ผู้ที่ออกมาต้อนรับพวกนางเป็นสตรีวัยสามสิบปีคนหนึ่ง ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยรอยยิ้ม นำทางพวกนางผ่านประตูพระจันทร์เข้าไปข้างในอย่างกระตือรือร้น “ฮูหยินหยวน เชิญทางนี้เจ้าค่ะ!”
ในชาติก่อนโจวเสาจิ่นจำต้องเข้าวังไปถวายคำอวยพรให้แก่ไทเฮาและฮองเฮาในวันขึ้นปีใหม่ของทุกปี นางเคยขอให้ท่านป้าที่ออกมาจากวังช่วยสอนมารยาทและธรรมเนียมปฏิบัติให้ จึงทราบดีว่าหากเพิ่งมาเป็นครั้งแรก สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงห้ามทำที่สุดก็คือการเหลียวซ้ายแลขวา จะทำให้ผู้คนมองว่าเหลาะแหละ ทำให้ผู้คนมองว่าไม่เคยเห็นโลกมาก่อน
นางจึงก้มหน้าก้มตาเดินตามอยู่ด้านหลังของพี่สาว
ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนเห็นแล้วก็รู้สึกโล่งใจไปเปลาะหนึ่ง
เมื่อผ่านเข้าประตูพระจันทร์ไป ก็ผ่านทางเดินหินสายหนึ่งที่ปลูกต้นทับทิมเต็มสองข้างทาง ด้านหน้าเป็นโถงรับแขกขนาดสามห้องห้องหนึ่ง
ทว่าบรรยากาศกลับแตกต่างจากลานที่จอดเกี้ยวเมื่อครู่ แม้ว่าโถงรับแขกจะเปิดประตูอ้าเอาไว้เหมือนกัน แต่กลับมีสตรีนั่งอยู่เพียงเจ็ดแปดคน ทุกคนต่างกระซิบคุยกันด้วยเสียงแผ่วเบา เครื่องประดับทองบนศีรษะและลายปักบนตัว เมื่อต้องแสงอาทิตย์ยามเช้าที่สาดส่องเข้ามาในโถงรับแขกต่างเปล่งประกายระยิบระยับเป็นครั้งคราว เจิดจ้าจนผู้คนไม่อาจลืมตาขึ้นมา
“ท่านอาสะใภ้มาแล้ว” สตรีวัยเยาว์หน้าตางดงามราวดอกไม้ราวพระจันทร์ผู้หนึ่งออกมาต้อนรับทักทายหยวนซื่อด้วยรอยยิ้ม
“นายหญิงกู้ที่เจ็ด” หยวนซื่อยิ้มพลางกล่าวทักทายนาง แล้วแนะนำฮูหยินใหญ่เหมี่ยนให้กับสตรีผู้นี้ “นี่คือฮูหยินใหญ่ของจวนสี่ของพวกเรา ส่วนนี่คือฮูหยินของกู้จิ่นเฉิงนายท่านที่เจ็ดของจวนหลักแห่งตระกูลกู้ เป็นบุตรสาวของตระกูลอวี้จากผูโข่ว เป็นผู้ที่คอยช่วยเหลือฮูหยินผู้เฒ่าดูแลจัดการงานบ้านงานเรือนต่างๆ ภายในจวน เป็นสตรีที่สุภาพและสดใสเป็นที่สุด ทั้งยังวางตัวได้อย่างเหมาะสมรอบคอบเป็นอย่างยิ่ง คุณหนูสิบหกแห่งตระกูลกู้ผู้ที่หมั้นหมายในครั้งนี้เป็นน้องสาวแท้ๆ ของสามีนาง”
