ป้าคนเฝ้าประตูเรือนหรูอี้รู้สึกลำบากใจยิ่ง
ทว่าโจวเสาจิ่นไม่ใช่คนประเภทที่ไม่รู้ผิดชอบชั่วดี นางจึงหารือกับป้าคนเฝ้าประตูว่า “ท่านป้าใหญ่หลูเพียงแค่สั่งพวกเจ้าไว้ว่าไม่ให้พี่สาวเจียออกมา และไม่ให้พวกข้าเข้าไปเล่นกับนาง ถือชามข้าวของผู้ใด ย่อมต้องรับใช้ผู้นั้น ข้าก็ไม่อยากให้เจ้าขัดคำสั่งของฮูหยินใหญ่พวกเจ้า ข้าเพียงแต่อยากให้เจ้าช่วยนำความของข้าเข้าไปแจ้งสักหน่อย ข้าจะยืนอยู่ที่ปากประตูเพื่อพูดคุยกับพี่สาวเจียสักสองสามประโยค ข้าสัญญาว่าพี่สาวเจียจะไม่ก้าวข้ามธรณีประตูนี้เลย ข้าเองก็จะไม่เข้าไปเช่นกัน…แค่นี้น่าจะทำได้อยู่กระมัง”
ป้าผู้นั้นราวกับได้ยกภูเขาออกจากอก กล่าวขอบคุณโจวเสาจิ่นอย่างตื้นตันใจ “คุณหนูยังคงเมตตาเช่นเดิม ข้าจะนำความของท่านไปแจ้งให้เจ้าค่ะ” กล่าวเสร็จก็เรียกสาวใช้เด็กให้ยกตั่งสองสามตัวมาตั้งไว้ใต้ต้นไม้ใหญ่ที่ประตู และให้ไปต้มน้ำชามาหม้อหนึ่ง “คุณหนูนั่งรอที่นี่สักครู่ นั่งรับลมเย็นๆ และดื่มน้ำสักถ้วย อย่าปล่อยให้ร้อนนะเจ้าคะ”
โจวเสาจิ่นยิ้มพลางกล่าวขอบคุณ จึงไม่เกรงใจอีก นั่งลงใต้ต้นไม้ใหญ่
พวกซือเซียงสองสามคนช่วยกันโบกพัดให้โจวเสาจิ่นและรินน้ำชาให้นาง
เฉิงเจียวิ่งออกมาจากข้างในเรือนประดุจสายลม
โจวเสาจิ่นรีบเตือนว่า “เจ้าก้าวข้ามธรณีประตูนี้ไม่ได้นะ ข้าสัญญากับป้าผู้นั้นแล้ว เจ้าจะให้ข้ากล่าวแล้วคืนคำไม่ได้เป็นอันขาด!”
เฉิงเจียหัวเราะคิกคัก และหยุดยืนอยู่ที่ประตู กล่าวขึ้นว่า “แผนนี้ของเจ้าช่างดียิ่ง! วันหลังพวกเรามาคุยกันที่นี่เช่นนี้อีกทุกวันเลยนะ”
“ข้าไม่มีเวลาว่างเช่นนั้นหรอก” ขณะที่โจวเสาจิ่นยิ้ม พวกป้าบ่าวรับใช้ก็รีบตั้งวางตั่งไว้ที่ประตู ทั้งยังคอยรับใช้เฉิงเจียที่นั่งอยู่ฝั่งข้างในประตู นำน้ำชาขึ้นโต๊ะ และเฝ้าดูอยู่ห่างๆ จากในเรือน
เฉิงเจียกล่าวขึ้นว่า “ข้ารู้ว่าพานชิงกลับไปแล้ว…เจ้าได้ไปส่งนางหรือไม่ นางมีท่าทีอย่างไร ยังคงยโสโอหังอยู่หรือไม่ ข้าเดาว่านางน่าจะใจมลายกลายเป็นธุลีเสียแล้ว นางมักจะคิดว่าตนเองสูงส่งอยู่เสมอมิใช่หรือ ใครบ้างจะชอบนางเล่า…”
โจวเสาจิ่นก็มาเพื่อบอกนางเรื่องนี้
นางอยากทำให้เฉิงเจียร่าเริงมีความสุข
อย่างไรเฉิงเจียก็รู้แล้ว นางจึงไม่จำเป็นต้องกล่าวอะไรอีก
“ข้าไม่ได้ไปส่งพานชิง” โจวเสาจิ่นกล่าวยิ้มๆ “ข้าไม่ว่าง…”
นางเล่าถึงกิจธุระต่างๆ ที่ผ่านมาให้ฟัง
ทว่าเฉิงเจียไม่เชื่อแม้แต่น้อย
