เข้าสู่ระบบผ่าน

ยามดอกวสันต์ผลิบาน นิยาย บท 86

ยามดอกวสันต์ผลิบาน – ตอนที่ 86 เข้าใกล้
โจวเสาจิ่นกำลังเป็นกังวลถึงเรื่องที่ว่าไม่อาจหาโอกาสพูดคุยกับเฉิงฉือ เฉิงฉือก็โผล่มาหาฮูหยินผู้เฒ่ากัวที่เรือนหานปี้ซาน โจวเสาจิ่นจึงรู้สึกยินดีอยู่ในใจ

ไม่ใช่ว่าต่อไปนางอาจจะมีโอกาสได้พบกับท่านน้าฉือที่เรือนหานปี้ซานอีกหรอกหรือ

โจวเสาจิ่นลุกขึ้นยืนด้วยความเคยชิน เตรียมตัวจะกลับออกไป แต่นางเพิ่งจะลุกขึ้นมา ก็รู้สึกว่าไม่ค่อยเหมาะสมนัก หากทุกครั้งที่ท่านน้าฉือมาแล้วนางก็กลับออกไป เช่นนั้นจะได้คุยกับท่านน้าฉือได้อย่างไร แต่ถ้าไม่กลับออกไป ก็รู้ว่าไม่ค่อยสุภาพเท่าไหร่นัก

นางรู้สึกลังเลใจอยู่ชั่วขณะหนึ่ง

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกลับไม่ได้คิดอะไรมากขนาดนั้น นางรีบสั่งเฝ่ยชุ่ยว่า “รีบเชิญนายท่านสี่เข้ามา!”

เฝ่ยชุ่ยยิ้มพลางขานตอบ “เจ้าค่ะ” แล้วออกจากห้องรับแขกไป

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวถอนหายใจยาวครั้งหนึ่ง ตอนนี้ถึงได้สังเกตเห็นว่าโจวเสาจิ่นยังยืนอยู่ข้างๆ ตนเอง

เดิมทีนางคิดจะให้โจวเสาจิ่นกลับออกไปก่อน แต่เมื่อเห็นท่าทางไม่รู้จะทำอย่างไรดีของโจวเสาจิ่นแล้ว นางก็ตัดสินใจให้โจวเสาจิ่นรั้งอยู่ก่อน อย่างไรเสียก็เป็นเพียงเด็กสาวอายุสิบสองปีผู้หนึ่ง การได้พบกับผู้ใหญ่ที่จู่ๆ ก็เข้ามาเยี่ยมอย่างกะทันหัน และตนเองก็ไม่ได้บอกกล่าวให้ชัดเจน นางไม่รู้จะทำอย่างไรดีก็ถือเป็นเรื่องปกติ ส่วนเรื่องที่ว่าชายหญิงควรเว้นระยะห่างกันนั้น ทั้งสองคนไม่เพียงแตกต่างกันด้วยตำแหน่งลำดับชั้นภายในตระกูลเท่านั้น แต่ยังแตกต่างกันด้วยอายุด้วย อีกทั้งก็เป็นญาติกัน จึงไม่จำเป็นต้องระวังจนเกินเหตุขนาดนั้น

“นั่งลงมาคุยกันก่อนเถิด!” ฮูหยินผู้เฒ่ากัวเรียกโจวเสาจิ่น พลางกล่าวยิ้มๆ ว่า “คนที่มาก็ไม่ใช่ใครอื่น เป็นน้าฉือของเจ้า ผู้เป็นนายท่านสี่ของจวนหลัก”

โจวเสาจิ่นโล่งอกไปทีหนึ่ง หัวเราะน้อยๆ และนั่งลงมาอย่างเชื่อฟัง

หากฮูหยินผู้เฒ่ากัวให้นางกลับออกไปก่อน…นางก็ไม่รู้จริงๆ ว่าจะหาวิธีอะไรให้ตนเองสามารถรั้งอยู่ต่อดี

