ตอนที่ 134 ร่วงหล่น!
“เถ้าแก่ ไม่เป็นไรใช่ไหม”
นักพรตเฒ่านั่งอยู่ด้านหลัง เอ่ยพลางชี้ไปยังชายชราที่นอนอยู่บนตักอย่างสั่นเทา
ชายชรายังอยู่ในสภาวะกึ่งหลับกึ่งตื่น สามารถลืมตาได้บ้างแล้ว ทว่าลืมตาเพียงครู่หนึ่งก็หลับตาลงและพูดขาดๆหายๆ เป็นช่วงๆ
เขาฟื้นแล้ว ฟื้นจริงๆ แล้ว แต่การฟื้นคืนสติในครั้งนี้ อันที่จริงหากพูดกันตามความหมายอย่างเคร่งครัด น่าจะนับว่าเป็นการกลับมาดูสดใสขึ้นก่อนที่จะเสียชีวิต หรือที่เรียกว่าแสงสายัณห์ยามตะวันรอนนั่นเอง
เขาฟื้นแล้ว และก็ใกล้จะจากไปแล้ว
เขายังมีชีวิตอยู่และประคองลมหายใจมาโดยตลอด
ก่อนหน้านี้โจวเจ๋อคิดว่าอาจเป็นเพราะความเด็ดเดี่ยวและความดื้อรั้นของเขา หรือไม่ก็การรักษาทางการแพทย์นั้นค่อนข้างดีบวกกับสวรรค์เมตตา แต่ตอนนี้มาคิดดูแล้ว บางทีเขาอาจมีเรื่องที่ทำใจปล่อยวางไม่ได้ และเรื่องนี้ก็ทำให้เขาไม่ยินยอมที่จะจากไปอย่างสงบ
สวี่ชิงหล่างกำลังขับรถอยู่ เขาขับเร็วมากขณะเดียวกันก็นิ่งมากเช่นกัน จำเป็นจะต้องขับให้นิ่ง เพราะบางทีการเบรกกะทันหันหรือการตีโค้งวงใหญ่อาจทำให้ชายชราที่อยู่ข้างหลังสูดหายใจเฮือกแล้วจากไปดื้อๆ
การลักพาตัวผู้ป่วยคนหนึ่งจากสถานพักฟื้นผู้ป่วย อีกทั้งยังเป็นผู้ป่วยที่อยู่ในอาการโคม่ามาเป็นเวลานาน นี่เป็นเรื่องที่บ้าบอมาก แต่ถึงอย่างนั้นโจวเจ๋อก็จะไม่เสียใจภายหลัง และไม่มีภาระทางจิตใจเลยแม้แต่น้อย
แม้ว่าชายชราจะไม่ได้พูดอย่างชัดเจน แต่ท่าทีของเขาได้แสดงออกมาหมดแล้ว
หมู่บ้านซานเซียงอยู่ในก้นบึ้งหัวใจของเขาเสมอมา ไม่เคยถูกลบเลือนไปเลย
อันที่จริงมนุษย์เป็นสัตว์ที่ขี้หลงขี้ลืม ทุกคนมักจะปิดบังสิ่งที่ตัวเองไม่ต้องการเห็น และลบความทรงจำที่ทำให้ตัวเองเจ็บปวดโดยไม่รู้ตัว
หลายคนไม่ตื่นตระหนกและไม่แยแสต่อการทยอยล้มหายตายจากของคนชราที่เคยเป็นนางบำเรอในสมัยนั้น หารู้ไม่ว่าการจากไปคนแล้วคนเล่าของพวกเธอ เท่ากับว่าประวัติศาสตร์ของช่วงเวลานั้นค่อยๆ ห่อหุ้มพวกเราไว้
หากแต่บางเรื่องราวก็ลืมไม่ได้จริงๆ
เมื่อมาถึงถนนในตำบลซิ่งเหริน สวี่ชิงหล่างก็ลงจากรถ จากนั้นก็ช่วยนักพรตเฒ่าอุ้มชายชราออกไปด้วยกัน
