั้นสูงสุดประจำศาลต้าหลี่

ดูเหมือนว่าตระกูลเฉิงจะไม่ได้ฝักใฝ่ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดเลย

ดังนั้นเฉิงจิงถึงได้เข้าสู่ราชสำนัก…

เพียงแค่ไม่รู้ว่าในชาติก่อนตระกูลเฉิงได้ส่งเงินหนึ่งแสนเหลี่ยงให้ว่านถงเหมือนในชาตินี้หรือไม่… การปรากฏตัวของตนนั้น ทำให้หลายเหตุการณ์ไม่เหมือนเดิมกับชาติที่แล้ว…

หากว่าเหตุการณ์ในชีวิตนี้กับชาติที่แล้วไม่มีอะไรที่แตกต่างกันก็คงจะดียิ่ง

เช่นนี้นางก็จะสามารถรู้ได้ว่าสุดท้ายแล้วตระกูลเฉิงมีเรื่องหรือไม่กันแน่…

โจวเสาจิ่นหงุดหงิดเล็กน้อย

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกล่าวขึ้นอย่างไม่เกรงใจ “ข้ารู้ว่าเป็นเขา เขากินอิ่มแล้วไม่มีอะไรทำเสียจริงๆ!”

ผู้คนภายในห้องต่างแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน เจินจูและคนอื่นๆ ยิ่งเบามือเบาเท้าและล่าถอยออกไปอย่างจงใจ

ทว่าโจวเสาจิ่นกลับไม่สามารถเดินออกไปเยี่ยงนั้นได้เหมือนเจินจู จึงได้แต่นั่งห่อไหล่ พยายามลดการมีตัวตนอยู่ของตนเองให้เลือนรางที่สุด ฟังพวกเขาสนทนากันต่อไปราวกับนั่งอยู่บนผ้าสักหลาดที่ซ่อนเข็มเอาไว้

ผ่านไปครู่หนึ่ง ฮูหยินผู้เฒ่ากัวถึงได้พึมพำขึ้นว่า “อย่างไรก็ตาม เงินหนึ่งแสนเหลี่ยง สำหรับตระกูลอื่นถือว่าค่อนข้างมาก แต่สำหรับตระกูลพวกเราแล้ว ก็ไม่ได้มากมายอะไร…ตอนนี้ตำหนักบูรพาว่างเปล่า ความกังวลของนายท่านใหญ่ก็ไม่ไร้เหตุผลซะทีเดียว…เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องห่วง ข้าจะไปพูดกับคุณชายสี่เอง!”

ถึงแม้ว่าฮูหยินผู้เฒ่ากัวยังคงเหมือนดังแต่ก่อนที่ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ล้วนแต่ปกป้องบุตรชายคนเล็ก ทว่าอย่างไรก็ตกลงไปเกลี้ยกล่อมนายท่านสี่ให้

ฉินโส่วเยว์ผ่อนลมหายใจออกราวกับได้ยกภูเขาออกจากอก ยิ้มพลางกล่าวว่า “กิจธุระภายในจวนนี้ยังคงแยกห่างไปจากหญิงผู้เฒ่าไม่ได้เลยนะขอรับ!”

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวหัวเราะและกล่าวว่า “เจ้าไม่ต้องยกยอปอปั้นข้าหรอก เรื่องภายในจวนตนเองนั้นข้าย่อมรู้ดีที่สุด ข้าแก่ชราลงแล้ว ความกล้าหาญก็ลดน้อยลง ประสบการณ์ความรู้ก็ไม่เหมือนเมื่อก่อน เพียงแค่ได้รั้งอยู่บนที่ดินหนึ่งหมู่สามเฟินนั้นของตนอย่างซื่อตรงโดยอาศัยวัยชรากับความอาวุโสแทะเล็มทุนเดิมก็พอแล้ว! ออกไปอวดดีเจ้ากี้เจ้าการอยู่เบื้องหน้าพวกรุ่นหลัง มีแต่จะทำให้ผู้อื่นหัวเราะขบขัน!”

“ดูท่านกล่าวสิขอรับ” ฉินโส่วเยว์กล่าวยิ้มๆ “เรื่องของนายท่านผู้เฒ่ารอง หากว่าท่านไม่จัดการด้วยตนเอง ไหนเลยจะสามารถแก้ไขได้รวดเร็วเช่นนั้น พวกนายท่านล้วนกตัญญูรู้คุณ กลัวว่าท่านจะเหนื่อยกายเหนื่อยใจ ถึงได้ไม่กล้ามารบกวนท่านขอรับ”

ถ้อยคำนี้ก็ค่อนข้างประจบประแจงอยู่บ้างเล็กน้อย เพียงแต่ว่าท่าทีของเขาไม่ได้โอหังหรือถ่อมตนจนเกินไป

สมเป็นพ่อบ้านใหญ่แห่งซอยจิ่วหรูจริงๆ!

หากวันใดที่ตนสามารถพูดจาได้เหมือนฉินโส่วเยว์เช่นนี้ก็คงจะดียิ่ง!

ตอนที่ 79 จากไป 1

ตอนที่ 79 จากไป 2

Verify captcha to read the content.VERIFYCAPTCHA_LABEL

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยามดอกวสันต์ผลิบาน