ยมทูตพาร์ตไทม์แห่งร้านหนังสือยามวิกาล นิยาย บท 133

ตอนที่ 133 เปิดเผยความลับ

นี่เป็นเหตุการณ์ที่ชุลมุนวุ่นวายมาก ทำให้โจวเจ๋อรู้สึกหมดหนทางจะรับมือ ชาวบ้านเมินเสบียงอาหาร แต่กลับพุ่งเข้ามารุมโจวเจ๋ออีกครั้ง

เล็บของโจวเจ๋อฉีกทึ้งชาวบ้านตรงหน้าเขาครั้งแล้วครั้งเล่า แต่อีกไม่นานพวกเขากลับรวมตัวกรูเข้ามาใหม่อีกครั้ง นี่เป็นการเข่นฆ่าที่ไม่มีวันสิ้นสุด เป็นยุทธการมดกัดช้างก็ว่าได้

มันจะต้องมีอะไรสักอย่างควบคุมที่นี่อยู่แน่ๆ ทำให้ที่นี่กลายเป็นการมีอยู่ของวัฏจักรต้องมนตร์ที่ตายแล้วเกิดใหม่วนลูปซ้ำๆ อย่างต่อเนื่อง อันที่จริงแล้วผีร้ายเหล่านี้ดูไม่แข็งแกร่งเท่าผีร้ายจริงๆ เอาเสียเลย แต่สิ่งที่วิปริตที่สุดของพวกเขาคือ หลังจากตายไปแล้วยังสามารถก่อตัวกลับมาใหม่ได้อีกนี่สิ

เจ้าลิงน้อยคว้าไหล่ของโจวเจ๋อเอาไว้ และมองโจวเจ๋อที่เข่นฆ่ามาตลอดทาง มันอยากจะช่วยแต่กลับช่วยอะไรไม่ได้ หากเป็นมันเมื่อในอดีตร่วมมือกับโจวเจ๋อแล้วละก็ ปีศาจหนึ่งตัวและยมทูตหนึ่งตนสามารถฝ่าออกไปได้แน่ แต่ในตอนนี้มันเอาแต่ตัวสั่นระริก แถมต้องอธิษฐานขอให้โจวเจ๋อยังไม่หมดแรงในเร็วๆ นี้อีกด้วย

มันรู้ดีว่าถ้าโจวเจ๋อพลาดท่า มันจะต้องจบเห่อย่างแน่นอน

ชาติที่แล้วถูกคนกินไปแล้ว ชาตินี้ยังจะต้องถูกผีกินอีกครั้งหรือนี่

มันไม่ต้องการแกรนด์สแลม[1]แบบนี้หรอกนะ

ดูเหมือนชาวบ้านเหล่านี้กำลังวางแผนที่จะล้อมปิดทางออกจากศาลบรรพบุรุษของโจวเจ๋อ แต่ละคนพุ่งไปข้างหน้าอย่างไม่กลัวตาย เพียงแค่เพื่อจะสกัดโจวเจ๋อเอาไว้ไม่กี่วินาทีเท่านั้น และพวกเขาก็ทำสำเร็จจริงๆ เสียด้วย โจวเจ๋ออยู่ไม่ไกลจากทางเข้าศาลบรรพบุรุษ ขอเพียงแค่วิ่งออกไปได้ก็จะหาทางหนีทีไล่ได้ง่ายขึ้น แต่ตอนนี้ตัวเขาถูกขวางไว้ ได้แต่ติดอยู่ในพื้นที่แคบๆ เท่านั้น มันอึดอัดมาก

“เจี๊ยกๆๆ!!!!”

หางของเจ้าลิงน้อยถูกชาวบ้านคนหนึ่งคว้าเอาไว้ เจ้าลิงน้อยส่งเสียงร้องน่าสงสารออกมา มันรู้สึกว่าตัวเองกำลังจะถูกกิน

โจวเจ๋อหันกลับมาทันที เล็บที่มีมวลหมอกสีดำฉีกชาวบ้านคนนั้นเป็นชิ้นๆ และคว้าเจ้าลิงน้อยกลับมาอีกครั้ง เพียงแต่เมื่อทำเช่นนี้ โจวเจ๋อก็ออกห่างจากประตูไปไกลขึ้น

พวกชาวบ้านต่างฮึดสู้ขึ้นมา และคอยกดดันเข้าไปข้างในเรื่อยๆ ทำให้การตีฝ่าออกไปทุกครั้งของโจวเจ๋อล้วนไร้ประโยชน์ ในตอนนี้โจวเจ๋อถูกกดดันเข้าไปอยู่ตรงโต๊ะเซ่นไหว้ที่วางป้ายวิญญาณไว้ ซึ่งเป็นส่วนที่ลึกที่สุดของศาลบรรพบุรุษ