“พี่ชาย คุณอดกลั้นอีกอึดใจเดียวนะ ใกล้ถึงแล้ว ใกล้จะถึงแล้ว”
นักพรตเฒ่าให้กำลังใจพี่ชายวัยเก้าสิบเก้าปี
สวี่ชิงหล่างรู้สึกถึงมือของชายชราที่ออกแรงเล็กน้อยบนไหล่ของตัวเอง
ดวงตาที่ลืมได้เพียงครึ่งเดียวของชายชรามองไปที่โจวเจ๋อ ดวงตาของเขาขุ่นมัวมาก ราวกับถูกผ้าพันแผลคลุมหนึ่งชั้น ร่างกายของเขาอ่อนระโหยโรยแรงสุดจะทนแล้ว เขากำลังจะได้พักผ่อนแล้ว และเขาก็ต้องการพักผ่อนเช่นกัน
“พวกชาวบ้านอยู่ที่นี่กันหมด” โจวเจ๋อพูดอย่างจริงจัง “ผมไม่รู้ว่าพวกเขากำลังรออะไร แต่ในเมื่อคุณฟื้นขึ้นมาเพราะคุณได้ยินผมพูดคำว่า ‘หมู่บ้านซานเซียง’ แสดงว่าผมไม่ได้ตามหาผิดคน และคุณก็เป็นห่วงเป็นใยพวกเขาด้วย”
พูดแล้ว โจวเจ๋อก็ยื่นมือออกไปจัดแจงเส้นผมที่เดิมทีเหลืออยู่น้อยนิดของชายชรา จากนั้นช่วยติดกระดุมเสื้อผ้าผู้ป่วยให้ชายชรา
ชายชราได้กลับคืนสู่แสงสว่างแล้ว
จะบุญหรือบาปนั้น คนรุ่นหลังจะกล่าวขานถึงเอง
ความสับสนวุ่นวายในปีนั้น ยากที่คนรุ่นใหม่จะเข้ามาแทนที่และประเมินค่าได้
แต่อย่างน้อยๆ ก็มีสิ่งหนึ่งที่สามารถพิสูจน์ได้ ในปีนั้นตอนที่ชายชราเป็นทหารในกองทหารรักษาการณ์ทงเฉิง เขาไม่ได้หนีทหารหรือเป็นคนทรยศ เมื่อกองพลทหารญี่ปุ่นยกพลขึ้นบกบริเวณท่าเรือใกล้ๆ ทงเฉิง แต่กลับไม่มีกองทัพประจำการของประเทศจีนในทงเฉิงเลย
ได้แต่พึ่งพากำลังของกองกำลังรักษาการณ์ติดอาวุธท้องถิ่นและกลุ่มต่อต้านที่เกิดขึ้นเองของของประชาชนเท่านั้น แต่ก็ทำให้กองทัพญี่ปุ่นต้องสูญเสียเป็นจำนวนไม่น้อยทีเดียว กระทั่งกองกำลังรักษาการณ์ติดอาวุธท้องถิ่นยังมีการวางแผนบุกโต้กลับทางฝั่งประตูเมืองทงเฉิงมากกว่าหนึ่งครั้งด้วย
เมื่อกองทัพใหญ่รวมไปถึงและจุดศูนย์ถ่วงใหญ่เคลื่อนพลไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้
ในพื้นที่ที่ถูกคนญี่ปุ่นยึดครองอย่างโดดเดี่ยวไร้ซึ่งความช่วยเหลือแห่งนี้ ยังคงมีผู้คนต่อต้าน และกระสุนปืนยังคงดังกึกก้องไปทั่ว
ชายชรายังคงมองไปที่โจวเจ๋อ มองไปเรื่อยๆ แล้วเขาก็เริ่มไอ ฟันของเขาแทบจะหมดปากอยู่แล้ว เมื่อไอเลยเห็นเด่นชัดว่าไม่มีแรง แต่เขากำลังยิ้ม
