ตอนที่ 138 ความเคยชิน!
“แล้วยังไงต่อ”
โจวเจ๋อถามและจิบกาแฟไปด้วย
สวี่ชิงหล่างที่นั่งอยู่ข้างๆ ก็ร่วมฟังเรื่องเล่าด้วย อืม ยกให้เป็นเรื่องเล่ายามวิกาลที่ฟังแล้วน่าสนใจเรื่องหนึ่ง
สำหรับความตื่นเต้นและความกลัวอะไรแบบนี้
ไม่ต้องพูดถึงสวี่ชิงหล่าง แม้แต่นักพรตเฒ่าที่อยู่ข้างๆ ก็ไม่ตกใจกลัวเลยสักนิด
ตามคำพูดของนักพรตเฒ่า มันเป็นการขู่ไก่ให้ตกใจกลัวมากกว่า คนแก่ที่อยู่กับผีหนึ่งตนและผีดิบหนึ่งตัวทั้งวัน
ข้าเคยกลัวเหรอ
ข้าเคยขี้ขลาดงั้นเหรอ
ข้าไม่ได้กลัว ข้าไม่ได้ขี้ขลาด ข้าก็แค่ทำตามหัวใจ
“ยังมีอะไรอีกล่ะ” เด็กหนุ่มอึ้งไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็ยิ้มแล้วพูดว่า “แล้วผมก็สะดุ้งตื่นขึ้นมาน่ะสิ แท้จริงแล้วมันเป็นแค่ความฝัน แต่ความฝันนี้ดูเหมือนจริงมาก เหอะๆ”
หลังจากที่เด็กหนุ่มพูดจบ ก็หาวหวอดๆ แล้วหยิบหนังสือนิยายที่ดึงออกมาจากชั้นหนังสือก่อนหน้านี้ขึ้นมาอ่าน ราวกับว่าได้อ่านฉากที่น่าสนใจอะไรเข้าจึงหัวเราะออกมาทันที
‘เป็นเด็กที่ไร้เดียงสาอะไรขนาดนี้นะ ยังคิดได้ว่าตัวเองเพียงแค่ฝันไปเสียอย่างนั้น งั้นที่นายถ่อมาร้านหนังสือของฉันดึกดื่นเที่ยงคืนอย่างนี้ ละเมอมาหรือไง’
สวี่ชิงหล่างมองโจวเจ๋อด้วยความประหลาดใจ ชี้ไปที่เด็กหนุ่ม จากนั้นชี้ไปที่สมองอีกครั้ง
โจวเจ๋อพยักหน้า
เด็กหนุ่มยังไม่รู้ว่าตัวเองตายไปแล้ว
เขาคิดว่าตัวเองยังมีชีวิตอยู่ แต่เขาได้กลายเป็นวิญญาณและเริ่มเร่ร่อนมาตั้งนานแล้ว
“ไม่รับเขาไปเหรอครับ” สวี่ชิงหล่างถาม “คุณขาดไปหนึ่งดวงไม่ใช่เหรอ”
ตอนที่สวี่ชิงหล่างลงมาจากชั้นบน ก็เห็นโจวเจ๋อนั่งอยู่ตรงข้ามกับเด็กหนุ่ม และฟังเด็กหนุ่มเล่าเรื่อง เขาไม่คิดว่าโจวเจ๋อจะกังวลเรื่องผีร้ายหลอกหลอนคนในโรงเรียนถึงได้รั้งเด็กหนุ่มเอาไว้เพื่อเป็นเบาะแส เตรียมจะผดุงธรรมแทนสวรรค์ช่วยเหลือผู้คนหรอกนะ
เขารู้ดีว่าเพื่อหนึ่งเปอร์เซ็นต์สุดท้ายนั้น ในช่วงนี้เถ้าแก่โจวรอคอยด้วยความรุ่มร้อนใจ และหิวกระหายจนทนไม่ไหวแล้วต่างหาก
“เก็บไม่ได้ ดวงวิญญาณของเขาไม่สมบูรณ์”
โจวเจ๋อส่ายหัวและรู้สึกจนใจอย่างช่วยไม่ได้
สวี่ชิงหล่างขมวดคิ้วและเหลือบมองเด็กหนุ่มอย่างถี่ถ้วน ถึงได้ค้นพบรายละเอียดบางอย่าง วิญญาณของเด็กหนุ่มไม่สมบูรณ์ สามจิตหกวิญญาณหายไปบางส่วน ถึงได้ทำให้เด็กหนุ่มหลังจากตายกลายเป็นวิญญาณแล้วยัง ‘ไร้เดียงสา’ ขนาดที่ยังไม่รู้ว่าตัวเขาเองตายไปแล้วด้วยซ้ำ
แม้ว่าจะมีเรื่องที่ไม่สอดคล้องกับตรรกะมากมายรอบตัว แม้ว่าเขาจะไม่ได้อยู่ที่โรงเรียนตอนดึกดื่นเที่ยงคืนแต่กลับมาปรากฏตัวอยู่ในร้านหนังสือก็ตาม เขาก็ไม่เอะใจว่ามันผิดปกติเลยแม้แต่น้อย และยังคงรู้สึกเหมือนตัวเองยังมีชีวิตอยู่
