ยมทูตพาร์ตไทม์แห่งร้านหนังสือยามวิกาล นิยาย บท 135

ตอนที่ 135 ผลการทำงานของเถ้าแก่โจว!

เมื่อดูแหวนอย่างละเอียดแล้วละก็ จะพบว่ามีรอยแตกลายงาอยู่เพียงน้อยนิด ให้ความรู้สึกน่าเสียดาย ทำให้ผู้คนอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเสียดายอย่างแรงกล้า

โจวเจ๋อไม่ได้รีบร้อนสวมแหวนบนนิ้วตัวเอง แต่กลับใส่มันไว้ในกระเป๋าแทน

แหวนวงนี้ไม่ธรรมดา หมู่บ้านซานเซียงสามารถคงอยู่มาได้ตั้งแปดสิบปีด้วยวีธีนี้ จะต้องมีบางอย่างเกี่ยวกับแหวนนี้แน่ๆ หากผลีผลามสวมบนนิ้วตัวเอง โจวเจ๋อก็กลัวจะเกิดสิ่งที่ไม่คาดคิดขึ้น

อีกทั้งตอนนี้ไม่ใช่เวลาศึกษาแหวน ยังมีเรื่องหนึ่งที่ยังทำไม่เสร็จ เป็นเนื้อแท้และสำคัญที่สุดในเรื่องนี้ด้วย

โจวเจ๋อเดินก้าวไปยังศาลบรรพบุรุษ และมองกลุ่มคนที่คึกคักครึกครื้นกันอยู่ตรงนั้น เขาสบตากับชายหนุ่มที่อยู่ตรงนั้นครู่หนึ่ง และชายหนุ่มก็พยักหน้าเล็กน้อย

เป็นสัญญาณลับที่ที่รู้กันของทั้งสองฝ่าย

ชายหนุ่มที่อายุยืนยาวถึงเก้าสิบเก้าปี ทั้งยังผ่านสงครามและเหตุการณ์วุ่นวายต่างๆ นานา ชีวิตแบบนี้มีหนึ่งในหมื่นคนเท่านั้น และประสบการณ์แห่งชีวิตแบบนี้ก็นำมาซึ่งสติปัญญาที่ยากจะลอกเลียนแบบและเหนือกว่าเขาได้

หลากหลายเรื่องไม่จำเป็นต้องพูดเยอะ แต่ต่างก็เข้าใจกันและกัน

โจวเจ๋อยกมือทั้งสองข้างวางไขว้กันและค่อยๆ กางออก จากนั้นประตูแห่งนรกภูมิก็ถูกเปิดออกอย่างช้าๆ

นี่เป็นจุดจบ

นี่เป็นสถานที่พักพิงแห่งสุดท้ายของคนตาย มันเป็นเพียงหนทางเดียวสำหรับเหล่าสรรพสัตว์ทั้งหลาย!

“เหล่าพวกพ้อง ไปกันเถอะ!”

ชายหนุ่มนำชาวบ้านเดินมาหาโจวเจ๋อ

แปดสิบปีของมรสุมอันโชกโชน มีทั้งความทุกข์และความทรมาน

ในเวลานี้ ชายหนุ่มรู้สึกว่าถึงเวลาที่ตัวเองต้องไปสู่สัมปรายภพแล้ว และก็พาพวกชาวบ้านไปสู่สัมปรายภพพร้อมกัน

สำหรับตอนจบแบบนี้ ชายหนุ่มพึงพอใจมาก นี่คือจุดจบที่เขารอคอย และก็เป็นจุดจบที่เขาใฝ่หามาโดยตลอด

ในอดีตชาวบ้านต้องมาเหนื่อยยากและตายเพราะเขา หลังจากที่เขาทราบข่าว เขาก็คุกเข่าอยู่หน้าต้นฉัตรจีนเก่าแก่ตรงทางเข้ากองทัพทั้งคืน

ผ่านไปเจ็ดปี เขาสู้รบสุดชีวิตนองเลือดครั้งแล้วครั้งเล่า คิดที่จะทิ้งชีวิตของตัวเองในสนามรบที่รบกับพวกปีศาจ เพื่อแลกกับการชำระล้างความละอายใจที่มีต่อพวกชาวบ้าน!

