ยั่วรักทนายคนโหด นิยาย บท 393

ตอนที่393 การปรากฎตัวของพ่อที่รัก

นัชชาตกใจมาก ใบหน้ายังคงขาวซีด “ไม่มีอะไร บันไดขั้นนั้นลื่นเกินไป”

“แม่ไม่เป็นไรนะครับ” ธีมนต์ก็เข้ามาถาม สายตาเต็มไปด้วยความกังวล

นัชชายิ้ม “ไม่เป็นไรจ๊ะ ธีธีต้องระวังนะครับ ยิ่งไปไกลหินก็ยิ่งลื่น”

ชายคนนั้นไม่ได้พูดอะไร เขาคุกเข่าและจับข้อเท้าของเธอ เมื่อเห็นว่าไม่ได้เป็นอะไรจึงค่อยวางใจ เขาจึงหันมาสอนลูกชาย “เพราะอย่างนี้ลุงถึงอยากให้หนูออกกำลังกายบ่อยๆ หนูจะได้ไม่ซุ่มซ่ามเหมือนกับแม่ไง”

ธีมนต์พยักหน้ารับคำ “ผมรู้แล้วครับ แบบนี้ผมจะได้ปกป้องแม่ได้!”

นัชชา “...”

เตชิตคุณชักจะมากไปแล้ว

ไม่รู้เขาสังเกตเห็นสายตาของเธอหรือไม่ ชายหนุ่มเมื่อได้คืบก็จะเอาศอก สลับเปลี่ยนตำแหน่ง ให้ธีมนต์จับมือนัชชาไว้ ตัวเขาเองคอยเดินตามทั้งสองอยู่ที่ด้านหลัง

ตั้งแต่เก้าโมงกว่าจนถึงจุดชมวิว ทั้งสามปีนไปถึงกลางภูเขาใช้เวลาไปหนึ่งชั่วโมงเศษ ตรงกลางมีที่นั่งพัก นัชชาซื้อน้ำและส้มครึ่งถุง

หลังจากพักผ่อนสักครู่ ทั้งสามก็มุ่งหน้าไปยังยอดของภูเขา ความจริงแล้วธีมนต์ยังเด็กเกินไป แม้ว่านัชชาจะจูงเขาไว้แต่ก็ต้องคอยลากดึงอยุ่ตลอดเวลา แต่ก็ยังไม่สามารถลดความเหนื่อยล้าของเขาได้

“แม่ครับ ผมเดินไม่ไหวแล้ว” ตุ๊กตาน้อยยืนนิ่งบนก้อนหิน ดูแล้วหมดแรง

นัชชาไม่ทันที่จะพูดอะไร เตชิตก็รีบพุ่งตัวไปด้านหน้า ราวกับว่ากำลังรอจังหวะเวลาเช่นนี้อยู่ เขาลดลำตัวลงครึ่งหนึ่ง เข่าข้างหนึ่งตั้งอยู่บนพื้น ตบไปที่หลังของตัวเอง “ขึ้นมาสิ ลุงอุ้มหนูเอง”

ดวงตาของธีมนต์เป็นประกายด้วยความดีใจ แต่วินาทีต่อมาก็รู้สึกลังเลและกลัวขึ้นเล็กน้อย เขายืนบิดตัวไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร

เตชิตเริ่มออกอุบาย “มีเด็กจำนวนมากที่ปีนมาไม่ถึงครึ่งทาง ธีธีน่ะยอดเยี่ยมมากแล้ว ลุงนึกไม่ถึงว่าหนูจะเก่งขนาดนี้ แต่ว่าวิวบนยอดเขาน่ะสวยกว่าตรงนี้มาก ให้ลุงแบกหนูไปดีไหมครับ”

เด็กไม่ว่าจะเล็กแค่ไหน ล้วนแต่มีความเคารพตนเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อหน้าเขา ธีมนต์คาดหวังว่าจะทำสิ่งที่ดีที่สุดเสมอ เตชิตมองออก และได้ให้กำลังใจ อย่างไรก็ตามความกล้าแกร่งนี้ดูเหมือนจะเป็นความท้าทายอย่างหนึ่ง อีกส่วนหนึ่งอาจจะเป็นเพราะเขาไม่ได้มีบุคลิคที่เป็นมิตรมากนัก เลยทำให้เด็กอาจจะไม่กล้าเข้าใกล้

ธีมนต์เมื่อได้ฟังเช่นนั้น ก็พยักหน้า “ถ้างั้นก็ได้ครับ”

นัชชาเห็นตุ๊กตาตัวน้อยไต่ขึ้นบนหลังเตชิต ใจก็อดกังวลไม่ได้ “ถ้าอย่างนั้นก็ช่างมันเถอะ คุณแบกเขาไปก็ไม่ค่อยปลอดภัยเท่าไหร่”