พูดง่ายๆ ก็คือตอนนี้สมองของเขามีปัญหา
เป็นขั้นที่มีความรุนแรงสูงมากชนิดหนึ่ง…นั่นก็คือปัญญาอ่อน
อันที่จริงตอนที่โจวเจ๋อเห็นเขาแวบแรก ก็แทบอยากจะเปิดประตูแห่งนรกภูมิเดี๋ยวนั้นเลยด้วยซ้ำ
คุณตายได้อย่างไร
คุณไม่ได้รับความเป็นธรรมอะไรมาหรือเปล่า
คุณหิวไหม กระหายน้ำหรือไม่
จะไม่ถามอะไรเลย และไม่มีเวลามาฟังเขาพล่ามด้วย ตั้งใจจะส่งเขาเข้าไปเพื่อที่ตัวเองจะได้เป็นพนักงานประจำสักที ผลก็คือส่งเข้าไปไม่ได้ มันทำให้โจวเจ๋อรู้สึกหดหู่และพูดไม่ออกไปชั่วขณะหนึ่ง
“แล้วยังไงต่อครับ คุณคิดจะทำยังไงล่ะ” สวี่ชิงหล่างมองโจวเจ๋อและเตือนว่า “ผีที่สามารถฆ่าคนได้ คุณจะอยู่เฉยๆ ไม่สนใจได้เหรอครับ”
สวี่ชิงหล่างพูดถูก โจวเจ๋อไม่สามารถอยู่เฉยโดยไม่ทำอะไรไม่ได้จริงๆ แม้ว่านี่จะไม่ใช่คำพูดไร้สาระที่ว่า ‘พลังอันยิ่งใหญ่มาพร้อมกับความรับผิดชอบอันยิ่งใหญ่’ ในภาพยนตร์ซูเปอร์ฮีโร่เรื่องสไปเดอร์แมนที่พ่อบุญธรรมบอกกับเขา แต่ในเมื่อโจวเจ๋อมีฐานะเป็นยมทูตของที่นี่ เขาก็มีหน้าที่ป้องกันไม่ให้ภูตผีวิญญาณมาวุ่นวายแถวนี้ ถ้าหากว่ามีก็ต้องแก้ไขโดยเร็วที่สุด
ทุกสิ่งล้วนอยู่ในสายตาของยมโลกทั้งหมด
“ไปสิ” โจวเจ๋อพยักหน้า “นายจะไปกับฉันด้วยไหม”
“ไม่ไป ผมลงมาเพื่อจะหยิบหน้ากากมาส์กหน้าน่ะ เดี๋ยวจะขึ้นไปนอนฟื้นฟูความงามแล้ว”
สวี่ชิงหล่างกำลังนอนขี้เกียจแผ่หลาอยู่บนโซฟา ความอ้อนแอ้นของร่างกายแบบนั้นสามารถดัดให้แผ่นเหล็กงอได้เลยทีเดียว
บางครั้งโจวเจ๋อก็รู้สึกระอากับสวี่ชิงหล่าง เห็นๆ กันอยู่ว่าด้านนั้นก็ปกติดี สามารถทำให้ผู้หญิงเห็นเขาเป็นชายขายบริการที่หลังจากร่วมหลับนอนแล้ว ยังรู้สึกว่าบริการดีและทิ้งเงินสามพันหยวนไว้ให้บนโต๊ะข้างหัวเตียงได้
ก็เพียงพอแล้วที่จะแสดงให้เห็นว่าสวี่ชิงหล่างไม่มีปัญหาในด้านนั้น แต่ท่าทางสบายๆ ที่เขาแสดงออกมาในบางครั้ง ขนาดไป๋อิงอิงที่ไม่แต่งหน้ายังเทียบกับเขาไม่ได้เลยจริงๆ
มีเสน่ห์ดึงดูดมาตั้งแต่กำเนิดสินะ
โชคดีที่สวี่ชิงหล่างเกิดในยุคปัจจุบัน ถ้าเกิดในสมัยโบราณละก็ คาดว่าจะต้องถูกจักรพรรดิและพวกขุนนางที่มีรสนิยมรักร่วมเพศเอาไปปู้ยี่ปู้ยำนานแล้ว
ในเวลานี้เองนักพรตเฒ่าก็อาสาตัวทันที เข้ามารับกุญแจรถจากมือของโจวเจ๋อ แล้วพูดว่า
“เถ้าแก่ อิงอิงเล่นเกมพับจีอยู่ข้างบน ไม่ว่างหรอก ข้าไปเป็นเพื่อนเจ้าเอง เดิมทีการกำจัดปีศาจผดุงธรรมก็อยู่ในความรับผิดชอบของข้าผู้ผดุงความยุติธรรมอยู่แล้ว”
แล้วก็เป็นไปตามนี้แหละ นักพรตเฒ่าขับรถ ส่วนโจวเจ๋อก็นั่งบนเบาะข้างคนขับ และขับรถพากันไปที่โรงเรียนมัธยมผิงเฉา