‘แฮ่ก…แฮ่ก…แฮ่ก…’

โจวเจ๋อหอบหายใจหลายครั้ง เริ่มเหนื่อยขึ้นมาบ้างแล้วจริงๆ แต่ชาวบ้านเหล่านี้กลับไม่ให้โอกาสเขาได้ผ่อนคลายเลยสักนิด

‘เคร้ง’

เสียงดังฟังชัด

โจวเจ๋อกวาดป้ายบนโต๊ะเซ่นไหว้ทั้งหมดกระเด็นออกไปทันที เขาหวังว่าพวกชาวบ้านจะปกป้องป้ายบรรพบุรุษของตัวเอง เพื่อให้เขามีเวลาพักบ้าง

แต่น่าเสียดายที่ชาวบ้านไม่รู้สึกรู้สาอะไรกับป้ายบรรพบุรุษเลยแม้แต่น้อย และแม้ว่าป้ายบรรพบุรุษจะตกลงบนพื้นพวกเขาก็เฉยเมย แถมยังพุ่งเข้าหาโจวเจ๋อต่อไปเรื่อยๆ

เป็นครั้งแรกที่โจวเจ๋อรู้สึกว่าตัวเองน้อยใจ

อย่างแรก เขาอยากมาช่วยเหลือคนอื่นจริงๆ จนมโนธรรมของเขาเจ็บปวดไปหมดแล้ว!

‘พวกแกบอกว่าพวกแกหิว ฉันดูออก แต่ข้าวอยู่ตรงหน้าแท้ๆ พวกแกกลับไม่กิน อยากกินฉันแทนงั้นเหรอ มันไม่สมเหตุสมผลเอาเสียเลย! พวกแกไม่มีเหตุผล ถ้าอย่างนั้นก็อย่าโทษที่ฉันไร้เหตุผลก็แล้วกัน!’

ความโกรธจากก้นบึ้งหัวใจของโจวเจ๋อถูกกระตุ้นขึ้นมา ความเมตตาและความเห็นอกเห็นใจของมนุษย์มีขีดจำกัด

โจวเจ๋อรีบพุ่งเข้าไป คราวนี้เขาไม่คิดที่จะวิ่งหนีอีกแล้ว แต่จับเอาดวงวิญญาณมาฆ่า ในขณะเดียวกันก็ระเบิดความหงุดหงิดและความโกรธที่ยังคงสะสมเอาไว้ไม่หยุด และผิวของโจวเจ๋อก็เริ่มเป็นสีทองแดงอย่างช้าๆ

เห็นได้ชัดว่าการเข้าโจมตีด้วยอารมณ์โกรธผสมโรงกับความอ่อนล้า เริ่มปลุกอีกด้านหนึ่งของโจวเจ๋อขึ้นมาอย่างช้าๆ

‘ตู้ม!’

วิญญาณสองดวงถูกโจวเจ๋อจับเอาไว้ทั้งสองมือ แล้วเหวี่ยงลงกับพื้นอย่างรุนแรงทันที

‘ตู้ม!’

ดวงวิญญาณระเบิดแตกกระจุย ไม่รู้ว่าจะวิ่งไปก่อตัวขึ้นมาใหม่แล้วพุ่งเข้ามาอีกครั้งตอนไหน ในขณะเดียวกันพื้นก็ถูกทุบเป็นหลุมอีกครั้ง และข้าวขาวก็เริ่มสาดกระเซ็นกระจายไปทั่วทุกที่

ทันใดนั้น หลังจากที่โจวเจ๋อลุกขึ้นยืนก็รู้สึกงุนงงเล็กน้อย เพราะชาวบ้านแต่ละคนที่ร้องหิวๆ และพากันกระโจนเข้าใส่ตัวเขาราวกับบ้าคลั่งก่อนหน้านี้จู่ๆ ก็พากันนั่งยองๆ ลงไปหมดเลย และเริ่มหยิบเมล็ดข้าวบนพื้นขึ้นมา แม้แต่เมล็ดข้าวที่อยู่ระหว่างรอยแตกร้าวก็ไม่ปล่อยให้หลุดรอดไป

จากนั้นโจวเจ๋อผู้เป็นที่รักบนเวทีที่รวบรวมแสงสปอตไลต์เอาไว้ก่อนหน้านี้ ก็ไม่มีใครสนใจอีกเลย

มันเป็นความแตกต่างอย่างใหญ่หลวง

มันทำให้โจวเจ๋อรู้สึกไปไม่เป็น พูดได้เพียงว่าชาวบ้านเหล่านี้ดูเหมือนจะบ้ากันไปแล้ว หิวโหยกันขนาดนี้ยังรักษาเสบียงอาหารเอาไว้มากมายในศาลบรรพบุรษโดยไม่แตะต้องมันเลย