จากนั้น เขาเอื้อมมือออกไปอย่างยากลำบาก ราวกับว่าอยากจะยื่นไปให้ถึงโจวเจ๋อ
นักพรตเฒ่าเฝ้ามองด้วยความกังวลใจอยู่ครู่หนึ่งแล้วคิดในใจว่า ‘พี่ชาย คุณใจเย็นๆ หน่อยก็ดีนะ ยังไม่ทันจะเข้าไปก็อย่าเพิ่งทำตัวเองร่วงกลิ้งออกไปข้างนอกเสียก่อนล่ะ’
โจวเจ๋อยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นไม่ขยับเขยื้อน ให้มือผอมแห้งของชายชราจับเสื้อตรงหน้าอกของเขาเบาๆ
ชายชราฝืนจับเอาไว้
จากนั้น โจวเจ๋อรู้สึกว่าหน้าอกของตัวเองถูกกดเบาๆ สองครั้ง
ตรงนั้นเป็นตำแหน่งของหัวใจ
หลังจากที่ชายชรากระทำเสร็จแล้ว ก็ทิ้งตัวลง ราวกับพลังทั้งหมดถูกดึงออกมาจนเกลี้ยง การหายใจก็เริ่มติดขัด
“เข้าไปกันเถอะ ทำเวลาหน่อย”
หลังจากพูดจบ โจวเจ๋อก็เริ่มวนไปรอบๆ ตำแหน่งนี้ แล้วรีบพุ่งไปบนถนน หลังจากนั้นก็หายตัววับไปทันที
สวี่ชิงหล่างหยิบกระดาษยันต์ขึ้นมาแล้วติดไว้บนหน้าผากของตัวเอง เพียงชั่วขณะ ระหว่างหัวคิ้วเริ่มเปลี่ยนเป็นสีดำ จากนั้นก็เลียนแบบเป๊ะๆ เดินวนเป็นวงกลมตรงตำแหน่งนั้นและพุ่งเข้าไป
ในตอนท้ายนักพรตเฒ่าก็หมุนวนสองสามครั้งแล้วรีบพุ่งไปข้างหน้าเช่นกัน
หึ
เข้าไม่ได้
หึๆๆ
นักพรตเฒ่าหัวเราะจนทั้งหน้าย่นเป็นจีบรูปดอกเบญจมาศ จิตใจเบิกบานเป็นอย่างยิ่งจริงๆ
เจ้าลิงน้อยมองดูหน้าซื่อบื้อของนักพรตเฒ่าอยู่ข้างๆ แล้วหันข้างเล็กน้อย แสดงท่าทีว่ามันไม่รู้จักกันกับตาเฒ่าคนนี้
เมื่อเข้าสู่หมู่บ้านซานเซียงอีกครั้ง โจวเจ๋อเงยหน้าขึ้นและพบว่าดวงจันทร์บนท้องฟ้าแทบจะกลายเป็นเลือด ครึ่งวันก่อนหน้านี้ที่ตัวเองเข้ามายังไม่เป็นอย่างนี้
ดูแล้วแบบนี้น่าจะเป็นเพราะการสังหารหมู่ในศาลบรรพบุรุษของตัวเขาเองได้ไปกระตุ้นอะไรเข้า ทำให้บางสิ่งบางอย่างทวีความรุนแรงและรีบเร่งมากขึ้นโดยปริยาย
ดังนั้น ถ้าหากชายชราที่อยู่บนหลังของสวี่ชิงหล่างไม่สามารถแก้ไขและทำลายสถานการณ์ที่นี่ได้ละก็ อย่างนั้นในฐานะที่โจวเจ๋อเป็นยมทูต คาดว่าจะต้องเรียกสาวน้อยโลลิมาเพื่อป้องกันทางออกด้วยกันเสียแล้ว
ถึงตอนนั้นจะป้องกันทางออกไม่ให้ผีร้ายหลุดออกไปในโลกมนุษย์ได้สำเร็จหรือไม่นั้น คงพูดยาก
