นายหญิงผู้เฒ่าเองก็จำได้แล้วเหมือนกัน
“ข้ายังคิดอยู่ว่า ทำไมเด็กสาวคนนี้ถึงได้คุ้นหน้าคุ้นตาขนาดนี้!” นายหญิงผู้เฒ่ากล่าวขึ้นอย่างาต่อว่าต่อขาน “พวกเจ้ายังจะหาว่าข้าจำผิดคน ข้าไม่ได้จำผิดคนเสียหน่อย ข้าจำคุณหนูของตระกูลจวงได้แม่น! ในตอนนั้นนายท่านผู้เฒ่าจวงยังคิดจะให้คุณหนูตระกูลจวงแต่งงานเข้าตระกูลของพวกเรา! แต่น่าเสียดายที่นายท่านที่สิบห้า นายท่านที่สิบหกต่างแต่งงานกันไปหมดแล้ว ส่วนนายท่านที่สิบเจ็ดและนายท่านที่สิบแปดก็อายุน้อยเกินไป ภายหลังนายท่านที่สิบสองจึงเป็นพ่อสื่อให้…แต่งเข้าตระกูลอะไรนะ? คลับคล้ายคลับคลาว่าแซ่เดียวกับฮ่องเต้จี”
เหมียวมามาจึงกระซิบเตือนข้างหูนายหญิงผู้เฒ่าว่า “แซ่โจวเจ้าค่ะ!”
“ใช่แล้ว แซ่โจว แซ่โจวนั่นเอง” นายหญิงผู้เฒ่ากล่าว “ตอนนั้นข้ายังส่งแจกันมงคลคู่หนึ่งเป็นของขวัญแต่งงานให้แก่คุณหนูของตระกูลจวงอยู่เลย แต่น่าเสียดาย ทั้งๆ ที่เหนียงที่สิบเก้าของตระกูลเรากับคุณหนูตระกูลจวงเที่ยวเล่นกันอย่างสนิทสนมเยี่ยงนั้น คุณหนูตระกูลจวงได้แต่งงานออกไปอย่างราบรื่น ส่วนนางพอถึงเวลาต้องมองหาคู่ครองแล้วบ้างนั้นกลับป่วยเป็นวัณโรค สุดท้ายกลับจบชีวิตลงตัวคนเดียวอย่างเดียวดาย แม้แต่ลูกหลานที่จะมาขึ้นธูปกราบไหว้สักคนก็ไม่มี…”
“นั่นล้วนแต่เป็นเรื่องเก่าแก่นมนานแล้วเจ้าค่ะ” เหมียวมามารีบกล่าวแทรกขึ้น “ท่านจะกล่าวถึงเรื่องราวเหล่านี้อยู่บ่อยๆ ไปเพื่ออะไร ประเดี๋ยวนายท่านผู้เฒ่าจะเสียใจนะเจ้าคะ!”
“เฮ้อ!” นายหญิงผู้เฒ่าถอนหายใจแล้วกล่าวว่า “ข้าจะไม่กล่าวถึงอีกแล้วๆ”
“ทำอย่างนี้ถึงจะถูกเจ้าค่ะ” เหมียวมามายิ้มพลางหยิบขนมเม็ดบัวชิ้นหนึ่งให้นายหญิงผู้เฒ่า “ท่านก็ทานสักชิ้นด้วยสิเจ้าคะ นี่เป็นน้ำจิตน้ำใจของนายท่านสี่! รู้ว่าท่านชื่นชอบ จึงส่งคนไปนำกลับมาจากเมืองหลวงเป็นการเฉพาะเลยนะเจ้าคะ”
“ดีๆๆ” นายหญิงผู้เฒ่าถึงได้รู้สึกเปรมปรีดิ์ขึ้นอีกครั้ง
“ขอประทานโทษนะเจ้าคะ!” เหมียวมามากระซิบกล่าวขอโทษ “นายหญิงผู้เฒ่าอายุมากแล้ว ชอบกล่าวถึงเรื่องอดีตอยู่บ่อยๆ เจ้าค่ะ”
“อายุเจ็ดสิบปีแล้วอยากจะทำตามใจปรารถนาก็ไม่ผิดเจ้าค่ะ” หยวนซื่อรีบกล่าว “นายหญิงผู้เฒ่าเป็นผู้มีจิตใจบริสุทธิ์ พวกเรารู้สึกยินดีแทนนายหญิงผู้เฒ่า ยินดีแทนตระกูลกู้ของพวกเจ้ายิ่งนัก มีตรงไหนให้ต้องกล่าวขออภัยกัน?”
