ไม่นาน หนานผิงพร้อมด้วยชิงเฟิงก็เดินอย่างรีบเร่งมาหาโจวเสาจิ่น
“คุณหนูรอง” นางกล่าวขึ้นอย่างกระวนกระวาย “ท่านมาได้อย่างไร ท่านมาหาข้ามีเรื่องอะไรหรือเจ้าคะ”
โจวเสาจิ่นมองชิงเฟิงครั้งหนึ่ง
ชิงเฟิงเหลือบมองนางอย่างขุ่นเคืองครั้งหนึ่ง จากนั้นก็หมุนกายจากไป
โจวเสาจิ่นดึงแขนเสื้อของหนานผิงเอาไว้ กล่าวเสียงเบาว่า “แม่นางหนานผิง ข้าต้องการพบท่านน้าฉือ…เจ้าอย่าบอกข้าว่าเขาไม่อยู่ ถ้าเขาไม่อยู่ เจ้าคงไม่อาจนำความของเขามาบอกข้าอย่างรวดเร็วขนาดนั้นได้…หรือต่อให้เมื่อครู่นี้เขาไม่อยู่ แต่ตอนนี้ก็น่าจะกลับมาแล้ว ข้ามีเรื่องที่ด่วนมาก ด่วนมากจริง ๆ!” เมื่อกล่าวถึงตอนท้าย คำพูดของนางมีแวววิงวอนอยู่เล็กน้อยโดยไม่รู้สึกตัว
หนานผิงเงียบไปชั่วขณะหนึ่ง กล่าวขึ้นอย่างลังเลว่า “เช่นนั้นท่านรออยู่ที่นี่สักครู่”
โจวเสาจิ่นพยักหน้ารัว รู้สึกขอบคุณเป็นอย่างมาก
หนานผิงไปรายงาน
โจวเสาจิ่นยืนอยู่ที่หน้าประตูห้องโถง รออยู่ด้วยอาการกระวนกระวาย
ตอนที่วิ่งเข้ามานั้นเต็มไปด้วยความเลือดร้อน แต่ตอนที่ยืนรออยู่ที่นี่ นางกลับรู้สึกลังเลขึ้นมา
หากท่านน้าฉือไม่ยอมให้นางเข้าพบจะทำอย่างไรดี
พบหน้าแล้วแต่ไม่สนใจเรื่องของนางจะทำอย่างไรดี
นางควรทำอย่างไรถึงจะสามารถทำให้ท่านน้าฉือสนใจขึ้นมาได้
นิ้วของโจวเสาจิ่นบีบรัดเข้าด้วยกัน
หนานผิงเดินเข้ามาอย่างรีบเร่ง
“คุณหนูรอง” น้ำเสียงของนางแฝงเอาไว้ด้วยความความประหลาดใจอย่างที่โจวเสาจิ่นไม่เข้าใจ “นายท่านสี่ให้ท่านไปที่ศาลาชิงอินเจ้าค่ะ”
โจวเสาจิ่นไม่รู้ว่าศาลาชิงอินที่ว่านั้นอยู่ที่ไหน
นางเดินตามหนานผิงไป
กระทั่งผ่านต้นกุ้ยเก่าแก่ที่เพิ่งจะถูกตัดแต่งกิ่งไปต้นหนึ่ง ก็มองเห็นศาลาหลังหนึ่ง
กำแพงสีขาวที่มุงด้วยหลังคาสีขี้เถ้า กว้างไม่เกินหนึ่งห้องกั้น บานประตูทั้งสี่ด้านฝังเอาไว้ด้วยกระจกใส ตรงมุมชายคาแขวนเอาไว้ด้วยระฆังทองแดง ตรงประตูแขวนเอาไว้ด้วยป้ายสีดำฉาบทอง ตัวอักษรขนาดใหญ่สามคำ ‘ศาลาชิงอิน’ ถูกเขียนเอาไว้อย่างมีชีวิตชีวาราวมังกรและนกเฟิ่งที่กำลังเต้นระบำโบยบิน
โจวเสาจิ่นถอนหายใจยาวออกมาครั้งหนึ่ง
ในที่สุดก็มาถึงแล้ว
พวกนางใช้เวลาเดินมาเกือบจะสองก้านธูป นางรู้สึกปวดเท้าขึ้นมาเล็กน้อย
ที่นี่น่าจะเป็นสถานที่ที่อยู่ลึกที่สุดของเรือนเสี่ยวซานฉงกุ้ยแล้วกระมัง
หนานผิงเปิดบานประตูออก
โจวเสาจิ่นเห็นเฉิงฉือกำลังเก็บสิ่วแกะสลักไม้และอุปกรณ์อื่น ๆ อยู่
เพียงแวบเดียวนางก็มองเห็นพิณที่เพิ่งจะขึ้นโครงใหม่ชิ้นหนึ่ง
ถึงว่าท่านน้าฉือไม่ยอมพบแขก ที่แท้เขากำลังทำพิณอยู่นี่เอง
โจวเสาจิ่นรู้สึกโล่งใจ อารมณ์ผ่อนคลายลงมาอย่างอธิบายไม่ถูก
นางก้าวออกไปทำความเคารพเฉิงฉือ
เฉิงฉือยิ้มพลางกล่าว “เจ้ามาแล้วหรือ! ในนี้รกมาก พวกเราไปคุยกันด้านนอกก็แล้วกัน!