สวี่ชิงหล่างก็เข้ามาพร้อมกับชายชราบนหลังแล้ว ทันทีที่เข้ามา สวี่ชิงหล่างรู้สึกว่าคนที่ตัวเองแบกอยู่บนหลังนิ่งไป สวี่ชิงหล่างเบิกตากว้างขึ้นทันที และรู้สึกไม่อยากเชื่อ
ไม่หรอกมั้ง
ตายแล้วเหรอ
คุณทวด อย่าทำให้ตกใจสิ คุณยังอยู่ไม่ถึงหนึ่งร้อยปีเลยนะ
สวี่ชิงหล่างร้อนรนกระวนกระวายใจนึกอยากจะหันไปมองสภาพของชายชราที่อยู่บนหลังตัวเอง แต่ทันใดนั้นเขาก็เห็นโจวเจ๋อมองข้างหลังตัวเองอย่างสงบนิ่ง
“วางลงเถอะ” โจวเจ๋อเอ่ย
สวี่ชิงหล่างวางร่างไร้วิญญาณของชายชราที่อยู่บนหลังของตัวเองลงอย่างช้าๆ เมื่อหันกลับมา เขามองเห็นชายหนุ่มคนหนึ่งยืนอยู่ด้านหลังตัวเอง
ชายหนุ่มสวมเครื่องแบบทหารสีดำ พร้อมกับสวมหมวกและสะพายปืนไรเฟิลไว้ด้านหลัง
เป็นเครื่องแบบของกองทหารรักษาการณ์ดั้งเดิม แม้แต่บางจุดยังมีร่องรอยการเย็บปะ ออกจะดูเก่าๆ โทรมๆ ไปสักหน่อย เครื่องแต่งกายนี้พบเห็นได้ทั่วไปในภาพยนตร์ต่อต้านกองกำลังทหารญี่ปุ่นยอดนิยมเมื่อไม่นานมานี้
เขาเสียชีวิตแล้ว
นี่เป็นวิญญาณของเขาหรือ
ชายชรา ไม่สิ ชายหนุ่มมองไปที่โจวเจ๋อและสวี่ชิงหล่าง พยักหน้าเล็กน้อย หลับตาลง และสูดหายใจเข้าลึกๆ ราวกับกำลังรำลึกความทรงจำ และราวกับกำลังรำลึกถึงอดีต
หยดน้ำตาสองสายไหลพรากลงมาจากหางตาของเขา
เขาเสียชีวิตแล้ว
แต่ที่น้ำตาไหลไม่ใช่เพราะว่าเขาเสียชีวิต
อันที่จริงสำหรับเขาแล้วความตายเป็นการปลดแอกอย่างหนึ่งเสียมากกว่า เขานอนอยู่บนเตียงอยู่นานโข ก่อนที่เขาเองจะตกอยู่ในอาการโคม่าอย่างไม่รู้ตัว จริงๆ แล้วเขาก็ฝืนประคับประคองอยู่นานทีเดียว
เขาไม่รู้ว่าตัวเองพยายามฝืนมันไปทำไม สหายร่วมรบที่ออกมาจากกองไฟแห่งสงครามด้วยกันในอดีตก็ได้จากไปทีละคน จนสุดท้ายเหลือเขาไว้คนเดียวอย่างเดียวดาย
เขาอายุเกือบหนึ่งร้อยปีแล้ว แต่เขาไม่ได้อยู่เพื่ออายุถึงหนึ่งร้อยปี เขายังมีคนที่ยังจำได้ เขายังมีคำมั่นสัญญาที่เขาคิดถึง และยังมี…หนี้บุญคุณที่เขาติดค้าง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยมทูตพาร์ตไทม์แห่งร้านหนังสือยามวิกาล