ยมทูตพาร์ตไทม์แห่งร้านหนังสือยามวิกาล นิยาย บท 109

ตอนที่ 109 ฉันควรตายหรือยัง

“เขาเป็นพ่อของผม”

แค่คำพูดเบาๆ เพียงหนึ่งประโยค แต่กลับมีผลการสั่นสะเทือนสูง

ผู้ชายวัยกลางคนหยิบบุหรี่ออกมาจากกระเป๋ากางเกง นำมาคาบเองหนึ่งมวน แล้วจึงส่งให้โจวเจ๋อกับนักพรตเฒ่าคนละหนึ่งมวน

นักพรตเฒ่ายืนนิ่งไม่ขยับ แต่โจวเจ๋อกลับรับบุหรี่มาจุดไฟอย่างใจเย็นมาก

“เป็นยังไง คิดดีแล้วหรือยัง” ผู้ชายวัยกลางคนพูดโน้มน้าวต่อ “วางใจได้ ผมไม่เอาเปรียบพวกคุณหรอก ผมสามารถให้พวกคุณดูใบรายการของผม ถึงตอนนั้นพวกคุณลงเวลาเดียวกันกับผมก็พอ”

“คุณเป็นลูกชายที่ดีมากนะครับ” โจวเจ๋อพ่นควันบุหรี่ออกมาแล้วพูด

ผู้ชายวัยกลางคนขมวดคิ้วเล็กน้อย แล้วยิ้มหยัน “นี่คือธุรกิจ เล่นไม่เล่น พูดมาเลย”

เขาไม่โง่ แน่นอนว่าสามารถฟังออกถึงคำพูดถากถางแดกดันของโจวเจ๋อ

“ลง ทำไมไม่ลงล่ะ” โจวเจ๋อเอ่ย

“โอเค ห้าพัน ไม่แพงใช่ไหม พวกคุณลงมาหนึ่งแสนหยวนแล้ว ใบรายการสองใบ หนึ่งแสน เพิ่มอีกห้าพัน พวกคุณฟันกำไรเหนาะๆ แน่นอน”

พอพูดถึงเงิน ผู้ชายวัยกลางคนเริ่มตื่นเต้นขึ้นมา ลืมคำพูดเย้ยหยันแดกดันก่อนหน้านั้นของโจวเจ๋ออย่างสิ้นเชิง

“ถ้าหากพ่อของคุณทนต่อไปไม่ไหวล่ะ” โจวเจ๋อถาม

“จะเป็นไปได้ยังไง เขาเป็นพ่อของผม เขารู้ว่าผมก็ลงเงินเหมือนกัน วางใจได้ ผมจะคอยให้กำลังใจเขา ให้เขาอย่าเพิ่งตาย ถึงแม้ต้องตาย ก็ต้องถึงเวลาก่อนแล้วค่อยตาย”

ผู้ชายวัยกลางคนทำสีหน้าเหมือนกุมทุกอย่างไว้ในกำมือ เวลานี้ ราวกับว่าพ่อลูกสื่อใจถึงกันได้จริงๆ ความรักและผูกพันของพ่อลูกที่ลึกซึ้งลอยฟุ้งออกมา ทำให้คนอดไม่ได้ที่จะซาบซึ้งและตื้นตันใจไปด้วย

“คนเราจะตายเมื่อไร เป็นสิ่งที่ไม่แน่นอน” โจวเจ๋อเอ่ยเตือน “แม้แต่ยมทูต ก็ยังไม่รู้”

ยมทูตจะปลิดชีวิตของคนเป็นตามอำเภอใจไม่ได้ แน่นอน ใช่ว่าจะทำไม่ได้ แต่สิ่งที่ต้องแลกนั้นยิ่งใหญ่มาก หากไม่ระวัง ก็ไม่มีทางเอากลับคืนมาได้ตลอดไป

“เหอะๆ ถ้าเก่งจริงก็ให้ยมทูตมาเอาวิญญาณของพ่อผมไปตอนนี้เลย” ผู้ชายวัยกลางคนขากเสมหะอีกครั้ง จากนั้นจึงหยิบโทรศัพท์ออกมา

“พวกคุณโอนเงินมาให้ผมเลย พอโอนเงินแล้วผมจะให้พวกคุณดูใบรายการของผมทันที”

“ข้าโอนเงินให้เจ้าก็โง่แล้ว!” นักพรตเฒ่ากำหมัดทุบไปที่ศีรษะของอีกฝ่ายโดยตรง

‘ปั่ก!’