นางคิดว่าโจวเสาจิ่นจงใจ นางจึงหัวเราะร่า และเบิกบานยิ่ง ทำให้อารมณ์ของโจวเสาจิ่นแจ่มใสขึ้นไม่น้อยด้วยเช่นกัน
ทั้งสองคนพูดคุยสัพเพเหระอยู่นาน ระหว่างนี้มีป้าบ่าวรับใช้คอยชะเง้อมองมาอยู่ไกลๆ โจวเสาจิ่นเดาว่าน่าจะเป็นบ่าวข้างกายของเจียงซื่อ ทว่านางแสร้งทำเป็นไม่เห็น และคุยกับเฉิงเจียต่อไป จากนั้นถึงได้ลุกขึ้นกล่าวร่ำลา
เฉิงเจียไม่อยากแยกจากกัน “เจ้าจะมาหาข้าอีกทีเมื่อไหร่”
“หลายวันมานี้ข้ากำลังเร่งเย็บปักชุดฤดูหนาวให้ท่านพ่อของข้า” โจวเสาจิ่นกล่าวยิ้มๆ “รอมีเวลาว่างข้าจะมาหาเจ้าอีก”
เฉิงเจียได้ยินแล้ว สองตาเปล่งประกาย กล่าวขึ้นว่า “เหมือนชุดของท่านพี่ชูจิ่นเช่นนั้นใช่หรือไม่ เจ้าปักให้ข้าสักชุดด้วยเถอะนะ! ชุดนั้นสวยยิ่งนัก”
รู้อยู่แก่ใจว่าจะเป็นเช่นนี้
โจวเสาจิ่นรู้สึกราวกับหน้าผากของตนมีเหงื่อผุดออกมาก็ไม่ปาน
เพียงแค่เฉิงเจียถูกใจสิ่งหนึ่งสิ่งใดของนาง ก็จะขอนางตรงๆ อย่างไม่เกรงใจ
ชาติที่แล้ว นางทุกข์ใจด้วยเรื่องเช่นนี้อยู่ไม่น้อย
แต่ทว่าในชีวิตนี้ นางตัดสินใจจะปฏิเสธนางอย่างชัดเจน
เลวร้ายที่สุดพวกเขาทั้งสองอาจจะทะเลาะกันอีกก็เท่านั้น!
“ไม่ได้หรอก ข้าไม่ว่าง!”
“เจ้ากล่าวเช่นนี้ได้อย่างไร พวกเราไม่ใช่พี่น้องที่รักกันเหนียวแน่นที่สุดหรอกหรือ ข้าเพียงแค่ขอให้เจ้าเย็บปักให้ข้าชุดหนึ่งเท่านั้นเอง…”
“เย็บปักชุดหนึ่งไม่เหนื่อยหรืออย่างไร อีกทั้งข้าไม่ใช่ช่างปักสักหน่อย ทำไมเจ้าถึงต้องการให้ข้าเย็บปักเสื้อผ้าให้เจ้าด้วย ในเมื่อพวกเราเป็นพี่น้องที่รักกันที่สุด ควรจะเห็นอกเห็นใจกันและกันมิใช่หรือ เจ้าดูพี่สาวของข้าสิ นางคิดว่าการเย็บปักไม่ดีต่อสายตาเท่าใดนัก จึงไม่ให้ข้าปักชุดให้นางอีก”
เฉิงเจียกล่าวไม่ออก
โจวเสาจิ่นสั่งป้าที่เฝ้าประตูให้เก็บจอกชาและตั่งให้เรียบร้อยด้วยเสียงอ่อนโยน แล้วกลับไปยังเรือนหว่านเซียง
แต่ระหว่างทางที่กลับเรือนหว่านเซียง ขณะที่เดินผ่านเรือนเจียซู่ นางก็พบกับฮูหยินใหญ่เหมี่ยน
ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนเห็นนางสวมชุดเพ่ยจื่อผ้าไหมหังโจวสีขาวพระจันทร์ลายเรียบๆ ตัวหนึ่ง เสียบดอกมะลิบนมวยผมเป็นแถวยาว ดูงดงามและสดใส ทำให้ผู้คนไม่อาจละสายตาได้เลย อยู่ๆ นางก็สะดุดใจและถามขึ้นว่า “พรุ่งนี้เจ้าขอลาฮูหยินผู้เฒ่ากัวสักวันได้หรือไม่ พรุ่งนี้ข้าจะพาเจ้ากับพี่สาวของเจ้าไปร่วมงานเลี้ยงที่จวนของญาติ!”