แต่ในสนามรบนั้น ยิ่งไม่กลัวตาย กลับยิ่งไม่ตาย เขารอดชีวิตจากการสู้รบครั้งแล้วครั้งเล่า แล้วเขาก็ได้รับการเลื่อนยศเลื่อนตำแหน่งอีกต่างหาก

รอจนปีศาจยอมจำนน เขาก็เบื่อหน่ายเหลือทนแล้ว รู้สึกว่าภารกิจของตัวเองเสร็จสิ้นสมบูรณ์แล้ว และมันควรจะจบลงได้แล้ว ด้วยเหตุนี้เขาเลยเกลียดสงครามกลางเมือง ในความคิดของเขา การก่อสงครามกลางเมืองเป็นการดูหมิ่นต่อชาวบ้านในหมู่บ้านซานเซียงและวีรบุรุษที่เสียชีวิตในสงครามต่อต้านการรุกรานของญี่ปุ่นเหล่านั้นอย่างสิ้นเชิง!

รบจนปีศาจพ่ายแพ้ไปแล้ว และสงครามโลกครั้งที่สองก็สิ้นสุดลงแล้ว แต่ในดินแดนทางตะวันออกของจีนในขณะนั้น ยังมีสงครามใหญ่ระดับล้านคนที่รบกันอลหม่านอยู่เลย

ดังนั้นเขาจึงปฏิวัติ

เขาหวังว่าความยุ่งเหยิงฉากนี้จะจบลงโดยเร็วที่สุด

ตั้งแต่วัยเยาว์จนถึงวัยชรา ชีวิตได้ผ่านจุดเปลี่ยนมาหนแล้วหนเล่า แต่จวบจนวันนี้และจนถึงวินาทีนี้ ชายหนุ่มถึงรู้สึกว่าชีวิตของตัวเองสมบูรณ์พร้อมแล้ว

ครึ่งหนึ่งของวงกลมจุดจบประโยคที่ขาดหายไป ในที่สุดก็เติมเต็มแล้ว

ชายหนุ่มเดินเข้าไปที่ประตูแห่งนรกภูมิก่อน แล้วชาวบ้านข้างหลังก็เดินตามเข้ามาทีละคน

ไม่มีใครต่อต้าน ไม่มีใครร้องไห้ตีโพยตีพาย

ทุกคนต่างมีรอยยิ้มบนใบหน้า ในส่วนลึกของรอยยิ้มยังมีความโล่งใจอยู่ด้วย

เหนื่อยแล้ว ทุกคนต่างก็เหน็ดเหนื่อย

มีบางอย่างที่เป็นของปลอม แต่คนที่อาศัยอยู่ในของปลอมนั้นจะเป็นไปได้อย่างไรที่ไม่เอะใจเลย

นี่เป็นความฝัน ความฝันที่ทุกคนล้วนแล้วแต่ยึดมั่น

ตอนนี้ตื่นจากความฝันแล้ว แต่ตอนจบนั้นช่างสวยงาม

ด้วยเหตุนี้จึงไม่มีความไม่เต็มใจและไม่มีการร้องทุกข์เป็นธรรมดา

มีเพียงความอิสระและความใจกว้างไม่เห็นแก่ตัว

สวี่ชิงหล่างยืนนับจำนวนคนอยู่ด้านข้างอย่างเงียบๆ

คนสุดท้ายคือสาวน้อยที่ถือน้ำตาลปั้นรูปคนคนนั้น เด็กสาวมองโจวเจ๋อ ยิ้มจนตาหยีเป็นครึ่งพระจันทน์เสี้ยวน่ารัก จากนั้นก็กระโดดเข้าไปในประตูแห่งนรกภูมิ

โจวเจ๋อปล่อยมือ ประตูแห่งนรกภูมิก็อันตรธานหายไป

“ไปสู่สุขคตินะ”

โจวเจ๋อพูดอย่างช้าๆ

สวี่ชิงหล่างก้มหน้าลงเล็กน้อยและโค้งคำนับ

“ไปสู่สุขคตินะครับ”

บอกตามตรง การคงสภาพประตูแห่งนรกภูมิไว้ก็เป็นสิ่งที่เหนื่อยมากเช่นกัน แถมยังต้องรักษาสภาพไว้เป็นเวลานานขนาดนี้ด้วย

แต่เถ้าแก่โจวก็ไม่เคยมีความสุขขนาดนี้มาก่อน เอาเถอะ การที่จะพูดเรื่องผลงานต่อหน้าพวกชาวบ้านนั้นเป็นเรื่องไม่สมควรอย่างยิ่ง โดยเฉพาะภายใต้บรรยากาศแบบนี้

ควรจะร้องไห้ ทำให้ฉันร้องไห้หนักมาก!

