ฮูหยินผู้เฒ่ากัวยิ้มพลางกวักมือเรียกโจวเสาจิ่น “มา มานั่งข้างๆ ข้า!”
พอเป็นเช่นนี้ นางจึงได้นั่งอยู่ตรงข้ามกับเฉิงฉือ
โจวเสาจิ่นใจเต้นไม่หยุด นางกำหมัดแน่นเพื่อสร้างกำลังใจให้ตัวเอง จากนั้นถึงได้มีความกล้าที่จะนั่งลง
สาวใช้วางตะเกียบและนำอาหารขึ้นโต๊ะ
เวลาทานอาหารไร้ซึ่งเสียงพูดคุย ทุกคนต่างทานอาหารของตัวเอง
ภายในห้องเงียบกริบ มีเพียงเสียงกังวานใสของถ้วยชามและช้อนยามกระทบกันเท่านั้น แต่กลับยิ่งทำให้ความเงียบภายในห้องดูเด่นชัดยิ่งขึ้น
โจวเสาจิ่นรู้สึกประหม่ายิ่งนัก นางไม่กล้าที่จะมองไปเรื่อยได้อย่างตามใจ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ว่าจะลอบสำรวจท่าทีของเฉิงฉือ
นางรู้ว่าให้เป็นเช่นนี้ต่อไปไม่ดีแน่
เพื่อลดความประหม่าของตนเอง นางจำต้องวางความสนใจทั้งหมดลงไปที่อาหาร
ต้มแม่เป็ดรสเข้มข้น ปลาเสี่ยวหวงรสเลิศ เนื้อไก่รสนุ่มลิ้น เนื้อผัดผลอิงเถาฉ่ำเปรี้ยว และผักใบเขียวรสอ่อน…โจวเสาจิ่นค่อยๆ ลิ้มรสของอาหาร ชั่วขณะหนึ่งจึงลืมไปว่าตนเองนั่งอยู่ข้างๆ ฮูหยินผู้เฒ่ากัวและตรงข้ามกับเฉิงฉือ เพ่งความสนใจอยู่กับการทานอาหาร
เฉิงฉือที่นั่งอยู่ตรงข้ามรู้สึกประหลาดใจอยู่บ้างเล็กน้อย
เด็กสาวตรงหน้าทานอาหารได้อย่างสง่างามและไร้กังวล ดูเพลิดเพลินยิ่งนัก ราวกับว่าอาหารที่นางทานไม่ใช่มื้ออาหารธรรมดาแต่เป็นอาหารอันโอชะจากหุบเขาลึกและทะเลอันไกลโพ้นอย่างไรอย่างนั้น
รสชาติอร่อยขนาดนั้นเลยเชียวหรือ
เขารำพึงอยู่ในใจ อดไม่ได้คีบเนื้อผัดผลอิงเถามาตะเกียบหนึ่ง
รสเปรี้ยวหวานกำลังดี ไม่ได้มีอะไรเป็นพิเศษ
เขาคีบเนื้อไก่มาอีกตะเกียบหนึ่ง
เนื้อสัมผัสนุ่มลิ้น แต่ก็แค่นุ่มลิ้นเท่านั้น
เขาจิบน้ำแกงต้มแม่เป็ดไปคำหนึ่ง…จากนั้นเขาก็ต้องยอมรับอย่างช่วยไม่ได้ว่า เด็กสาวตรงหน้านี้ดูท่าทางอ่อนแอและบอบบาง แต่กลับเจริญอาหารดียิ่งนัก
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่หาได้ยากยิ่งกว่าคือเป็นผู้ที่มีลักษณะดียิ่ง ไม่ได้เสแสร้งแกล้งทำท่วงท่าให้ดูน่ารัก อะไรที่สามารถทานได้ก็ทาน…คาดว่าน่าจะเป็นผู้ที่หากสามารถนอนหลับได้ก็นอนผู้หนึ่งด้วยเช่นเดียวกัน!