“อา!” โจวเสาจิ่นเบิกตาโพลง
ชาติก่อน ไม่มีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้น
ดวงตาอันสุกใสของนางราวกับน้ำพุที่สะท้อนเงาร่างของฮูหยินใหญ่เหมี่ยน
ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนหัวเราะและกล่าวว่า “คุณหนูสิบหกของตระกูลกู้แห่งซอยเหมยฮวาจะหมั้นในวันพรุ่งนี้ และได้ส่งเทียบเชิญมาให้เรือนอวิ้นเจิน ท่านยายของเจ้าเห็นว่า ครั้งก่อนตอนที่ท่านลุงหยวนของเจ้าสอบผ่านได้เป็นขุนนาง ตระกูลกู้เคยส่งของขวัญแสดงความยินดีมาให้ ตอนนี้คุณหนูสิบหกของตระกูลกู้จะหมั้นหมาย พวกเราก็ควรจะไปร่วมเฉลิมฉลองด้วยถึงจะถูก”
ไปจวนตระกูลกู้!
ตระกูลกู้ตระกูลนั้นของกู้ชิงหงแห่งซอยเหมยฮวา ท่านตาเคยพักอาศัยอยู่ที่จวนตระกูลกู้อยู่ระยะหนึ่ง ซ้ำยังปรารถนาจะให้ท่านแม่แต่งงานเข้าตระกูลกู้ ไม่รู้ว่าตอนนี้ตระกูลกู้ยังมีผู้ที่รู้เรื่องในปีนั้นอยู่หรือไม่ บางทีตนอาจจะค้นพบอะไรเพิ่มเติมก็เป็นได้ ต่อให้ไม่พบอะไร ตระกูลกู้เป็นผู้นำแห่งตระกูลบัณฑิตเมืองจินหลิง สามารถไปเยี่ยมชมจวนตระกูลกู้ได้ ก็นับเป็นเรื่องที่ยากยิ่งนัก
โจวเสาจิ่นคิดแล้วก็รู้สึกตื่นเต้นยิ่ง ตอบตกลงในทันที และถามต่ออีกว่า “เช่นนั้นพรุ่งนี้ข้ากับพี่สาวควรสวมชุดอะไรไปดีเจ้าคะ อยากให้ตระเตรียมของขวัญเล็กๆ น้อยๆ บางอย่างหรือไม่ ข้ามีผ้าเช็ดหน้า ถุงหอม ถุงพัดจำพวกนั้นและยังมีงานปักสองสามชิ้นที่ค่อนข้างแปลกใหม่ อยากให้ข้านำไปให้ท่านตรวจดูว่าของชิ้นไหนดูเหมาะสมที่เรือนหานชิวหรือไม่เจ้าคะ”
นางประจบประแจงฮูหยินใหญ่เหมี่ยนอย่างกระตือรือร้น ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนยิ้มพลางกล่าว “ประเดี๋ยวเย็นนี้พวกเราค่อยมาคุยกันอีกที”
โจวเสาจิ่นกล่าวตอบรับไปด้วยอาการยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ แล้วกลับไปยังเรือนที่พำนักของตน
โจวชูจิ่นกำลังพูดกับฉือเซียงอยู่ พอเห็นโจวเสาจิ่น ก็ยิ้มกล่าวขึ้นว่า “เจ้ากลับมาพอดีเลย พรุ่งนี้ที่ซอยเหมยฮวา…”
“ข้ารู้แล้ว!” โจวเสาจิ่นยิ้มพลางพูดแทรกพี่สาว กล่าวว่า “ท่านป้าใหญ่บอกว่า อยากจะพาพวกเราไปร่วมงานหมั้นที่ตระกูลกู้ด้วย!”
ก่อนหน้านี้ท่านป้าใหญ่ไม่ได้เอ่ยว่าจะพาโจวเสาจิ่นไปด้วย ไม่รู้ว่าเป็นความตั้งใจของท่านยายหรือเป็นเพราะท่านป้าใหญ่ฉุกคิดขึ้นมาได้?
ไม่ว่าจะเป็นอย่างแรกหรืออย่างหลัง โจวชูจิ่นก็ไม่คิดจะกล่าวออกไปให้น้องสาวเสียใจ นางยิ้มพลางกล่าว “ในเมื่อเจ้ารู้แล้ว ข้าก็จะไม่กล่าวอะไรมากอีก”



VERIFYCAPTCHA_LABEL
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยามดอกวสันต์ผลิบาน