“ไม่กล้าๆ ท่านมาแต่ละครั้งก็พูดชมข้าเช่นนี้อยู่ทุกครั้ง…” นายหญิงกู้ที่เจ็ดแห่งตระกูลกู้ยิ้มร่าดั่งดอกไม้ผลิบาน กล่าวถ้อยคำถ่อมตนสองสามประโยค แล้วย่อเข่าลงคารวะฮูหยินใหญ่เหมี่ยน
หลังจากฮูหยินใหญ่เหมี่ยนทำความเคารพแล้ว ยิ้มพลางกล่าวเป็นนัยว่า “ที่แท้บ้านเดิมของนายหญิงกู้ที่เจ็ดอยู่ที่ผูโข่ว บ้านเดิมของข้าก็อยู่ที่ผูโข่ว ตระกูลเหอแห่งสะพานซานเหยี่ยน ไม่ทราบว่านายหญิงกู้ที่เจ็ดเคยได้ยินหรือไม่”
“ไอ้หยา! ที่แท้บ้านเดิมของท่านแซ่เหอ!” นายหญิงกู้ที่เจ็ดทั้งประหลาดใจทั้งดีใจ แล้วจับมือของฮูหยินใหญ่เหมี่ยนอย่างสนิทสนม “จะไม่เคยได้ยินมาก่อนได้อย่างไร ตระกูลเหอแห่งสะพานซานเหยี่ยน จวนจอหงวน นั่นเป็นตระกูลที่มีชื่อเสียงอย่างยิ่ง ไม่คาดคิดว่าจะได้พบกับท่าน ข้ามีญาติผู้น้องคนหนึ่งที่แต่งงานเข้าตระกูลเหอ แต่งกับนายท่านที่ห้าของจวนสามแห่งตระกูลเหอ”
“ข้าทราบๆ” ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนยิ้มกล่าว “เป็นหลานชายที่แยกออกมาจากจวนสายหลัก”
ทั้งสองคนแลกเปลี่ยนกล่าวคำทักทายกันแล้วก็สนิทสนมขึ้นมาทันที
หยวนซื่อหัวเราะอยู่ข้างๆ
นายหญิงกู้ที่เจ็ดกล่าวอย่างเคืองๆ ขึ้นว่า “ท่านอาสะใภ้ยังจะหัวเราะอยู่อีก ทั้งที่รู้ดีว่าบ้านเดิมของข้ากับฮูหยินใหญ่อยู่ที่ผูโข่ว กลับไม่รีบแนะนำข้าให้รู้จักกับฮูหยินใหญ่ให้เร็วกว่านี้ เรื่องนี้ล้วนเป็นความผิดของท่าน รอถึงเวลาที่หลานสะใภ้ยื่นจอกสุราให้ท่าน ท่านไม่อาจหาข้ออ้างปฏิเสธได้เป็นแน่!”
“นี่เจ้าคิดจะถือโอกาสรินสุราของข้าหรือ” หยวนซื่อยิ้ม ทั้งสามคนทักทายปราศรัยกันอยู่ครู่หนึ่ง สายตาของนายหญิงกู้ที่เจ็ดก็ตกมาอยู่ที่ร่างของโจวชูจิ่นและโจวเสาจิ่น
ดวงตาของนางเผยให้เห็นความประหลาดใจสายหนึ่ง แล้วเอ่ยถามขึ้นว่า “นี่คือ?”
