ตอนที่ 132 กิน กิน กิน! – ตอนที่ต้องอ่านของ ยมทูตพาร์ตไทม์แห่งร้านหนังสือยามวิกาล
ตอนนี้ของ ยมทูตพาร์ตไทม์แห่งร้านหนังสือยามวิกาล โดย Internet ถือเป็นช่วงเวลาสำคัญของนิยายActionทั้งเรื่อง ด้วยบทสนทนาทรงพลัง ความสัมพันธ์ของตัวละครที่พัฒนา และเหตุการณ์ที่เปลี่ยนโทนเรื่องอย่างสิ้นเชิง ตอนที่ 132 กิน กิน กิน! จะทำให้คุณอยากอ่านต่อทันที
ตอนที่ 132 กิน กิน กิน!
จังหวะชีวิตที่น่าเบื่อหน่าย
บรรยากาศชนบทอันเงียบสงบของสาธารณรัฐจีน
เสียงด่าทอดังเอะอะโวยวายตามประสาบ้านๆ
ที่มาพร้อมกับกลิ่นหอมตลบอบอวลของดินโคลน
นี่เป็นเบื้องหลังของมัน เป็นฉากหลังของหมู่บ้านซานเซียงแห่งนี้ แต่เมื่อคุณได้ก้าวเข้าไปและวิ่งไปข้างหน้าแล้ว อาจจะตกใจกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า
ทุกรายละเอียดที่นี่เป็นเหมือนรอยแตกแยกเส้นหนึ่ง เลือดสดๆ ที่หยดไหลออกมาจากในรอยแยก ทำให้ผู้คนจมดิ่งและขาดอากาศหายใจ
มวลเมฆดำครึ้มที่น่าสะพรึงกลัวปกคลุมอยู่เหนือหมู่บ้านแห่งนี้ เหมือนกับละครเวทีเรื่องหนึ่ง ที่ทุกตัวละครราวกับล้วนแต่สวมหน้ากากที่มีความหมายลึกซึ้งไปเสียทั้งหมด
เห็นได้ชัดว่าสิ่งที่แขวนอยู่บนท้องฟ้าคือดวงจันทร์
แต่แสงสว่างบนพื้นกลับเป็นสีขาวซีดไม่สม่ำเสมอ ราวกับว่ามีช่างจัดไฟที่ไม่ผ่านการรับรองปรับมุมผิดพลาด ทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างวุ่นวายไปหมด
มีคนนอนหลับ
มีคนกำลังทำอาหาร
มีคนกำลังตักน้ำ
มีคนกำลังตะโกน
มีคนกำลังหัวเราะ
และยังมีคนกำลังร้องไห้อีกด้วย
โจวเจ๋อใช้เวลาเดินอยู่นาน แทบจะเดินเล่นไปทั่วทั้งหมู่บ้านแห่งนี้อยู่แล้ว
แต่ที่สามารถยืนยันได้ก็คือในตอนนี้ที่นี่แตกต่างจากตอนที่เจ้าของกระทู้มาในครั้งก่อนอย่างสิ้นเชิง
หากพูดว่าตอนที่เจ้าของกระทู้มาถึงครั้งแรกเมื่อเก้าปีที่แล้ว ที่นี่เพียงแค่แสร้งต้อนรับขับสู้ละก็ อย่างนั้นในตอนนี้ก็เหมือนเสือโคร่งตัวใหญ่ยักษ์จริงๆ และมันได้อ้าปากตัวเองรอเอาไว้แล้ว ในขณะเดียวกันดวงตาของมันก็จับจ้องมาที่คุณ
มันอยากจะกินคุณเมื่อไรก็สามารถกินได้ทุกเมื่อ
และความรู้สึกว่าอาจจะถูกกินได้ตลอดเวลาเช่นนี้ ก็เป็นสิ่งที่ทรมานและทุกข์ระทมที่สุด
หากเจ้าของกระทู้เห็นฉากนี้เมื่อเก้าปีที่แล้ว เขาคงไม่กล้าพูดว่าจะกลับมาหาหลักฐานและถ่ายรูปอีกแน่ๆ
หลังจากเดินไปรอบๆ แล้ว โจวเจ๋อก็มาถึงด้านนอกศาลบรรพบุรุษแห่งหนึ่ง
ศาลบรรพบุรุษนี้ถือเป็นสิ่งก่อสร้างระดับสูงที่สุดในหมู่บ้านซานเซียงแล้ว
มันไม่ใหญ่นัก แต่ด้านนอกมีป้ายแขวนไว้อยู่ ส่วนด้านในแกะสลักและทาสีไว้อย่างประณีต แม้จะเล็กและคับแคบ แต่ก็เผยให้เห็นความประณีตงดงามและน่าเกรงขาม