“ข้านึกออกแล้ว” นายหญิงกู้ที่เจ็ดผู้ที่นิ่งเงียบมาโดยตลอดนั้นอยู่ๆ ก็เอ่ยขึ้นมาในทันใด “นายท่านผู้เฒ่าแห่งตระกูลจวง เป็นนายท่านผู้เฒ่าที่ชื่นชอบการทำงานไม้ผู้หนึ่ง ตอนที่ข้าเพิ่งจะแต่งงานเข้ามา นายท่านผู้เฒ่าเคยส่งว่าวตัวหนึ่งที่ท่านทำด้วยตนเองมามอบให้กับคุณชายใหญ่ตระกูลพวกข้า ว่าวนั้นยังคงแขวนเอาไว้ภายในห้องของคุณชายใหญ่ตระกูลพวกข้าจนถึงทุกวันนี้ ว่าวของตระกูลอื่นก็ไม่อาจลอยได้สูงหรือลอยได้ไกลเท่า เป็นของรักของหวงของคุณชายใหญ่ตระกูลพวกข้าเลยทีเดียว ไม่ยอมให้ใครจับต้องแม้แต่น้อย” นางกล่าวพลางเผยให้เห็นความตื่นเต้นราวกับได้พบเจอสหายเก่าจากบ้านเดิมแล้วจับมือของโจวเสาจิ่น “ที่แท้เจ้าก็เป็นหลานสาวของนายท่านผู้เฒ่าตระกูลจวงนั่นเอง ต่างก็ไม่ใช่คนอื่นคนไกลที่ไหนเลย!”
ไม่คาดคิดว่าท่านตาจะมีงานอดิเรกเช่นนี้ โจวเสาจิ่นไม่เคยรู้มาก่อน
นางอยากจะเห็นว่าวที่ท่านตาทำ
ทว่าวันนี้คงไม่ใช่เวลาที่เหมาะสมนัก
“ใครว่าไม่ใช่กันล่ะ” ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนก็ไม่คิดว่าตระกูลจวงกับตระกูลกู้จะเป็นมิตรสหายที่ดีต่อกันมายาวนาน กล่าวยิ้มๆ ว่า “เห็นได้ชัดว่าเสาจิ่นของพวกเราก็เป็นผู้ที่มีวาสนาร่วมกับตระกูลของพวกเจ้าเช่นกัน!”
“ใช่แล้วๆ” นายหญิงกู้ที่เจ็ดกล่าวด้วยรอยยิ้มเบิกบาน
นายหญิงผู้เฒ่าเอ่ยถามโจวเสาจิ่นว่า “ชื่อของเจ้าคือเสาจิ่น ถ้าเช่นนั้นพี่สาวของเจ้าคงจะชื่อหยวนจิ่น ไม่ก็ชูจิ่นใช่หรือไม่”
“นายหญิงผู้เฒ่าท่านช่างเก่งจริงๆ เจ้าค่ะ” โจวเสาจิ่นหยอกเย้านายหญิงผู้เฒ่า “พี่สาวของข้าชื่อชูจิ่นเจ้าค่ะ”
นายหญิงผู้เฒ่ายิ้มอย่างภูมิใจ พลางกล่าวกับโจวชูจิ่นว่า “เจ้ามานี่ซิ ข้าขอดูหน้าสักหน่อย!”
โจวชูจิ่นเดินเข้าไปหา
นายหญิงผู้เฒ่ามองสำรวจนางอย่างละเอียดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วยิ้มพลางกล่าวกับหยวนซื่อ นายหญิงกู้ที่เจ็ดและคนอื่นๆ ว่า “หญิงสาวผู้นี้ก็มีหน้าตาที่งดงามมากเช่นเดียวกัน น่าจะอายุสิบแปดปีแล้วกระมัง มีคู่หมั้นคู่หมายแล้วหรือยัง อายุของนางคงจะพอๆ กับนายท่านที่ยี่สิบเอ็ดของตระกูลเรา”
นายหญิงผู้เฒ่าท่านนี้!
ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนตอบว่า “มีคู่หมั้นคู่หมายแล้วเจ้าค่ะๆ เป็นตระกูลเลี่ยวแห่งเจิ้นเจียง นายหญิงผู้เฒ่าของตระกูลเลี่ยวจากไปแล้ว หากว่าผ่านพ้นช่วงไว้ทุกข์ไปก็จะจัดแต่งแล้วเจ้าค่ะ”
นายหญิงผู้เฒ่าพยักหน้าพลางกล่าว “ที่แท้ก็หมั้นหมายให้กับตระกูลเลี่ยวแห่งเจิ้นเจียงไปแล้ว ดูเหมือนว่าตระกูลของพวกเราจะมีใครสักคนที่แต่งงานเข้าตระกูลของพวกเขาไปด้วยเช่นกัน…”
เหมียวมามาจึงเอ่ยขึ้นว่า “เป็นเหนียงที่สิบห้าเจ้าค่ะ”
“ใช่แล้ว เหนียงที่สิบห้านั่นเอง”
อย่างไรก็ตามในเวลาเพียงพริบตาเดียว นายหญิงผู้เฒ่าก็หาพี่สะใภ้คนหนึ่งในตระกูลเดียวกันให้กับโจวชูจิ่นได้
โจวเสาจิ่นคิดว่าตนเองกับพี่สาวมาไม่เสียเที่ยวจริงๆ