แต่ละคนต่างก็ขี้เหนียวกันหมดเลยอย่างนั้นหรือ

โชคดีที่โจวเจ๋อรู้ว่านี่ไม่ใช่เวลามาจริงจัง เขารีบพาเจ้าลิงน้อยออกจากศาลบรรพบุรุษทันที คราวนี้ไม่มีใครขวางเขาเอาไว้ หลังจากวิ่งไปถึงคันนาอีกครั้ง ร่างของโจวเจ๋อที่ก่อนหน้านี้เป็นสีทองแดงเริ่มจางลงอย่างช้าๆ

โจวเจ๋อถอนหายใจด้วยความโล่งอก สภาวะเช่นนั้นถ้าเป็นไปได้ก็อย่าเข้าไปเลย กุญแจสำคัญคือหลังจากสิ้นสุดสภาวะนั้นแล้ว ไม่เพียงแต่จิตวิญญาณจะทุกข์ทรมานเท่านั้น ยังทำให้ร่างกายเป็นอัมพาตใช้ชีวิตด้วยความไม่สะดวกเป็นระยะเวลานาน ยิ่งทำให้โจวเจ๋อต่อต้านขึ้นไปอีกด้วยซ้ำ

โจวเจ๋อคว้าเจ้าลิงที่อกสั่นขวัญแขวนออกจากไหล่ของตัวเอง แล้วโยนมันลงบนพื้น

“หาทางออกไป”

โจวเจ๋อไม่อยากชักช้าอยู่ที่นี่จนชาวบ้านเก็บเมล็ดข้าวเสร็จแล้ววิ่งกรูเข้ามาล้อมตัวเองเอาไว้อีก

เจ้าลิงน้อยไม่ทำให้โจวเจ๋อผิดหวัง หลังจากวิ่งไประยะหนึ่งและวนอยู่สองสามรอบก็กระโจนเข้าไปในกองฟาง แล้วก็หายวับไปทันที

นี่ทำให้โจวเจ๋อสงสัยว่าตัวเองเลี้ยงลิงหรือสุนัขกันแน่ เพราะตอนที่เจ้าลิงตัวนั้นเดินวนๆ อยู่บนพื้น ยังใช้จมูกดมฟุดฟิดไปมาที่พื้นไม่หยุดด้วย

โจวเจ๋อก็วนตามสองสามรอบ แต่ไม่ได้เอาจมูกลงไปชิดติดพื้นอย่างที่มันทำ จากนั้นก็กระโจนเข้าไปในกองฟาง

รู้สึกเพียงเบาหวิวไปทั้งตัว

โจวเจ๋อพบว่าตัวเองปรากฏตัวอยู่บนถนน โดยทั่วไปแล้วในเวลานี้ร้านค้าบนถนนสายนี้ต่างก็ปิดร้านกันไปหมดแล้ว เห็นได้ชัดว่ามันดึกมากแล้ว

นักพรตเฒ่าย่อตัวลงลูบเจ้าลิงที่ออกมาก่อนหน้านี้อยู่ด้านข้าง เมื่อเห็นว่าโจวเจ๋อตามออกมา ก็รีบยืนขึ้นทันทีและถามว่า

“เถ้าแก่ เจ้าสบายดีใช่ไหม”

โจวเจ๋อส่ายหน้า

มีรถนิสสันจอดอยู่ฝั่งตรงข้าม และสวี่ชิงหล่างก็กำลังนั่งอยู่ข้างใน เมื่อโจวเจ๋อออกมา เขาก็ลงจากรถและถามขึ้น

“เรื่องราวคลี่คลายไปแล้วหรือยังครับ”

“ก่อนหน้านี้นายไปอยู่ที่ไหนมา ฉันโทรหานายไม่ติดเลย”

“สัญญาณในห้องใต้ดินของห้องสมุดไม่ดีละมั้ง ขึ้นรถก่อนเถอะครับ ผมพบเบาะแสอะไรบางอย่างแล้ว”