เฉิงฉือยิ้มพลางวางตะเกียบลง
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวเอ่ยถามขึ้นอย่างเป็นกังวลว่า “อาหารไม่ถูกปากเจ้าหรือ”
“ไม่ใช่ขอรับ” เฉิงฉือกล่าว “ครั้งก่อนข้าได้ฟังคำของท่านแล้ว รู้สึกว่ามื้อเย็นควรจะทานให้น้อยลงสักหน่อย”
“โทษข้าอีกแล้วหรือ!” ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกล่าวโวยวายขึ้น “ข้าเพียงขอให้เจ้าออกไปร่ำสุราตอนกลางคืนให้น้อยลงหน่อยก็ถือว่าอมิตาแล้ว…”
“ที่ไหนกันขอรับ!” เฉิงฉือกล่าวยิ้มๆ “หลังจากที่ท่านบอกมาตั้งแต่ครั้งที่แล้ว กลางคืนข้าก็ไม่ได้ออกไปร่ำสุราข้างนอกอีกเลย ท่านก็ทราบดี แต่ไหนแต่ไรมาข้าล้วนเชื่อฟังคำของท่านมาโดยตลอด”
คำพูดอันแสนธรรมดาเพียงหนึ่งประโยค แต่กลับทำให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัวดูซึมลงอย่างคาดไม่ถึง และเงียบขรึมลงในทันใด
เฉิงฉือเองก็ไม่ได้กล่าวอะไร
ภายในห้องจึงเงียบกริบจนสามารถได้ยินแม้กระทั่งเสียงเข็มหล่น
โจวเสาจิ่นวางมือและเท้าลงเบาๆ
ไม่ควรจะรั้งอยู่ทานข้าวที่เรือนหานปี้ซานเลยจริงๆ…อาหารมื้อนี้ผ่านไปอย่างยากเย็นยิ่งนัก…เวลาทานข้าวก็ไม่อาจพูดคุยกันได้ รอให้ท่านน้าฉือทานข้าวเสร็จ แล้วไปดักเจอเขาด้านนอกก็เหมือนกัน…เช่นนั้นก็จะดูเหมือนกับจงใจไปหน่อย…หรือว่าควรจะอยู่ทานข้าวต่อไป…
ขณะที่โจวเสาจิ่นกำลังคิดว้าวุ่นอยู่ในหัว รู้สึกได้ว่าเฉิงฉือที่อยู่ตรงข้ามนั้นเหลือบมองมาที่นางครั้งหนึ่ง
นางเหลือบมองเฉิงฉือผ่านหางตาอย่างรวดเร็วไปครั้งหนึ่ง
พบว่าเฉิงฉือกำลังยิ้มพลางสั่งการให้สาวใช้ไปต้มน้ำชาให้เขา ซึ่งก็ไม่ได้มองมาที่ตนเอง
บางทีอาจเป็นตนที่เข้าใจผิดไปเอง?
โจวเสาจิ่นครุ่นคิด ขณะที่รีบทานข้าวที่เหลืออยู่ก้นถ้วยให้หมด ไม่กล้าที่จะเติมอีก
โชคดีที่ฮูหยินผู้เฒ่ากัวเองก็วางตะเกียบลงแล้วเช่นกัน สาวใช้เก็บโต๊ะ และยกน้ำชาเข้ามา
เฉิงฉือกลับลุกยืนขึ้น กล่าวกับฮูหยินผู้เฒ่ากัวว่า “ท้องฟ้าเริ่มมืดแล้ว ข้าคงต้องกลับก่อน หากท่านมีเรื่องอะไร ให้พวกสาวใช้ไปแจ้งข่าวให้ข้าสักหน่อยก็ได้แล้วขอรับ”
เอ๋!
โจวเสาจิ่นตะลึงงัน
นี่เขาจะไปเช่นนี้เลยหรือ!
ไม่อยู่ดื่มชาและพูดคุยกับฮูหยินผู้เฒ่ากัวสักหน่อยก่อนหรือ
โจวเสาจิ่นจำต้องลุกยืนขึ้นมาด้วย
“เจ้าเด็กคนนี้” ฮูหยินผู้เฒ่ากัวถอนหายใจพลางกล่าว “บางทีข้าไม่ได้เจอเจ้ามาหลายวัน ให้เจ้ามาหา ก็ไม่ใช่ว่าเพราะมีเรื่องเสมอไป ก็เพียงอยากจะดูว่าเจ้าสบายดีหรือไม่เท่านั้น”
เฉิงฉือยิ้มพลางกล่าว “เรือนเสี่ยวซานฉงกุ้ยมีสาวใช้ ป้าแม่บ้าน และบ่าวชายตั้งมากมาย ข้ามีอะไรให้ไม่สบายกันขอรับ”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวเห็นว่ารั้งเขาเอาไว้ไม่อยู่ จึงสั่งให้สื่อมามาออกไปส่งเฉิงฉือ
โจวเสาจิ่นพลันนึกขึ้นมาได้ว่า ไม่ใช่ว่าตนมีเรื่องอยากพูดกับท่านน้าฉือหรอกหรือ
หากทั้งสองคนร่วมทางกันออกไป ก็น่าจะสามารถพูดคุยกันได้อย่างเป็นธรรมชาติสักสองประโยคกระมัง?
