ภายในศาลาค่อนข้างยุ่งเหยิงเล็กน้อย มีท่อนไม้วางกองเอาไว้ทุกที่ เฉิงฉือสวมชุดนักพรตเต้าเผาผ้าป่านสีม่วงอ่อนตัวบาง กำลังถือสิ่วแกะสลักไม้ที่ส่องประกายแวววาวอยู่ราง ๆ และคว้านสลักตัวพิณอยู่พอดี
มีกลิ่นหอมของไม้จันท์ลอยอยู่ในอากาศอยู่จาง ๆ
หนานผิงย่อตัวลงทำความเคารพ กล่าวอย่างนอบน้อมว่า “นายท่านสี่ เมื่อสักครู่นี้คุณหนูรองตระกูลโจวจากจวนสี่มาหา ฝากจดหมายเอาไว้ให้ท่านหนึ่งฉบับเจ้าค่ะ”
“วางไว้ตรงนั้นเถอะ!” ท่าทีของเฉิงฉือเรียบเฉย มองสำรวจตัวพิณที่เพิ่งจะเริ่มขึ้นโครงในมือนั้นอย่างละเอียดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็คว้านแกะเนื้อไม้อีกหลายครั้งอย่างระมัดระวัง
“เจ้าค่ะ!” หนานผิงขานตอบอย่างนอบน้อม และล่าถอยออกไปอย่างเบามือเบาเท้า
ภายในศาลามีเสียงคว้านแกะสลักดังออกมาเบา ๆ เสียงแล้วเสียงเล่า ไม่เร็วและไม่ช้า ไม่ดังและไม่เบา ทุก ๆ เสียงล้วนไม่แตกต่างกันเลยแม้แต่นิดเดียว ราวกับเป็นเสียงที่เกิดขึ้นซ้ำไปซ้ำมา ตอนเริ่มฟังในช่วงแรก ๆ นั้นเพียงรู้สึกว่าซ้ำซากจำเจ แต่พอเวลานานเข้า ก็เสมือนกับเสียงของจักจั่นในฤดูร้อน ทำให้คนบังเกิดความหงุดหงิดอยู่ในใจ ยิ่งพอได้ยินมากกยิ่งขึ้น ก็ปรารถนาที่จะออกไปตะโกนดัง ๆ สักครั้ง ให้เสียงนั้นหยุดลงเสียที
ไหวซานขมวดคิ้วมุ่นขึ้นเป็นปม ยิ่งอยู่ท่าทางของเขาก็ยิ่งเคร่งขรึมขึ้น ขณะที่เขาเกือบจะทนต่อไปไม่ไหวอีกแล้วนั้น ภายในศาลาก็พลันเงียบเสียงลงในทันใด
เขาอดไม่ได้ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก
เฉิงฉือกำลังถือตัวพิณเอาไว้และมองซ้ายทีขวาทีกว่าครู่ใหญ่ เขาขมวดคิ้วมุ่นอย่างหงุดหงิดเล็กน้อย วางตัวพิณในมือลง พิมพำกล่าวเสียงหนึ่งว่า “ล้มเหลงอีกแล้ว” จากนั้นก็โยนสิ่วแกะสลักลงบนตั่งตัวยาวที่อยู่ข้าง ๆ
เขาอดกวาดสายตาไปมองจดหมายที่วางอยู่บนตั่งตัวยาวนั้นไม่ได้
ซองจดหมายเป็นกระดาษสีทองของเรือนเสี่ยวซานฉงกุ้ย
เขานึกถึงคำพูดที่หนานผิงกล่าวเมื่อครู่ขึ้นมา ฉีกซองจดหมายออก
ตกใจ ประหลาดใจ และสงสัย…ดวงตาของเขาเบิกกว้าง อ่านจดหมายตั้งแต่ต้นจนจบอีกรอบหนึ่ง
ยังคงเป็นข้อความเหล่านั้น และยังคงเป็นเนื้อหาเดิมไม่เปลี่ยน…ทว่าเฉิงฉือกลับหัวเราะเสียงดังขึ้นมาอย่างอดไม่ได้
คาดไม่ถึงว่านางจะบอกตนอย่างโต้ง ๆ เช่นนี้เลยว่านางฟังไม่เข้าใจ!