“ไม่เป็นไรหรอกน่า”

“แต่ว่า…”

“ไม่เชื่อผมหรอ” ขณะที่พูด ชายคนนั้นก็ได้แบกเด็กน้อยขึ้นหลังไปแล้ว เขาออกกำลังกายอยู่สม่ำเสมอ ร่างกายกำยำเหมือนกับเสือดาว มีน้ำหนักในเวลานี้ เส้นกล้ามเนื้อบนร่างกายเห็นได้ชัดเจน “ผมไหวไม่ไหว คุณไม่รู้หรือยังไง”

คำพูดมาถึงปากนัชชาก็หยุดในทันที ชายคนนี้เก่งเรื่องนี้ที่สุดเรื่องบุกป่าฝ่าดง อ๊ะ จะกลับลำคำพูดยังไงดี

อย่างไรก็ตามเตชิตก็ได้พิสูจน์พลังของตนเอง จากกลางเขาแบกเด็กขึ้นไปถึงยอดเขาได้ ระหว่างทางหยุดพักสองรอบ เมื่อเกือบถึงยอดเขา เขาก็วางเด็กลง “อีกนิดเดียวก็จะถึงยอดเขาแล้ว ธีธีปีนขึ้นไปเองไหมครับ”

ระหว่างที่ธีมนต์ถูกแบกตลอดระยะที่ผ่านมานี้ก็ได้พักผ่อนจนเพียงพอแล้ว เขาพยักหน้า “ครับ!”

เตชิตยิ้มอย่างสบายๆ กำลังจะยืดตัวขึ้นตรงแต่ก็ถูกเด็กดึงแขนเอาไว้ เขางงงวยคิดว่ามีเรื่องอะไรหรือไม่ “ว่าไงครับ”

ธีมนต์โค้งคำนับเขาและหยิบกระดาษทิชชู่ในกระเป๋าตัวเองออกมาและยืนตรงหน้าชายคนนั้น เขากางนิ้วออกและเช็ดเหงื่อบนหน้าผากให้กับชายคนนั้น

ถึงแม้ว่าร่างกายของเขาจะแข็งแรง แต่ตอนนี้ก็อายุสามสิบเจ็ดแล้ว ถ้าจะให้เทียบกับหนุ่มสาววัยยี่สิบต้นๆคงไม่ได้ ก็มีเหงื่อออกตามหน้าผากบ้าง เมื่อชายตัวน้อยเห็นเขาก็ยิ่งจดจำมันไว้ในใจของเขา

ร่างกายที่เหมือนถูกสตั้นไว้เป็นเวลานานจนเหมือนถูกแช่แข็ง ต่อให้ปีนเขาเป็นเวลานานก็ไม่รู้สึกเหนื่อย ไม่รู้สึกวิงเวียน กลับถูกความสุขที่ไม่ได้คาดคิดนี้ครอบงำเอาไว้แล้วจนหมดสิ้น

เขามองที่ใบหน้าขาวนวลของเด็กน้อย หัวใจก็อบอุ่นเหมือนแช่อยู่ในอ่างน้ำร้อนอุณหภูมิสามสิบกว่าองศา ช่างเต็มไปด้วยความอ่อนโยน “ธีธีเด็กดีจริงๆ”

ธีมนต์มองไปที่เหงื่อบนหน้าผากของชายหนุ่ม เขากางมือเล็กๆออกพยายามที่จะเช็ดให้มันแห้ง

นัชชามองไปที่ด้านข้าง ด้านล่างขอบตามีความร้อนระอุ ภาพที่ตรงหน้าของเธอเป็นภาพที่เธอไม่เคยจินตนาการมาก่อน ฉากอันอบอุ่นที่เกิดขึ้นระหว่างลูกกับเตชิต

พูดแล้วอาจจะฟังดูเลือดเย็น ชนุดมทำสิ่งเดียวกันนี้ แต่ความรู้สึกที่เด็กมีกับเขานั้นกลับไม่ได้ลึกซึ้งขนาดนี้ สุดท้ายแล้วก็คือพ่อลูก ยังไงก็ตัดกันไม่ขาด

ไม่ต้องบอกว่าเตชิตมีความสุขแค่ไหน ดอกไม้ได้เบ่งบานในใจเขาแล้ว เขาจับมือของเด็กน้อยเอาไว้ตลอดจนถึงยอดเขาไม่ยอมปล่อย ขณะที่ธีมนต์พูดเจื้อยแจ้วไปเรื่อย

เมื่อเดินไปสักครู่ก็พบว่านัชชาไม่ได้เดินตาม ตุ๊กตาตัวน้อยยึดมือฝ่ามือใหญ่แน่นวิ่งไปหาที่เบื้องหน้าเธอ และยังกอดเธอ “แม่ครับ เร็วหน่อยสิครับ!”