มีชายชราตาบอดสวมชุดคลุมแบบจีนนั่งอยู่ตรงประตูศาลบรรพบุรุษ ในมือถือไม้เท้าเคาะพื้นไม่หยุด ริมฝีปากสั่นเล็กน้อย
โจวเจ๋อหยุดอยู่ตรงหน้าเขา เพราะจากมุมมองของโจวเจ๋อ ชายชราคนนี้ดูจะเป็นคนธรรมดาที่สุดในหมู่บ้านนี้แล้ว
อย่างน้อยๆ ชายชราก็ไม่น้ำลายไหล และไม่มีน้ำลายยืดด้วย
แต่หลังจากที่ได้เข้าไปใกล้ๆ แล้ว โจวเจ๋อยังได้ยินชายชราพึมพำกับตัวเองเสียงต่ำ
“หิว หิวมาก หิวจังเลย อยากกินหมั่นโถวขาวๆ อยากกินหมั่นโถวจังเลย”
เจ้าลิงน้อยรีบกระโดดเข้าไปจับเคราแพะของชายชราตาบอดทันที
ชายชราตาบอดเงยหน้าขึ้น เขาเป็นคนตาบอดที่ไม่มีแว่นกันแดด ดวงตาคู่นั้นขุ่นมัวไปทั้งแถบ แต่ในเวลานี้ เขาน่าจะรู้สึกได้ว่ามีคนอยู่ตรงหน้าเขา แถมยังเป็นคนแปลกหน้า
เขาแลบลิ้นเลียริมฝีปาก แล้วกลืนน้ำลาย ก่อนจะพูดขึ้นว่า
“ไปเถอะ คุณไปเถอะ พวกเราจะทนไม่ไหวกันแล้ว”
คำพูดของชายชราตาบอดเต็มไปด้วยความโชกโชนและจำใจ
เขากำลังเตือนโจวเจ๋ออยู่
ที่นี่เป็นสถานที่ที่มีความยากลำบาก ผู้คนที่นี่ต่างก็หิวมาก
ผีที่หิวโหยแต่ละตัวจะออกจากกรง! ถ้ายังไม่ไปละก็ จะไม่มีโอกาสแล้วนะ
โจวเจ๋อยังคงไม่ขยับตัว พูดตามตรงเขาไม่กลัวผีร้ายในที่นี้แม้แต่น้อย แม้จะมีจำนวนเยอะมาก ความจริงแล้วเขาอาจจะรับมือไม่ไหวอยู่บ้าง แต่การสู้ไม่ได้กับการหนีไม่พ้นมันแตกต่างกันมากนัก
โจวเจ๋อคิดว่าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม เขามั่นใจว่าตัวเองจะหนีรอดออกไปได้
“เกิดอะไรขึ้นกับที่นี่กันแน่”
โจวเจ๋อถาม
เขาหวังว่าจะได้คำตอบว่าคนในหมู่บ้านนี้กลายเป็นแบบนี้ได้อย่างไร
จริงๆ แล้ว ความมืดมนที่ปกคลุมหมู่บ้านและพระจันทร์สีเลือดได้อธิบายปัญหาต่างๆ มากมายอยู่แล้ว หมู่บ้านนี้เป็นสถานที่ชั่วร้าย สนามรบสมัยโบราณหลายแห่งก็มีลักษณะแบบนี้เช่นกัน
“อย่าถามเลย อย่าถามเลย ไปเถอะ ทุกคนต่างก็หิวโหย หิวกันมากๆ ถ้าคุณไม่ไปจะต้องถูกกินแน่ๆ”
ชายชราตาบอดยังคงพูดคำเหล่านี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า
“หิวหรือ พวกคุณอดตายกันใช่หรือไม่”
เป็นไปไม่ได้น่า
จะอดตายทั้งหมู่บ้านได้อย่างไร ไม่มีเสบียงอาหารแล้วจะไม่หนีภัยแล้งออกไปกันหรืออย่างไร
อีกอย่างคนในอินเทอร์เน็ตที่คุณย่ามาจากหมู่บ้านซานเซียงเมื่อในอดีตเคยตอบกลับมาว่า หมู่บ้านนี้ถูกสังหารในวันที่ปีศาจบุกรุกเข้ามาในทงเฉิง แล้วมันเกี่ยวอะไรกับความหิวโหยกันล่ะ
“ไป ฉันบอกให้ไปไง!”
ชายชราตาบอดโมโหแล้ว และเคาะไม้เท้าบนพื้นไม่หยุด
“ไปสิ! ไป!”
โจวเจ๋อก็ยังคงไม่ขยับตัว มันทำให้ชายชราตาบอดหมดความอดทน แน่นอนว่าในขณะที่ร้อนใจเขาก็เริ่มขยี้จมูกไม่หยุด เห็นได้ชัดว่าเขาหิวโหยมาก!