กี่ปีแล้วที่ไม่มีใครกล่าวเช่นนี้ต่อหน้าตน?
กี่ปีแล้วที่ไม่มีใครตรงไปตรงมาเช่นนี้ต่อหน้าตน?
เขาหัวเราะร่าอย่างเสียงดัง
ไหวซานแหงนหน้าขึ้น เห็นเพียงเฉิงฉือที่หัวเราะเสียงดังขณะถือจดหมายที่หนานผิงนำมามอบให้ จากนั้นก็ดึงใบหน้าที่ไม่แสดงความรู้สึกใดนั้นกลับมา
เฉิงฉือวางจดหมายลงบนตั่งตัวยาว
มีลมโชยเข้ามา กระดาษจดหมายส่งเสียงดัง ราวกับจะปลิวไปตามลม
เฉิงฉือหยิบท่อนไม้ชิ้นหนึ่งใกล้มือวางทับเอาไว้ ตะโกนเรียกหนานผิงเข้ามา กล่าวขึ้นว่า “เจ้าไปที่เรือนหวานเซียงอีกครั้งหนึ่ง ไปบอกคุณหนูรองตระกูลโจวว่า ควรจะให้คนนำของขวัญส่งไปตอบแทนคุณหนูอาจูด้วยตัวเอง จากนั้นค่อยบอกนางว่า จูเผิงจวี่แต่งงานแล้วเมื่อห้าปีก่อน แต่ว่าภรรยาแท้งบุตรจนร่างกายได้รับบาดเจ็บในปีที่สองของการแต่งงาน หลังจากนั้นไม่ว่ายาอะไรก็ไม่ได้ผล ล้มป่วยนอนติดเตียงมาโดยตลอด ด้วยเหตุนี้ นางจึงยังไม่ได้รับการแต่งตั้งจนถึงทุกวันนี้ ในเดือนสามของปีนี้ หมอจากจิงเฉิงได้กล่าวเอาไว้แล้วว่านางจะมีชีวิตอยู่ได้ไม่เกินฤดูหนาวของปีนี้ จวนเหลียงกั๋วกงได้จัดเตรียมพิธีศพเอาไว้ให้นางเป็นที่เรียบร้อยแล้ว”
หนานผิงประหลาดใจยิ่งนัก
นายท่านสี่ ที่ผ่านมาไม่สนใจเรื่องเหล่านี้มิใช่หรือ
เหตุใด…
นางเงยหน้าขึ้น กลับเห็นดวงตาที่สว่างสดใสทั้งคู่ของเฉิงฉือ
หนานผิงรีบก้มหน้าลง ขานรับเสียงหนึ่งว่า “เจ้าค่ะ” อย่างนอบน้อม จากนั้นก็ล่าถอยออกไป
เพียงแต่ว่าเมื่อเดินจนเกือบจะถึงหน้าประตูศาลาแล้วนั้น ก็ถูกเฉิงฉือเรียกเอาไว้
นางรอคำสั่งของเฉิงฉืออยู่เงียบ ๆ
เฉิงฉือกล่าวยิ้ม ๆ ว่า “เจ้าเรียกจี๋อิ๋งเข้ามาหน่อย! ข้าต้องทำพิณ ต้องการคนผู้หนึ่งมายกน้ำชาและรินน้ำให้”
“นายท่านสี่!” หนานผิงมองเฉิงฉือ ดวงตาทั้งคู่วูบไหวอย่างแวววาว
น้ำเสียงของเฉิงฉือพลันอ่อนโยนลง กล่าวเสียงเบาว่า “เจ้าออกไปเถอะ!”