แต่ความรู้สึกดีที่ผลงานประดังเข้าบัญชีไม่หยุด ยังคงกระตุกอยู่ในโสตประสาทของเถ้าแก่โจวอยู่เรื่อยๆ

พยายามแล้ว

พยายามมากแล้ว

แต่ร้องไห้ไม่ออก

มันร้องไห้ไม่ออกจริงๆ นะ

ฝืนไม่ยิ้มออกมาได้ก็นับว่าลำบากแล้ว

สวี่ชิงหล่างมองด้วยความระอาเล็กน้อยอยู่ด้านข้าง “ถ้าคุณอยากจะยิ้มก็ยิ้มเถอะ มันเป็นปัญหาอยู่แล้ว ถ้ายังฝืนอีกปัญหาก็จะใหญ่กว่านี้”

โจวเจ๋อหันหน้าไปมองสวี่ชิงหล่างและพูดขึ้น “สร้างสุสานให้พวกเขาหน่อยสิ ทำพวกอนุสาวรีย์อะไรทำนองนั้นก็ได้”

“ผมไม่ติดอะไร คุณตัดสินใจมาได้เลย”

“แต่ฉันไม่มีเงินน่ะสิ ฉันยังติดเงินนายกับเงินไป๋อิงอิงอยู่เลย”

“…” สวี่ชิงหล่าง

ทันใดนั้นในใจสวี่ชิงหล่างก็มีลางสังหรณ์ไม่เป็นมงคลอย่างหนึ่ง

ไม่ได้

ทำไม่ได้

ปฏิเสธไปซะ!

“ในฐานะคนที่มีห้องชุดมากกว่ายี่สิบห้อง ขายออกไปสักหนึ่งห้องและสร้างอนุสาวรีย์สักแห่ง ก็น่าจะได้ใช่ไหมล่ะ” โจวเจ๋อถาม

“…” สวี่ชิงหล่าง

“นายลองคิดดูนะ หากไม่มีความทุ่มเทและการเสียสละของพวกเขาเหล่านี้เมื่อแปดสิบปีก่อน นายก็ไม่สามารถใช้ชีวิตในโลกที่สงบสุขและเจริญรุ่งเรืองได้ และราคาที่อยู่อาศัยก็จะไม่สูงถึงขนาดนี้หรอก ใช่ไหมล่ะ”

“…” สวี่ชิงหล่าง

“ดังนั้น นายเต็มใจสินะ”

“ทำไมถึงรู้สึกว่าคุณกำลังเอาศีลธรรมมาเรียกค่าไถ่กับผมกันนะ” สวี่ชิงหล่างพูดอย่างไม่พอใจ

“มันขึ้นอยู่กับอารมณ์ของนายแล้ว อันที่จริงกระดาษเงินอะไรพวกนี้เป็นสิ่งที่มองเห็นได้ แต่ก็มีบางสิ่งที่มองไม่เห็นเหมือนกัน” โจวเจ๋อเอื้อมมือออกไปตบไหล่ของสวี่ชิงหล่าง

“เรื่องนี้น่ะ กลับไปแล้วค่อยว่ากัน”

โจวเจ๋อไม่ได้คุยเรื่องนี้ต่อ แต่หยิบสมุดที่เป็นหนังสือรับรองของตัวเองออกมาโดยไม่รู้ตัว

ชาวบ้านมากมาย ผลการทำงานก็น่าจะเพียงพอแล้วใช่ไหม

น่าจะสามารถแกะป้าย ‘ชั่วคราว’ ของตัวเองอันนี้ออกและเปลี่ยนเป็นพนักงานประจำได้แล้วใช่ไหม

อย่างไรก็ตาม เมื่อเปิดเล่มหนังสือรับรองดู โจวเจ๋อก็ตกตะลึง

ผลการทำงาน 99%

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยมทูตพาร์ตไทม์แห่งร้านหนังสือยามวิกาล