ผู้ชายวัยกลางคนโดนทุบจนมึนแล้วล้มลงไปกองกับพื้น เขายืนขึ้นมาอยากจะโต้กลับ แต่นักพรตเฒ่ากลับถลึงตาใส่เขา

เขากลัวแล้ว

คุณไม่สามารถคาดหวังกับผู้ชายคนหนึ่งที่เอาชีวิตของพ่อมาเดิมพันเพื่อความร่ำรวยได้จริงๆ ว่าจะมีความฮึกเหิมและความหยิ่งในศักดิ์ศรีมากแค่ไหน

“คุณคอยดูเถอะ คุณต่อยคนใช่ไหม ผมจะแจ้งความ!” ผู้ชายวัยกลางคนรีบคลำหาโทรศัพท์ของตัวเองที่เพิ่งจะร่วงลงพื้นทันที

“แจ้งความเลย พวกเราจะรอ” โจวเจ๋อกล่าว

ผู้ชายวัยกลางคนหนังตากระตุก เขาไม่กล้าแจ้งความ ไม่กล้าจริงๆ แล้วจึงเก็บโทรศัพท์ทันที เขากวาดตามองนักพรตเฒ่าอย่างแรง จากนั้นก็เดินเข้าไปในห้อง ปิดประตู แล้วล็อกกลอนจากด้านใน

นักพรตเฒ่าพ่นลมหายใจยาว หมุนตัวกลับมาด้วยความหดหู่ใจ ก่อนจะมองโจวเจ๋อพลางเอ่ยว่า

“เถ้าแก่ ขอโทษนะ ข้าวู่วามไปหน่อย”

“ไม่เป็นไร” โจวเจ๋อไม่ถือสา จากนั้นถามว่า “ทำไมจู่ๆ ถึงวู่วามขึ้นมา”

“ชาตินี้สิ่งที่ข้าเสียใจมากที่สุดก็คือ ก่อนที่พ่อจะตาย ข้าอยู่ข้างนอก ไม่ทันกลับมาดูหน้าเขาเป็นครั้งสุดท้าย คำพูดของไอ้หมอนี่ ทำให้ข้าเกลียดจริงๆ สมกับเป็นเดรัจฉานของแท้ จิตสำนึกถูกสุนัขกินไปหมดแล้วหรือไง ถึงเอาชีวิตพ่อของตัวเองมาหาเงินแบบนี้”

โจวเจ๋อเขี่ยบุหรี่ในมือแต่ไม่พูดอะไร

“เถ้าแก่ เจ้าไม่รู้สึกอะไรเลยเหรอ” นักพรตเฒ่าเม้มปากแล้วถาม “สัตว์เดรัจฉานแบบนี้ ใครเห็นแล้วสบายตาบ้าง”

“ผมเป็นลูกกำพร้า”

“…” นักพรตเฒ่า

โจวเจ๋อยิ้ม ก่อนจะพ่นควันบุหรี่ออกมาแล้วเอ่ยว่า “จริงๆ แล้ว เรื่องประเภทนี้ ผมเจอที่โรงพยาบาลมาเยอะ ตอนแรกผมก็ไม่ค่อยเข้าใจ ถึงขนาดโกรธมาก คนป่วยเรื้อรังไร้ลูกกตัญญู แน่นอนว่าลูกที่อกตัญญูมีอยู่ไม่น้อย แต่คนส่วนใหญ่แท้จริงแล้วก็อยากจะรักษาคนในครอบครัวของตัวเอง ถึงแม้ประกันสุขภาพของประเทศและประกันสังคมในชุมชนจะยกระดับแล้ว แต่เงื่อนไขการรักษาก็ปรับเปลี่ยนทุกปี และถ้าหากป่วยเป็นโรคที่รักษาไม่หายหรือโรคที่รุนแรง ก็เท่ากับโยนเงินใส่หลุมที่ไม่มีจุดสิ้นสุด”

โจวเจ๋อทิ้งบุหรี่ที่อยู่ในมือ แล้วทำท่า ‘บดขยี้’ ออกมา

“ชีวิตคนสำคัญมากกว่าเงิน” นักพรตเฒ่ายังคงยืนหยัดในความคิดของตัวเอง

“ชีวิตคนสำคัญกว่าเงินจริงๆ ‘ชีวิตไม่อาจประเมินค่า’ เป็นสิ่งที่ทุกคนได้ยินจนคุ้นชินแล้ว แต่มูลค่าของทุกสิ่ง อันที่จริงสามารถวัดได้ แต่ขึ้นอยู่กับมุมมองจากจุดยืนที่แตกต่างกัน อย่างเช่น เพื่อรักษาญาติผู้ใหญ่ที่ป่วยหนักของตัวเอง ต้องติดหนี้ยืมสิน จากครอบครัวธรรมดากลายเป็นครอบครัวที่ยากจนข้นแค้น แต่โรคของญาติผู้ใหญ่อาจจะยังรักษาไม่ทันหายดี ก็เสียชีวิตแล้ว จากนั้นชีวิตของครอบครัวนี้ การศึกษาและอนาคตของลูก ควรจะจัดการยังไง