ไม่นานนัก เฝ่ยชุ่ยเลิกผ้าม่านขึ้น เฉิงฉือก็เดินเข้ามา

วันนี้เขาสวมชุดนักพรตเต้าเผาผ้าป่านเนื้อบางสีขาวพระจันทร์ตัวหนึ่ง ปักเอาไว้ด้วยปิ่นปักผมไม้ไผ่ รองเท้าผ้าฝ้ายสีกรมท่า บนมือห้อยเอาไว้ด้วยสร้อยลูกปัดไม้จันท์สีแดงเส้นหนึ่ง บนตัวมีกลิ่นหอมอ่อนๆ ของน้ำหอม ‘ดังที่ได้ยินมา’ โชยเข้ามา ด้วยท่วงท่าที่แฝงเอาไว้ด้วยความสูงส่งและสง่างามอย่างเป็นธรรมชาติ

โจวเสาจิ่นลุกขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้

เฉิงฉือจึงหันไปยิ้มให้นาง พลางก้าวออกไปคารวะทำความเคารพฮูหยินผู้เฒ่ากัว

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวไม่รอให้เขาได้โค้งตัวก็ก้าวออกไปจับเฉิงฉือเอาไว้ กล่าวเสียงอ่อนโยนว่า “ช่วงนี้อากาศยิ่งร้อนขึ้นมาก เจ้าได้ทานและหลับสบายดีหรือไม่”

เฉิงฉือเองก็ไม่ได้ฝืนเอาไว้ ใช้โอกาสนี้ยืนขึ้นมา กล่าวยิ้มๆ ว่า “ข้าทางโน้นมีต้นไม้เขียวครึ้มหนาแน่น อีกทั้งยังใกล้กับทะเลสาบชิงซี จึงร่มรื่นเย็นสบายยิ่งนัก เป็นท่านแม่ต่างหาก ตอนเช้าและตอนเย็นควรจะไปเดินเล่นข้างๆ สระบัวให้มาก หนึ่งก็เพื่อให้ได้คลายร้อน และสองยังช่วยให้ร่างกายแข็งแรงอีกด้วย” ขณะที่เขาพูด ก็ครุ่นคิดครู่หนึ่ง แล้วกล่าวอีกว่า “หรือไม่ ท่านไปพักอยู่ที่สวนเจ่าหยวนสักสองสามวันดีหรือไม่ ที่นั่นแวดล้อมไปด้วยทะเลสาบและภูเขา มีทิวทัศน์ที่งดงามยิ่งกว่า”

“ไม่ต้องหรอก” ฮูหยินผู้เฒ่ากัวหัวเราะร่า นั่งลงข้างๆ โต๊ะกลมกับเฉิงฉือเคียงคู่กันซ้ายและขวา “ออกไปข้างนอกครั้งหนึ่งก็ยุ่งยากยิ่งนัก ข้าอยู่ที่นี่จนเคยชินแล้ว อยากได้อะไรไม่ว่าอยู่มุมไหนก็สามารถหาจนพบ แต่ถ้าไปถึงที่นั่นกลับไม่ค่อยชอบใจนัก ข้าอยู่ที่เรือนหานปี้ซานยังจะดีเสียกว่า อย่างไรก็ตาม อย่างเช่นที่เจ้าว่ามา ช่วงเช้าและเย็นควรจะไปเดินเล่นข้างๆ สระบัวสักหน่อยก็ดีเหมือนกัน”

สาวใช้ยกน้ำชาและของว่างเข้ามา

โจวเสาจิ่นรีบช่วยนำของว่างมาขึ้นโต๊ะอย่างรู้ความ

เฉิงฉือจึงยิ้มพลางมองไปที่นางครั้งหนึ่ง

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวเห็นแล้ว ถึงนึกขึ้นมาได้ กล่าวยิ้มๆ ว่า “ข้าแก่แล้ว ยิ่งอยู่ความจำก็ยิ่งไม่ดี นี่คือคุณหนูรองตระกูลโจวจากจวนสี่ ข้าขอให้มาช่วยคัดพระธรรมให้ข้า”

โจวเสาจิ่นทำเสมือนกับไม่รู้จักเขาอย่างไรอย่างนั้น ย่อเข่าลงทำความเคารพครั้งหนึ่ง

เฉิงฉือพยักหน้ายิ้มๆ พลางกล่าว “ในเมื่อมาเป็นแขก ข้ากับท่านแม่จะสนทนากันอยู่ที่นี่ เจ้าจึงไม่จำเป็นต้องอยู่คอยรับใช้”

อา!