“ฮูหยินผู้เฒ่า” นางกล่าวขึ้นมาอย่างกะทันหัน “ข้าเองก็ขอตัวลาไปก่อนนะเจ้าคะ…ท่านก็จะได้พักผ่อนแต่หัวค่ำสักหน่อยเจ้าค่ะ!”
ไม่ใช่ฤดูหนาวเสียหน่อย จะรีบพักผ่อนแต่หัวค่ำไปเพื่ออะไร
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวรู้สึกหัวเราะไม่ออกร้องไห้ไม่ได้อยู่เล็กน้อย แต่เนื่องจากทั้งสองคนได้ใช้เวลาร่วมกันมาช่วงหนึ่ง นางจึงรู้ว่าโจวเสาจิ่นไม่ใช่คนประเภทที่มีนิสัยชอบประจบประแจง และยังชื่นชอบนางที่เชื่อฟังและมีมารยาท จึงไม่ได้กล่าวแย้งอะไร พยักหน้าให้ยิ้มๆ พลางกล่าว “ข้าจะให้เฝ่ยชุ่ยไปส่งเจ้า ระหว่างทางเจ้าก็ระมัดระวังตัวหน่อยก็แล้วกัน!”
ไม่ว่าอย่างไรเรือนหานปี้ซานก็อยู่ห่างจากเรือนเจียซู่ด้วยระยะทางประมาณครึ่งก้านธูป ท้องฟ้าก็ค่อยๆ มืดลงแล้ว อย่างไรนางก็ต้องกล่าวย้ำเตือนเอาไว้สักหน่อย
โจวเสาจิ่นยิ้มพลางขานรับเจ้าค่ะ แล้วออกจากประตูไปพร้อมกับเฝ่ยชุ่ย
สายลมยามค่ำด้านนอกพัดมาเอื่อยๆ พัดพาให้กิ่งไม้ส่งเสียงซ่าๆ ไหนเลยจะยังมีเงาของเฉิงฉืออยู่!
ตนออกมาช้า ก็เลยคลาดกันเสียแล้ว?
แต่ก็เพียงเสี้ยวเวลาเดียวเท่านั้น…
หัวไหล่ของโจวเสาจิ่นลู่ลงมา ยิ้มพลางกล่าวกับเฝ่ยชุ่ยด้วยอาการห่อเ**่ยวเล็กน้อยว่า “พี่สาวเฝ่ยชุ่ยไม่จำเป็นต้องไปส่งข้าหรอก ที่นี่ห่างจากจวนสี่ไม่ไกลนัก ข้ากลับเองได้”
เฝ่ยชุ่ยยังคงยืนกรานไปส่งนางจนออกจากประตูเรือนหานปี้ซานแล้วถึงกลับเข้าไป
โจวเสาจิ่นมุ่งหน้าไปยังเรือนเจียซู่ด้วยอาการเหงาหงอย กำลังครุ่นคิดว่าไม่ง่ายเลยกว่าที่เฉิงฉือจะไปที่เรือนหานปี้ซานสักครั้งหนึ่ง แต่นางกลับหาโอกาสคุยกับเฉิงฉือไม่ได้ หลังจากนี้ต่อให้นางยังคงคัดพระธรรมอยู่ที่เรือนหานปี้ซาน แต่ก็เกรงว่าคงไม่ง่ายนักกว่าจะได้พบกับเขาสักครั้งหนึ่ง…ยังดีที่ไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องที่ว่าตนอยากจะคัดพระธรรม ‘อมิตาพุทธสูตร’ สักบทสำหรับนำไปถวายแด่องค์พระโพธิสัตว์ออกไป ไม่อย่างนั้นต่อให้นางอยู่คัดพระธรรมที่เรือนหานปี้ซานต่อไป ก็คงไม่ได้พบเฉิงฉืออยู่เช่นเดิม

VERIFYCAPTCHA_LABEL
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยามดอกวสันต์ผลิบาน