ด้วยวิธีนี้ ให้คนทั้งสองจับมือกันไว้ เหมือนจะร้อยเชื่อมความรู้สึกของพวกเขาไว้ด้วยกัน

นัชชาเหมือนถูกไฟฟ้าสถิตเล็กน้อย เธอขยับปลายนิ้วพยายามปัดความรู้สึกแปลกๆออกจากร่างกาย และใช้สมาธิจดจ่ออยู่กับเรื่องการปีนเขา

บนเขาภูมิทัศน์ดีมาก มองไปที่ด้านล่างเห็นอาคารและสิ่งปลูกสร้างอยู่รอบทิศ

เมื่อมองไปที่สุดสายตา เห็นด้านหน้าพระพุทธรูป การที่จะสามารถได้เห็นวิวที่สวยงามระดับประเทศในเมือง J ได้นั้นไม่ง่ายเลย

นัชชามองดูทั้งสี่ทิศรอบตัว ท้องนภาสีฟ้าอยู่ด้านบน สีเขียวของหญ้าที่ฝ่าเท้า อารมณ์เบิกบานเข้าถึงในหัวใจ ปัญหาที่คอยตามมาหลอกหลอนได้ถูกกระแสลมแรงพัดจากไป

ทั้งสามนั่งอยู่ในศาลาบนยอดเขา เวลาส่วนมากหมดไปกับการสนทนาระหว่างเตชิตกับตุ๊กตาตัวน้อย นัชชานั่งอีกฝั่งหนึ่ง แม้ว่าตาจะไม่ได้จ้องมองที่สองคนนั้น แต่หูก็คอยฟังอย่างระมัดระวังตลอด

“ยอดเขาสวยมากเลย ผมไม่เคยปีเขาสูงขนาดนี้มาก่อนเลย!” ธีมนต์ยังคร่ำครวญถึงทิวทัศน์ที่อยู่ตรงหน้า

เตชิตพยักหน้าอย่างอดทนราวกับพ่อที่มีเมตตา “ใช่ มีแต่เมื่อมาถึงยอดเขาเท่านั้นถึงจะสามารถมองเห็นทิวทัศน์เช่นนี้ได้ ไม่ว่าจะทำเรื่องอะไรก็แล้วแต่ อย่ายอมแพ้ง่ายๆ”

เขาสอนให้แก่ลูก ความเพียรคืออะไร ทำไมถึงต้องยืนหยัดต่อสู้ ถึงแม้ว่าการยืนหยัดคำนี้ด้วยอายุธีมนต์ ณ ขณะนี้เขาจะยังไม่สามารถเข้าใจได้ลึกซึ้ง แต่ค่อยๆซึมซับไป จะทำให้หัวใจน้อยๆของเขาแข็งแกร่งขึ้นมา

คำพูดและความรู้สึกเช่นนี้ คนเป็นแม่ไม่สามารถนำพาได้ ลูกต้องการพ่อ สิ่งที่จำเป็นไม่ใช่ตัวตนของพ่อแต่เป็นบางสิ่งที่คนเป็นพ่อเท่านั้นจะให้ได้

และสิ่งเหล่านี้ เธอไม่สามารถแทนที่เขาได้

เมื่อคิดเช่นนี้ ความคิดของนัชชาก็ลอยฟุ้งไปไกล เธอคิดทบทวนปัญหาข้อนี้อยู่เสมอ จะยอมรับผู้ชายคนนี้อีกครั้งได้หรือไม่ ควรจะปล่อยให้ลูกติดต่อกับเขาหรือเปล่า

เธอไม่รู้ เธอมันจะรู้สึกว่ายังมีรูโหว่ในใจ ซึ่งไม่รู้จะซ่อมแซมมันได้อย่างไร แต่ก็ไม่สามารถทำเป็นมองไม่เห็น

“กำลังคิดอะไรอยู่” ที่ด้านข้าง เสียงของชายหนุ่มที่เปล่งออกมาเต็มไปด้วยพลัง

นัชชาหมุนตัว หันกลับไปมองดวงตาทั้งคู่ เธอยกมือขึ้นทัดผมไปที่หลังหู “ไม่มีอะไรค่ะ”

“ไปกันเถอะ นั่งกระเช้าลงกัน ใกล้ๆนี้มีพิพิธภัณฑ์อยู่”

นัชชาลุกขึ้นอย่างว่องไว “อื้อ”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยั่วรักทนายคนโหด