“เจ้าค่ะ!” หนานผิงขานรับเสียงเคร่ง ออกจากศาลาไป
เฉิงฉือฉับพลันรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาเป็นอย่างมาก เขาประสานมือไว้ที่ด้านหลังและเดินออกจากศาลาไป
ไหวซานก้มหน้าลงต่ำ
เฉิงฉือถอนหายใจออกมาครั้งหนึ่ง กล่าวขึ้นว่า “เจ้าไปเดินแถวนี้เป็นเพื่อนข้าสักหน่อย”
ไหวซานไม่ได้กล่าวอะไร เดินตามหลังเฉิงฉือไปอย่างเงียบ ๆ เดินมุ่งไปทางทิศใต้ตามทางเดินขนาดเล็กที่อยู่ข้าง ๆ
จี๋อิ๋งปรากฏตัวออกมาข้าง ๆ ศาลา
นางมองไปรอบ ๆ ทั้งสี่ด้าน ไม่เห็นเฉิงฉือและไหวซาน เผยรอยยิ้มโล่งอกออกมา แล้วเดินย่องเข้าไปในศาลา
กระดาษจดหมายดูราวกับผีเสื้อที่ถูกกดทับอยู่บนตั่งตัวยาว และกำลังกระพือปีกไปมา
นางมองสำรวจศาลาอย่างรวดเร็วครั้งหนึ่ง มองให้แน่ใจอีกครั้งว่าไม่มีคนอยู่จริง ๆ จากนั้นค่อย ๆ หยิบกระดาษจดหมายขึ้นมาอย่างระมัดระวัง
ไม่อยากจะเชื่อ นางอ่านจดหมายอีกครั้งหนึ่ง…
จี๋อิ๋งหัวเราะขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ กล่าวขึ้นอย่างสาสมใจราวกับยินดีในคราวเคราะห์ของผู้อื่นว่า “เฉิงจื่อชวนหนอเฉิงจื่อชวน เจ้าก็มีวันนี้ด้วยเช่นกัน! ข้าให้เจ้าพูดจาให้คดเคี้ยวเข้าไว้ ข้าให้เจ้าลอบคิดบัญชีกับผู้อื่น แต่กลับถูกคนบอกอย่างตรงไปตรงมาว่าฟังไม่เข้าใจ…หากเรื่องนี้ถูกแพร่ออกไป ข้าจะดูว่านายท่านสี่ตระกูลเฉิงอย่างเจ้าจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน…”
ขณะที่นางกล่าว ทันใดนั้นสีหน้าก็เคร่งขึ้น หมุนกายกลับไป
เฉิงฉือและไหวซานที่เมื่อครู่ยังไม่เห็นแม้แต่เงานั้น ไม่รู้ว่ามายืนอยู่ตรงหน้าประตูศาลาแล้วตั้งแต่เมื่อไหร่
“นะ…นายท่านสี่!” สีหน้าของจี๋อิ๋งเผยแววตระหนกออกมาเล็กน้อย กล่าวอย่างลุกลี้ลุกลนว่า “ขะ…ข้า….” สายตาของนางตกไปอยู่บนกระดาษจดหมายที่ยังอยู่ในมือของตน…ทันใดนั้นก็รีบวางกระดาษจดหมายลงบนตั่งตัวยาวราวกับถือมันหวานร้อนที่กำลังลวกมืออยู่ลูกหนึ่ง ยังใช้ท่อนไม้ชิ้นหนึ่งวางทับเอาไว้บนกระดาษจดหมาย ให้กลับคืนสู่สภาพเดียวกับเมื่อก่อนหน้านี้ แล้วกล่าวขึ้นว่า “ข้าเห็นมันปลิวออกไป ก็เลยช่วยนำกลับมา…”
นางพูดโกหกโดยที่ดวงตาไม่กระพริบ


VERIFYCAPTCHA_LABEL
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยามดอกวสันต์ผลิบาน