“เป็นคุณหนูสองท่านจากจวนสี่ เป็นบุตรสาวหัวแก้วหัวแหวนของตระกูลโจวแห่งถนนผิงเฉียว” หยวนซื่อกล่าวยิ้มๆ “นายท่านโจวไปรับราชการอยู่ต่างถิ่น คุณหนูทั้งสองจึงมาอาศัยอยู่ที่จวนตระกูลเฉิงเป็นการชั่วคราว”
ทุกสามปีมีการสอบคัดเลือกขุนนางหนึ่งครั้ง ในการสอบแต่ละครั้งมีผู้สอบผ่านเพียงสามร้อยคน เมืองจินหลิงมีตระกูลที่สอบผ่านเป็นจิ้นซื่อสองสามตระกูล นั่นล้วนแล้วแต่เป็นจำนวนที่ไม่มากสักเท่าใด
ตระกูลกู้เป็นผู้คงแก่เรียน ครั้นหยวนซื่อเอ่ยขึ้นมานายหญิงกู้ที่เจ็ดก็รู้แล้วว่าหมายถึงผู้ใด
นางจับมือของโจวชูจิ่นเอาไว้ด้วยรอยยิ้มเบิกบาน กล่าวขึ้นว่า “ข้าก็คิดว่าเป็นเด็กสาวของตระกูลใด ช่วยสวยสดงดงามได้ขนาดนี้ ที่แท้ก็คือบุตรสาวหัวแก้วหัวแหวนของนายท่านตระกูลโจว ช่างเป็นแขกที่นานทีปีหนจะมาเยี่ยมเยียนจริงๆ” นางกล่าวพลางสั่งสาวใช้ข้างกายว่า “ไปเชิญคุณหนูที่สิบเจ็ดมาที บอกว่าคุณหนูสองท่านจากตระกูลโจวแห่งถนนผิงเฉียวมาเยี่ยม ให้นางมาติดตามอยู่เป็นเพื่อน”
“ไม่ต้องต้อนรับกันขนาดนี้หรอก” หยวนซื่อกล่าวยิ้มๆ “ร่างกายของนายหญิงผู้เฒ่ายังแข็งแรงดีหรือไม่ ข้าได้มาคารวะนายหญิงผู้เฒ่าเมื่อช่วงตรุษจีนที่ผ่านมา”
“ดูความจำของข้าผู้นี้สิ!” นายหญิงกู้ที่เจ็ดได้ยินแล้วก็ตบหน้าผากเบาๆ ยิ้มพลางกล่าว “เมื่อเช้าตอนที่นายหญิงผู้เฒ่าตื่นขึ้นมาก็ยังถามถึงท่านอาสะใภ้อยู่เลย ข้าจะไปพบเป็นเพื่อนท่าน”
ขณะที่นางกล่าวอยู่นั้น ก็เรียกหญิงคนหนึ่งที่มีท่าทางเหมือนมามาผู้เป็นแม่บ้านแล้วกระซิบสั่งการไป
หยวนซื่อครุ่นคิดแล้ว ก็กล่าวกับฮูหยินใหญ่เหมี่ยนและพี่น้องตระกูลโจวว่า “พวกเจ้าไปด้วยกันกับข้าเถอะ นายหญิงผู้เฒ่าเป็นมารดาของกู้เหมยเจินผู้เป็นผู้นำตระกูลของตระกูลกู้ในขณะนี้ ตามลำดับความอาวุโส ก็อาวุโสกว่าฮูหยินผู้เฒ่าของตระกูลเราอยู่หนึ่งรุ่น ประเดี๋ยวตอนที่พบข้า พวกเจ้าก็เรียกนางว่า ‘ท่านย่าทวด’ ตามคุณชายใหญ่ก็แล้วกัน”
ประโยคหลังสุดเป็นการกำชับกับโจวเสาจิ่นและโจวชูจิ่น
โจวเสาจิ่นกับโจวชูจิ่นตอบรับเสียงเบาว่า เจ้าค่ะ
นายหญิงกู้ที่เจ็ดกลับเข้ามา ยิ้มพลางกล่าวว่า “พวกเราไปกันเถอะ!”