ชาติที่แล้ว จวนสี่กับตระกูลกู้ไม่ได้ติดต่อสัมพันธ์กัน นางไม่มีที่ใดที่จะไถ่ถามเรื่องราวของมารดาผู้ให้กำเนิด ส่วนพี่สาวก็แต่งงานเข้าตระกูลเลี่ยวด้วยตัวคนเดียวโดยที่ไม่รู้จักผู้ใดเลยเช่นกัน ตอนนี้มีเหนียงที่สิบห้าของตระกูลกู้ผู้นี้ แม้นพี่สาวจะยังไม่ได้แต่งงานก็มี ‘คนบ้านเดียวกัน’ คนหนึ่งแล้ว ภายหลังชีวิตในตระกูลเลี่ยวก็จะง่ายดายกว่าในชาติก่อนอย่างแน่นอน
แขกทั้งหลายนั่งอยู่ในเรือนของนายหญิงผู้เฒ่ากว่าพักใหญ่ คุณหนูที่สิบเจ็ดแห่งตระกูลกู้ก็เดินเข้ามา
นางอายุประมาณสิบห้าถึงสิบหกปี รูปร่างสูงปานกลาง สวมชุดเพ่ยจื่อผ้าไหมหูโจวสีเขียวอ่อนลายเรียบๆ ตัวหนึ่ง ผิวขาวเนียนละเอียด ใบหน้าราวลูกท้อดวงตาราวผลซิ่ง แก้มยังยุ้ยเหมือนเด็กอยู่หลายส่วน ถึงแม้จะไม่ได้งดงามมากนัก แต่กลับดูอ่อนโยนน่าเอ็นดู ทำให้คนรู้สึกประทับใจในแรกพบ
นายหญิงกู้ที่เจ็ดจึงถือโอกาสพาพวกนางกล่าวอำลา “แขกในโถงรับแขกทางด้านนั้นคงจะมาถึงกันเกือบหมดแล้ว หลังจากพวกเราทานมื้อเที่ยงแล้ว จะกลับมาพูดคุยกับท่านอีกนะเจ้าคะ!”
“ไม่ต้องมาแล้ว” นายหญิงผู้เฒ่ากล่าว “ข้ารู้ว่าพวกเจ้าทานมื้อเที่ยงแล้วจะไปเล่นไพ่ ข้าเองก็ต้องนอนพักกลางวัน พวกเจ้าไม่ต้องมาแล้ว นายท่านสี่บอกว่าถ้าเขามีเวลาว่าง จะมาหาข้า”
ทุกคนต่างรู้สึกเคอะเขิน
เหมียวมามากล่าวขอโทษเสียงเบา
หยวนซื่อกล่าวร่ำลาสองสามประโยค จากนั้นทุกคนก็เดินออกจากเรือนหลักมุ่งไปยังโถงรับแขกพร้อมกัน
ระหว่างทาง หยวนซื่อกับฮูหยินใหญ่เหมี่ยนเดินอยู่ข้างหน้าโดยมีนายหญิงกู้ที่เจ็ดเดินติดตามอยู่ ส่วนคุณหนูสิบเจ็ดของตระกูลกู้เดินติดตามโจวเสาจิ่นกับโจวชูจิ่นอยู่ข้างหลัง พลางกระซิบกล่าวกับพวกนางว่า “ทั้งสองท่านมาเยือนจวนของตระกูลกู้เป็นครั้งแรกใช่หรือไม่ แต่ก่อนแขกที่มาเยี่ยมเยียนจวนล้วนได้ท่านพี่ที่สิบห้ากับท่านพี่ที่สิบหกคอยต้อนรับ นี่ก็เป็นครั้งแรกที่ข้าได้ช่วยพวกพี่สะใภ้ต้อนรับทักทายแขกเหรื่อ หากว่าขาดตกบกพร่องประการใด ก็ขออภัยพวกเจ้าด้วย!”
เป็นเหมือนกับเมื่อก่อน โจวชูจิ่นเป็นผู้ที่กล่าวแทนพวกนางสองพี่น้อง “ข้ากับน้องสาวต่างมาเยือนเป็นครั้งแรก จวนของท่านช่างงดงามยิ่งนัก! ได้ยินมาว่าวันแต่งงานของคุณหนูที่สิบหกคือวันที่สิบหกเดือนเก้าหรือ”
นี่คือสิ่งที่ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนได้บอกพวกนางเอาไว้เมื่อคืน
คุณหนูสิบเจ็ดพยักหน้าพลางกล่าวยิ้มๆ “เมื่อสามปีก่อนท่านพ่อสามีของท่านพี่สิบหกสอบผ่านขุนนางได้เป็นซู่จี๋ซื่อ ในเดือนหกของปีนี้ได้รับตำแหน่งเป็นจู่ป๋อแห่งศาลต้าหลี่ เขาจึงเขียนจดหมายกลับมาขอให้ท่านแม่สามีของนางพาพวกเขาไปอาศัยอยู่ที่เมืองหลวงด้วย ดังนั้นวันแต่งงานจึงจัดขึ้นอย่างเร่งด่วนเช่นนี้”
ทั้งสามคนคุยกันไปหัวเราะกันไป ไม่นานนักก็มาถึงโถงรับแขก


VERIFYCAPTCHA_LABEL
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยามดอกวสันต์ผลิบาน