ราวกับมีสายฟ้าฟาดในวันอากาศแจ่มใส

โจวเสาจิ่นอ้าปากค้างพูดอะไรไม่ออก

เดิมทีนางคิดว่าอุปสรรคที่จะกีดขวางไม่ให้นางได้พูดคุยกับเฉิงฉือจะมาจากฮูหยินผู้เฒ่ากัวหรือไม่ก็จากขนบธรรมเนียมปฏิบัติ ทว่ากลับคิดไม่ถึงว่าจะเป็นเฉิงฉือที่ขับไล่นาง

เช่นนั้นนางจะได้คุยกับเฉิงฉือได้อย่างไร

โจวเสาจิ่นไร้ปฏิกิริยาตอบสนองไปชั่วขณะ

เฉิงฉือเห็นนางนิ่งไปอย่างโง่งม ราวกับลูกสุนัขที่ถูกทอดทิ้งขณะที่ดวงตาสีดำเบิกกว้างนั้นรื้นขึ้นด้วยน้ำตาอย่างนั้นแล้ว ก็อดไม่ได้ที่มุมปากจะยกยิ้มขึ้นมา

ในครั้งแรกเพื่อให้ความช่วยเหลือนาง เขาถึงได้ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ให้นางแสร้งทำเป็นสาวใช้รินน้ำชาให้ตน ครั้งที่สองเป็นเพราะเห็นนางราวกับลูกหนูที่กำลังหลบหนีอย่างลุกลี้ลุกลนด้วยความหวาดกลัว ถึงได้แกล้งสั่งให้นางรินน้ำชาให้ตนเหมือนกับตอนที่พบหน้ากันในครั้งแรก…คิดไม่ถึงว่าเด็กคนนี้จะถือเอามาเป็นจริงเป็นจัง พอได้พบตนเองก็ทำตัวเป็นสาวใช้อย่างเอาจริงเอาจังเช่นนี้

เขายิ้มขณะที่น้ำเสียงก็เปลี่ยนเป็นอ่อนโยนยิ่งขึ้น “ไปเถิด! ในนี้มีสาวใช้ดูแลอยู่ก็พอแล้ว เจ้ารีบไปคัดพระธรรมเถิด!”

ใบหน้าของโจวเสาจิ่นพลันแดงก่ำ

ในเมื่อถูกผู้อื่นขับไล่เช่นนี้แล้ว…นางไหนเลยจะมีหน้าอยู่ที่นี่ต่อไปได้!

โจวเสาจิ่นรีบคารวะทำความเคารพอย่างรีบร้อน และออกจากห้องรับแขกของฮูหยินผู้เฒ่ากัวไป แต่ดวงตากลับรื้นชื้นขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้

อย่างที่เฉิงเจียมักจะกล่าวอยู่เสมอว่า ช่างน่าขายหน้าเสียจริงๆ!

ตอนแรกเฝ่ยชุ่ยยังไม่ได้สังเกตเห็น พอเห็นนางออกมา ก็รีบเข้ามากระซิบถามนางว่า “ฮูหยินผู้เฒ่ากับนายท่านสี่กำลังทำอะไรอยู่หรือ ต้องการให้พวกข้าเข้าไปเติมน้ำชาและของว่างหรือไม่ หรือมีคำสั่งอื่นหรือไม่เจ้าคะ”

“ไม่มี” โจวเสาจิ่นกระพริบตา พยายามปรับสายตาการมองเห็นให้กลับมาชัดเจนดังเดิม “ฮูหยินผู้เฒ่ากับนายท่านสี่มีเรื่องต้องสนทนากัน…ข้าถึงได้ออกมา!”

“เช่นนั้นก็ดีเจ้าค่ะ” เฝ่ยชุ่ยยิ้ม แต่ก็อดสงสัยอยู่ในใจไม่ได้

ดวงตาของคุณหนูรองรื้นชื้น ราวกับจะร้องไห้อย่างไรอย่างนั้น อาจจะถูกฮูหยินผู้เฒ่ากัวหรือไม่ก็นายท่านสี่ตำหนิมาก็เป็นได้

ตอนที่ 86 เข้าใกล้ 1

ตอนที่ 86 เข้าใกล้ 2

ตอนที่ 86 เข้าใกล้ 3

Verify captcha to read the content.VERIFYCAPTCHA_LABEL

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยามดอกวสันต์ผลิบาน