“ยังไม่ไปอีก ถ้ายังไม่ไปจะถูกกินแล้วนะ”
เสียงของชายชราตาบอดต่ำลงเรื่อยๆ
เขาไม่สามารถควบคุมตัวเองได้อีกต่อไป
โจวเจ๋อก็ยังคงไม่ขยับตัวอยู่ดี หากเรื่องราวที่นี่ยังไม่คลี่คลายเขาจะไม่ไปไหนทั้งนั้น
เรื่องของคนเป็นให้ตำรวจจัดการ แต่เรื่องของคนตายเป็นหน้าที่ของเขา
เมื่อก่อนยังสามารถเรียกหมู่บ้านนี้ว่าธารดอกท้อ ‘ฉบับสมัยใหม่’ แต่ตอนนี้ผ่านไปเก้าปี มีแนวโน้มที่จะค่อยๆ กลายเป็นรังผีร้ายแล้ว
สาวน้อยคนนั้นเป็นไปได้มากว่าอาจจะโชคดี เธอไม่ได้รับการแพร่เชื้อและไม่ได้รับผลกระทบอะไรมาก จึงดั้นด้นมาถึงที่ร้านหนังสือของเขาได้
แต่ในขณะเดียวกัน เรื่องที่สาวน้อยปรากฏตัวในร้านหนังสือก็แสดงให้เห็นว่า สถานการณ์ของผีในหมู่บ้านซานเซียงแห่งนี้เริ่มมีการเปลี่ยนแปลงแล้ว
ไม่ใช่แค่คนเข้ามาได้ ผีก็ออกไปได้ด้วย!
หากปล่อยผีร้ายมากมายอย่างนี้ออกมาพร้อมๆ กัน พวกมันจะส่งผลกระทบและสร้างความเสียหายมากขนาดไหน
ถ้าหากโจวเจ๋อไม่รู้ก็ไม่เป็นไร อย่างมากก็รีบไปจัดการทันที แต่ทว่าตอนนี้เขาอยู่ที่นี่แล้ว
สาวน้อยโลลิเคยพูดเอาไว้ว่า ยมโลกมีตาชั่ง
โจวเจ๋อเชื่อว่า หากตัวเองปล่อยปละละเลยไม่สนใจและจากไป การประเมินพฤติกรรมของตัวเองในยมโลกนั้นจะแย่ยิ่งกว่าการบังคับให้สาวน้อยโลลิเป็นลูกน้องของตัวเองเสียอีก
ในมุมมองของยมโลก ยมทูตกับผู้จับกุมต่างก็เป็นข้าราชการระดับล่างสุด พวกคุณสามารถสู้กัน แก่งแย่งกันภายใน และสามารถถกเถียงทะเลาะกันได้ แต่จะต้องจัดการเรื่องต่างๆ ให้เสร็จเรียบร้อย และทำงานอย่างมีเสถียรภาพ นี่คือสิ่งสำคัญที่สุด
การควบคุมสถานการณ์ไม่ให้ผีกระทบกับโลกมนุษย์เป็นเส้นแดงขั้นพื้นฐานที่สุด ส่วนที่เหลือก็ไม่ใช่ปัญหาอะไร
ดังนั้น โจวเจ๋อจึงไปไม่ได้ แม้ว่าเขาจะได้กลิ่นมันแล้วก็ตาม ความรู้สึกกดดันในอากาศก็ทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ
แต่ที่ลำบากเหลือเกินในตอนนี้คือ ถ้าโจวเจ๋อไม่รู้ความลับและสาเหตุของการก่อตัวของหมู่บ้านนี้ โจวเจ๋อไม่มีทางที่จะแก้ไขมันได้
เช่นเดียวกับคุณปู่และสาวน้อยที่พบเจอเมื่อตอนเข้ามาครั้งแรก หลังจากที่พวกเขาถูกโจวเจ๋อฆ่า ชั่วพริบตาก็กลับไปยังโหนดก่อนหน้าในทันที
ก่อนถังซือจะจากไปเคยบอกเขาไว้ว่า ตัวเขาชินกับการใช้ชีวิตแบบไร้จิตเมตตาแล้ว ทว่าตอนนี้เขากำลังเริ่มพูดถึงมโนธรรมอีกแล้วใช่หรือไม่
ใช่แล้ว
พูดถึงเรื่องมโนธรรม
เพราะโจวเจ๋อทนไม่ได้ที่จะทำลายความหวังสุดท้ายของผู้คนในหมู่บ้านนี้ให้หมดสิ้น เมื่อแปดสิบปีก่อน พวกเขาก็ตกทุกข์ได้ยาก เช่นเดียวกับดวงวิญญาณสามหมื่นดวงในหนานจิง
ดังนั้นตราบใดที่มีความเป็นไปได้เพียงน้อยนิด โจวเจ๋อยังคงหวังว่าพวกเขาจะมีโอกาสได้กลับไปเวียนว่ายตายเกิดอีกครั้ง
ด้วยเหตุผลนี้เอง โจวเจ๋อจึงคิดว่าจะโชคดี สามารถหาคนที่พอมีสติสัมปชัญญะหลงเหลืออยู่ในหมู่บ้านนี้เจอ และได้รับเบาะแสบ้าง
ตอนนี้เขาถูกห้อมล้อมไปด้วยคนทั้งหมู่บ้าน และสูญเสียโอกาสในการเคลื่อนไหวอย่างอิสระทั้งหมดก่อนหน้าไปแล้ว
ถ้าอยากจะกระโจนออกไป ก็ทำได้ แต่คาดว่าตัวเขาจะต้องเข้าสู่สภาวะนั้นอีกครั้งระหว่างโดนผีร้ายรุมทึ้ง แล้วจะต้องเป็นอัมพาตและบาดเจ็บสาหัสไปอีกสักพักเลย
มันไม่คุ้มค่าจริงๆ แถมยังโง่อีกต่างหาก
มันเป็นพฤติกรรมและการเลือกที่โง่เขลา
มโนธรรมถึงได้กำเริบอีกครั้ง
“โฮก!”