ผมเคยเจอเรื่องแบบนี้ มีคนแก่คนหนึ่งแอบหนีออกมาจากโรงพยาบาล แต่ถูกพวกเราพบเข้า ลูกชายของเขาก็กตัญญูมาก ยอมทุ่มเงินรักษาเขา คุกเข่าขอร้องเขาให้กลับไปรับการรักษาที่โรงพยาบาลต่อ แต่เขาไม่อยากเป็นตัวถ่วงของลูกชายตัวเอง บอกว่าถ้าไม่ให้เขากลับไปตายที่บ้าน อย่างนั้นเขาก็จะวิ่งไปบนถนนให้รถชนตาย ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ไม่อยากทำให้ลูกชายลำบากต้องจ่ายเงินให้โรงพยาบาล”

นักพรตเฒ่าได้ฟังดังนั้นจึงเม้มปาก

“นี่คือความจนใจของชีวิต ความจนใจแบบนี้ ข้ามผ่านประวัติศาสตร์ ไม่ว่าจะประเทศจีนหรือต่างประเทศ ผู้คนมักจะต้องเผชิญหน้ากับสิ่งที่จำเป็นต้องเลือกอย่างช่วยไม่ได้ และการเลือกเหล่านี้ บางครั้งก็ช่างโหดเหี้ยมจริงๆ”

นักพรตเฒ่าหัวเราะอย่างขมขื่น “อย่างนั้นยังจะแจ้งความไหม”

“แจ้งสิ ทำไมจะไม่แจ้ง” โจวเจ๋อมองนักพรตเฒ่า “ชีวิตบางครั้งก็รู้สึกจนใจ แต่ชีวิตไม่ควรที่จะโดนดูหมิ่นแบบนี้ เมื่ออยู่ท่ามกลางความจนใจมันสามารถแห้งเหี่ยวโรยราได้ แต่ไม่สมควรถูกกวนอยู่ในถังบำบัดของเสียแบบนี้ เอาชีวิตคนมาเดิมพัน มองชีวิตคนอย่างเราๆ เป็นเหมือนการชนไก่ แข่งกัดจิ้งหรีด แข่งกัดสุนัข หาความสนุกความตื่นเต้นไปเรื่อยๆ คนพวกนี้สมควรลงนรก กลับไปผมจะเอาเงินกระดาษให้คุณเผาจำนวนหนึ่ง”

นักพรตเฒ่าได้ยินดังนั้น จึงถูมือไปมาแล้วทำเป็นเอ่ยอย่างกระบิดกระบวนว่า “เกรงใจจังเลย เถ้าแก่ ทำงานให้เจ้าเป็นสิ่งที่สมควรอยู่แล้ว เงินแค่หนึ่งเสนเอง ใช่ไหมล่ะ ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรเลย เห็นข้าเป็นคนขี้เหนียวขนาดนั้นเลยเหรอ”

ต่อจากนั้นนักพรตเฒ่าเหมือนจะกลัวโจวเจ๋อเปลี่ยนใจ จึงรีบพูดต่อทันที “เถ้าแก่ แต่ถ้าเจ้าอยากจะให้จริงๆ ข้าก็คงต้องรับไว้”

“คุณคิดมากไปแล้ว เผาเงินเพื่อสร้างบุญกุศลให้คุณเท่านั้น จากนั้นคุณก็ไปมอบตัวและเป็นพยานที่มีมลทินติดตัว เพราะคุณก็เข้าไปเล่นพนันด้วย แต่คาดว่าความดีความชั่วน่าจะหักล้างกันได้ บวกกับผลจากการเผาเงินกระดาษ ไม่น่าจะมีปัญหา”

“…” นักพรตเฒ่า

โจวเจ๋อถือไม้เท้าเดินไปข้างหน้า นักพรตเฒ่าได้แต่ก้มหน้าเดินตามหลัง พร้อมกับคิดในใจไม่หยุด

และในเวลานี้เอง จู่ๆ โจวเจ๋อก็หยุดเดินกะทันหัน

“เถ้าแก่ เหนื่อยเหรอ” นักพรตเฒ่าถาม

เถ้าแก่โหดเหี้ยมกับข้าสารพัด แต่ข้ากลับปฏิบัติต่อเถ้าแก่เหมือนรักแรก

กฎพื้นฐานสำหรับการรับใช้ผี นักพรตเฒ่ารู้ดี ไม่อย่างนั้นเขาอาจจะทำให้คุณกลายเป็นผีไปด้วย

“ผิดปกติเล็กน้อย ตอนนี้กี่โมงแล้ว” โจวเจ๋อถาม

“บ่ายสี่โมงครึ่ง” นักพรตเฒ่าดูโทรศัพท์หนึ่งที

“ท้องฟ้ามืดขนาดนี้ได้ยังไง” โจวเจ๋อชี้นิ้วไปเหนือศีรษะ

“ฝนจะตกหรือเปล่า” นักพรตเฒ่าเดา

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยมทูตพาร์ตไทม์แห่งร้านหนังสือยามวิกาล