ภายในศาลาค่อนข้างรกจริง ๆ ขี้เลื่อย เศษไม้ ขี้กบไม้ และท่อนไม้วางเรียงรายเต็มพื้น บนร่างของท่านน้าฉือก็เต็มไปด้วยขี้เลื่อยกับเศษไม้ด้วยเช่นเดียวกัน
โจวเสาจิ่นขานรับยิ้ม ๆ ทว่าท่าทางกลับเรียบเฉยเล็กน้อย
นางเห็นจี๋อิ๋ง
ภายในศาลาที่ไม่เป็นระเบียบ ใบหน้าเย็นชาของนางราวกับไข่มุกที่สุกใส ต่อให้ในตอนแรกจะมองไม่เห็นนาง แต่ผ่านไปไม่นานย่อมถูกสังเกตเห็นได้
เพียงแต่ว่าในเวลานี้นางสวมเพียงเสื้อกั๊กปี๋เจี่ยผ้าฝ้ายสีดำตัวหนึ่ง นั่งอ่อนเปลี้ยเพลียแรงอย่างสิ้นหวังและชุ่มไปด้วยเหงื่ออยู่บนพื้น ท่าทางเหนื่อยอ่อน ในตาดูตื่นตระหนกและหวาดกลัว ราวกับผ่านเรื่องร้ายแรงมาอย่างไรอย่างนั้น ทำให้โจวเสาจิ่นรู้สึกไม่เข้าใจเป็นอย่างมาก
เฉิงฉือเห็นแล้วเพียงหัวเราะเบา ๆ ไม่ได้กล่าวอธิบาย และก็ไม่ได้กล่าวอะไรให้ชัดเจน เพียงตบเสื้อผ้าครู่หนึ่ง แล้วเดินตรงออกไปด้านนอก
โจวเสาจิ่นเองก็จำต้องทำราวกับว่ามองไม่เห็น และเดินตามออกไป
หลั่งเย่ว์กับไหวซานไม่รู้ว่าโผล่ออกมาจากที่ไหน คนหนึ่งต้มชา อีกคนหนึ่งยกโต๊ะกับเก้าอี้ ไม่นาน ใต้ชายคาของศาลาก็มีสถานที่ให้นั่งได้ขึ้นมาที่หนึ่ง
เฉิงฉือผลักถ้วยชาที่มีน้ำชารินเอาไว้ร้อน ๆ ไปทางนาง กล่าวยิ้ม ๆ ว่า “เป็นชาเขียวปี้หลัวชุนที่เก็บก่อนวันชิงหมิง เจ้าลองชิมดู”
กลิ่นหอมสดชื่น สีน้ำชาใสแจ๋ว รสสัมผัสหลังดื่มกระตุ้นต่อมน้ำลายดียิ่ง
เป็นน้ำชาที่ดี แต่นางในตอนนี้ไหนเลยจะมีแก่ใจมานั่งดื่มชา
คิดถึงว่าต่อให้ตนมีความสามารถในการคิดอย่างปี่กัน แต่ก็เกรงว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าเฉิงฉือก็อาจจะยังไม่เพียงพอ นางจึงเพียงละทิ้งคำพูดหลอกลวงพวกนั้นเอาไว้ก่อน แล้วกล่าวอย่างตรงไปตรงมาว่า “ท่านน้าฉือ ชานี้รสชาติดียิ่ง เพียงแต่ข้ากำลังกังวลด้วยเรื่องของจวนเหลียงกั๋วกง…ที่มาหาท่าน ก็ด้วยเรื่องนี้…เพราะเหตุใดจูเผิงจวี่ผู้นั้นถึงได้ส่งของขวัญล้ำค่าขนาดนั้นมาให้ข้า พี่สาวกับเฉิงเจียด้วยเจ้าคะ ท่านให้หนานผิงนำความบางอย่างไปบอกข้า ก็เพราะว่าทราบอะไรบางอย่างมาใช่หรือไม่เจ้าคะ”


VERIFYCAPTCHA_LABEL
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยามดอกวสันต์ผลิบาน