หลังจากขึ้นรถ โจวเจ๋อก็พูดสั้นๆ ง่ายๆ ให้ฟังอีกรอบว่าเกิดอะไรขึ้นข้างในบ้าง

สวี่ชิงหล่างพยักหน้าและพูดขึ้น “ผมไปห้องสมุดประจำเมืองก่อน ไปตรวจสอบข้อมูลมาเล็กน้อย และพบบันทึกของสถานที่หนึ่งในสมัยสาธารณรัฐจีน แต่จริงๆ ไม่นับว่าเป็นสาธารณรัฐจีนแล้วละ ที่นี่เป็นพื้นที่ที่ญี่ปุ่นยึดครองในตอนนั้น มันคือสมุดบันทึกที่รัฐบาลหุ่นเชิดในพื้นที่บันทึกและถูกเก็บรักษาไว้ ด้านในบันทึกเรื่องราวการสังหารหมู่ที่หมู่บ้านซานเซียงเอาไว้ ตามคำกล่าวในนั้น เป็นเพราะชาวบ้านในพื้นที่ได้ซ่อนผู้ที่ได้รับบาดเจ็บของกองกำลังต่อต้านญี่ปุ่นเอาไว้และถูกค้นพบเข้า มันเลยเป็นที่มาของการล้างแค้นของเหล่าปีศาจ”

“เข้าประเด็นเลย” โจวเจ๋อเตือน

“จากนั้นผมก็สืบบันทึกการยืมของหนังสือเล่มนี้ นี่เป็นหนังสือที่หายากมากและคนธรรมดาจะไม่มีทางสังเกตเห็นมันได้เลย แต่ในปี 2009 มีคนยืมมันไป เขาชื่อหลี่ซื่อ ผมสงสัยว่าคนคนนี้จะเป็นคนเดียวกับคนที่โพสต์กระทู้”

โจวเจ๋อพยักหน้า

ในช่วงเวลานั้น มีคนที่ให้ความสนใจกับหมู่บ้านซานเซียงจริงๆ ไม่มากนัก

“เมื่อผมสืบเรื่องหลี่ซื่อคนนี้ต่อ ก็พบว่าเขาเสียชีวิตด้วยอาการหัวใจวายเฉียบพลันเมื่อปลายปี 2009 แต่เบาะแสของเขาไม่ได้ขาดหายไปเสียทีเดียว เพราะตอนนั้นที่เขาหัวใจวายเฉียบพลัน บังเอิญว่าขับรถไปชนต้นไม้เข้าพอดี

สถานที่ที่เสียชีวิตอยู่บนถนนในป่าแถบชานเมือง ที่นั่นรกร้างมาก รกร้างมาตั้งแต่ปี 2009 แล้ว ตอนนี้ก็ยังรกร้างมากเช่นกัน แต่ทว่าที่นั่นมีสถานพักฟื้นผู้ป่วยแห่งหนึ่ง ซึ่งคล้ายกับบ้านพักคนชราแต่มีระดับกว่าหน่อย สร้างจากความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน”

“ดังนั้นนายเลยคิดว่าก่อนที่หลี่ซื่อคนนี้จะตายได้ขับรถไปที่นั่นเพื่อที่จะไปสถานพักฟื้นผู้ป่วยอย่างนั้นเหรอ”

“ใช่ครับ ดังนั้นผมคิดว่าน่าจะมีเบาะแสอะไรสักอย่างซ่อนอยู่ในสถานพักฟื้นผู้ป่วยแห่งนั้นแน่ๆ และเขาพบมันแล้ว แม้กระทั่งผมคิดว่าคนคนนี้ได้เข้าไปในหมู่บ้านซานเซียงเป็นครั้งที่สองด้วยซ้ำ ตามที่คุณพูดมา ชาวบ้านในนั้นหิวโหยจนบ้าคลั่งรังแต่จะกินคน แต่ในปี 2009 ปัญหายังไม่น่าจะรุนแรงขนาดนั้น

จากนั้น เขาได้รับข้อมูลบางอย่างจากในหมู่บ้าน เพียงแต่ว่าคนที่สามารถเข้าไปในหมู่บ้านซานเซียงได้นั้น นอกจากถูกยกเว้นเป็นกรณีพิเศษแล้ว ก็มีแต่คนที่กำลังจะตายเท่านั้น”

เมื่อพูดถึงตรงนี้ สวี่ชิงหล่างมองไปยังนักพรตเฒ่าที่นั่งอยู่เบาะหลังโดยไม่รู้ตัว

ในตอนแรกนักพรตเฒ่ารู้สึกเศร้าซึมมาก

เจ้าลิงผลุบเข้าไปแล้ว

เถ้าแก่ก็เข้าไปแล้ว

ปรากฏว่าตัวเองไม่สามารถเข้าไปได้ เขารู้สึกว่าตัวเองพ่ายแพ้

เมื่อสวี่ชิงหล่างมาถึงและบอกเขาภายหลังว่ามีเพียงคนที่ใกล้ตายเท่านั้นที่มีโอกาสเข้าไปได้ นักพรตเฒ่าหัวเราะเสียงดังอย่างมีความสุข และฟองน้ำมูกก็ออกมาจากปลายจมูกของเขาทั้งสองข้าง

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยมทูตพาร์ตไทม์แห่งร้านหนังสือยามวิกาล