“หิว!”
“กินมัน!”
“กิน!”
ไม่มีใครตอบรับคำพูดของโจวเจ๋ออย่างจริงจัง
พวกมันรีบวิ่งกรูเข้ามา
เล็บทั้งสิบนิ้วของโจวเจ๋อระบำพลิ้วไหวไม่หยุด ผีร้ายตัวแล้วตัวเล่าถูกเขาพัดกระพือหงายออกไปอย่างรุนแรง แต่ดูเหมือนพวกมันจะไม่มีที่สิ้นสุด แม้ว่าพวกมันจะถูกจัดการจนแตกกระเจิงก็ตาม แต่ในไม่ช้ามันจะปรากฏขึ้นอีกครั้งที่มุมใดมุมหนึ่งของหมู่บ้าน และรีบมาเข้าร่วมกลุ่มทำสงครามต่อไป
เท่ากับว่าโจวเจ๋อกำลังเผชิญหน้ากับกองทัพอมตะที่สามารถฟื้นคืนชีพได้อย่างต่อเนื่อง!
‘ปัง!’
‘ปัง!’
ศาลบรรพบุรุษถูกโจมตีอย่างต่อเนื่อง
กระเบื้องบนพื้นเริ่มแตกร้าว
หลังจากที่โจวเจ๋อฟาดผีร้ายลงบนพื้นซ้ำๆ ในที่สุดกระเบื้องบนพื้นใต้ฝ่าเท้าก็แตกเป็นเสี่ยงๆ
แต่ทว่าใต้พื้นกระเบื้อง กลับปรากฏข้าวขาวนวลจำนวนมาก
โจวเจ๋อตะลึง ผีร้ายที่อยู่ตรงนั้นต่างก็ตกตะลึงทั้งหมด
มันจะต้องเป็นข้าวปลอมอย่างแน่นอน หมู่บ้านถูกทำให้ราบเรียบมาตั้งนานแล้ว และครอบคลุมไปถึงแม้กระทั่งโรงเรียนด้วย
แต่สถานการณ์ตรงนี้เป็นเรื่องจริง
นี่หมายความว่าตอนที่ทุกคนในหมู่บ้านหิวโหย มีอาหารมากมายซ่อนอยู่ใต้ศาลบรรพบุรุษของหมู่บ้านนี้!
โจวเจ๋อย่อตัวลง ยื่นมือออกไปหยิบข้าวหนึ่งกำมือ แล้วยื่นให้ผีร้ายที่อยู่ข้างหน้าเขาพร้อมกับพูดว่า
“กินเถอะ กินแล้วจะได้ไม่หิว จากนั้น…ก็ออกเดินทางแต่โดยดี”
แต่ทว่า
ผีร้ายทั้งหมู่บ้านในศาลบรรพบุรุษกลับนิ่งไม่ไหวติง ดูเหมือนพวกมันจะไม่รู้สึกรู้สาอะไรกับข้าวพวกนี้เลย
สายตาของพวกมันจับจ้องไปที่ข้าวเพียงครู่หนึ่ง จากนั้นต่างก็กระโจนใส่ร่างของโจวเจ๋อ พวกมันไม่กินข้าว แต่พวกมันก็ยังหิวโหย ดังนั้นจึงต้องกินโจวเจ๋อเท่านั้น!
โจวเจ๋อรู้สึกโกรธจนหัวเราะออกมา ‘ทำบ้าอะไรกันเนี่ย ฉันอร่อยขนาดนั้นเลยหรือไง’
……………………………………………………………….
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยมทูตพาร์ตไทม์แห่งร้านหนังสือยามวิกาล