หยวนซื่อยิ้มพลางพยักหน้า แล้วทั้งกลุ่มก็เดินไปบนทางเดินฝั่งตะวันตก
ผ่านทะเลสาบ ผ่านศาลา จากนั้นพวกนางก็มาถึงเรือนขนาดเล็กอันเงียบสงบและปลีกวิเวกหลังหนึ่ง
เห็นชัดว่าคนจากในเรือนได้รับแจ้งข่าวเอาไว้แล้ว มีมามาคนหนึ่งมารอรับพวกนางอยู่ที่ประตู
มามาผู้นั้นทักทายหยวนซื่ออย่างเป็นกันเอง หยวนซื่อบอกพวกนางว่า “นี่คือบ่าวข้างกายที่ใกล้ชิดนายหญิงผู้เฒ่าที่สุด ตระกูลสามีแซ่เหมียว”
ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนกับโจวเสาจิ่นและโจวชูจิ่นยิ้มพลางกล่าวทักทายไป
“บ่าวชราผู้นี้ซาบซึ้งยิ่งนักแล้วเจ้าค่ะ!” เหมียวมามาก็เบี่ยงตัวไปหลบเลี่ยง กล่าวกับพวกนางสองสามประโยคอย่างถ่อมสุภาพ แล้วพาพวกนางเข้าไปในเรือน
อาณาบริเวณภายในเรือนไม่ใหญ่นัก แต่งดงามละเอียดลออ บ่าวรับใช้ล้วนแต่เป็นบ่าววัยกลางคน
นายหญิงผู้เฒ่าผมขาวโพลนไปทั้งศีรษะ ทว่ากลับมีกำลังวังชาที่กระฉับกระเฉง รอยยิ้มแฝงความรักใคร่เอ็นดู นั่งอยู่บนตั่งหลัวฮั่นรับคารวะของพวกนางอย่างมีความสุข แล้วบอกให้บ่าวรับใช้ยกตั่งมาให้พวกนางนั่ง
หยวนซื่อทักทายนายหญิงผู้เฒ่าแทนฮูหยินผู้เฒ่ากัว
ทว่านายหญิงผู้เฒ่ากลับไม่พอใจเล็กน้อย เอ่ยถามว่า “ทำไมนางถึงไม่มาด้วยตนเอง ทำไมต้องฝากเจ้ามาทักทายแทนนางด้วย”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวเป็นหญิงหม้าย วันนี้เป็นงานหมั้นของคุณหนูที่สิบหกแห่งตระกูลกู้ ย่อมต้องหลีกเลี่ยงการมาร่วมงาน
แต่ถ้อยคำเหล่านี้กลับไม่สามารถเอ่ยต่อหน้านายหญิงผู้เฒ่าได้เลย เมื่อนายหญิงผู้เฒ่าแก่ชราลงแล้ว ก็เหมือนกับว่าย้อนกลับไปเป็นเด็กเล็กๆ ที่ไม่สนใจเหตุผลใดๆ หากว่ากล่าวออกไปเช่นนั้น มีแต่จะทำให้นายหญิงผู้เฒ่าไม่พอใจเสียเปล่าๆ
“เดิมทีอยากจะมาเจ้าค่ะ” หยวนซื่อกล่าวยิ้มๆ “ทว่าสองวันก่อนอยู่ๆ ศาลาในสวนเจ่าหยวนของน้องสี่เกิดถล่มลงมา ฮูหยินผู้เฒ่าของพวกเราเป็นกังวลยิ่ง จึงรีบไปยังสวนเจ่าหยวนตั้งแต่เช้า นางรู้สึกผิดต่อคุณหนูที่สิบหกเป็นอย่างยิ่ง รอถึงตอนที่นางจะออกเรือน ข้ากับฮูหยินผู้เฒ่าของพวกเราจะมาเยี่ยมเยียนล่วงหน้าอีกครั้งเพื่อมอบของขวัญเจ้าสาวให้กับคุณหนูสิบหกเจ้าค่ะ”
โจวเสาจิ่นตะลึงงัน
มีข้ออ้างเช่นนี้ด้วยหรือ
บอกว่าศาลาของผู้อื่นถล่มลงมา!
อย่างไรก็ตาม สวนเจ่าหยวนแห่งนี้คือเรื่องอะไรกัน
กฎเกณฑ์ภายในตระกูลของผู้คนส่วนใหญ่ ไม่อนุญาตให้สร้างสมบัติพัสถานส่วนตัวมิใช่หรือ
ดูเหมือนว่าทุกคนต่างก็ทราบกันดี แต่เหตุใดถึงไม่มีท่าทีทักท้วงอะไรเลย

VERIFYCAPTCHA_LABEL
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยามดอกวสันต์ผลิบาน