ระยะทางค่อนข้างไกลนิดหน่อย ใช้เวลาขับรถร่วมครึ่งชั่วโมง
โรงเรียนมัธยมแห่งนี้ใหญ่มากจริงๆ ประตูทางเข้าโรงเรียนเป็นซุ้มประตู บนนั้นเขียนไว้ว่า ‘โรงเรียนมัธยมผิงเฉาโรงเรียนชั้นนำในมณฑล’ จากนั้นก็มีป้อมยาม ต่อด้วยสิ่งที่อลังการยิ่งกว่า นั่นก็คือด้านหลังเป็นคลอง และโรงเรียนก็อยู่อีกฝั่งคลอง ตรงนี้มีสะพานทอดข้ามคลอง เป็นสะพานที่ใช้กันภายในโรงเรียน และมีป้อมยามที่ปลายอีกฟากหนึ่งของสะพาน
ดังนั้น นักเรียนที่พักในหอพักของที่นี่คิดอยากจะโดดเรียนเห็นทีว่าจะเป็นเรื่องเหลวไหลเป็นไปไม่ได้ มีป้อมยามสองแห่งคอยเป็นจุดตรวจคุ้มกันประตูอยู่ เว้นแต่จะว่ายข้ามคลองถึงจะสามารถไปถึงเขตถนนในเมืองด้านนอกได้
นักพรตเฒ่าใช้วาจาตะล่อมหลอกล่อยามไปว่า หลานของตัวเองเกิดอาการหัวใจวายเฉียบพลันอยู่ในนั้นต้องรีบเข้าไปดูสถานการณ์ ยามไม่กล้าชักช้ารีบเปิดประตูทันที สำหรับคนที่มองแวบแรกก็รู้ว่าไม่ใช่นักเรียนนั้น ยามก็ไม่ได้ระมัดระวังมากจนเกินไปนัก
รถแล่นเข้าไปในเขตโรงเรียน โจวเจ๋อและนักพรตเฒ่าลงจากรถและเดินไปที่เขตที่อยู่อาศัย ที่นี่ดูเหมือนเมืองเล็กๆที่แยกตัวออกมาจริงๆ มีทั้งโรงอาบน้ำ ซูเปอร์มาร์เก็ต และโรงอาหารอีกมากมาย
พวกนักเรียนเป็นเหมือนไก่ที่ถูกขังอยู่ในกรงสายการผลิตที่แม้แต่จะหันกลับก็หันไม่ได้ กำหนดเวลากินข้าวกินน้ำแล้วก็ออกไข่ในทุกๆ วัน
ตอนที่มาถึงที่นี่ก็เป็นเวลาเกือบเที่ยงคืนแล้ว ไฟในอาคารหอพักที่นี่ดับไปหมดแล้ว นอกจากห้องทำงานของครูผู้ดูแลหอพักชั้นล่างที่ไฟยังคงสว่างอยู่ ชั้นอื่นๆ ในตึกต่างก็มืดไปทั้งแถบ ทั้งที่เต็มไปด้วยผู้คน แต่กลับให้ความรู้สึกอึมครึมเหมือนดินแดนผีสิงเสียอย่างนั้น
“เถ้าแก่ สรุปว่าผีสิงอยู่ตึกไหนกันแน่”
“เขาบอกว่าเขาพักอยู่ตึกบี” โจวเจ๋อชี้ตึกที่อยู่เยื้องๆ กัน “น่าจะเป็นที่นี่แหละ”
“หอพักห้องไหน” นักพรตเฒ่าถาม
“ชั้นหกละมั้ง ส่วนห้องไหนนั้นผมก็ไม่รู้ ขึ้นไปถามนักเรียนสักคนว่าตรงไหนที่เพิ่งมีคนเสียชีวิตไปก็ได้แล้ว”
“วิธีนี้ก็ดีเหมือนกัน” นักพรตเฒ่าส่งคำประจบสอพลอที่ไร้ความจริงใจไปให้
เวรแท้ ไม่ถามในร้านให้ดีก่อนออกมา
มีผู้ชายสองสามคนนั่งคุยกันอยู่ในสำนักงานดูแลหอพักชั้นล่างของอาคารหอพัก เสียงดังมากและส่งเสียงหัวเราะออกมาเป็นครั้งคราว ราวกับว่ากำลังคุยเรื่องตลกลามกกันอยู่
แม้ว่าโจวเจ๋อและนักพรตเฒ่าทั้งสองคนจะเดินเข้าไปในโถงทางเดินก็ตาม พวกเขาก็ไม่สังเกตเห็น การดูแลจัดการที่นี่ช่างหละหลวมเสียจริง
หรือจะบอกว่า ข้างนอกหละหลวมข้างในรัดกุมกันนะ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยมทูตพาร์ตไทม์แห่งร้านหนังสือยามวิกาล