ตอนที่ 139 ดับไฟแล้ว!
ความตายไม่ได้น่ากลัว สิ่งที่น่ากลัวจริงๆ คือการถูกลืมต่างหาก
ซุนชิวตายแล้วและตายไปนานแล้ว แต่เพื่อนนักเรียนของเขาไม่รู้ ครูของเขาไม่รู้ และแม้กระทั่งตัวเขาเองก็ไม่รู้ ภายใต้การทำไปตามความเคยชินเช่นนี้ ทำให้ดูเหมือนว่าเขายัง ‘มีชีวิต’ อยู่
แต่ทว่า
การมีชีวิตอยู่แบบนี้ เดิมทีมันก็เป็นเรื่องที่น่าเศร้าและน่าสงสารมากอยู่แล้ว
ลองคิดดูสิ การใช้ชีวิตของคุณ ชีวิตของคุณ วิถีชีวิตประจำวันของคุณ การที่คุณรู้ตัวกับการที่คุณไม่รู้ตัวนั้น อันที่จริงไม่ก็ไม่ได้เปลี่ยนไปเลย
ถ้าอย่างนั้นชีวิตของคุณ การใช้ชีวิตของคุณ นอกเหนือจากรูปลักษณ์แล้ว ยังมีความหมายหลงเหลืออีกแค่ไหนกัน
โจวเจ๋อจำเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นที่ฮ่องกงก่อนหน้านี้ได้ มันค่อนข้างโด่งดังบนอินเทอร์เน็ตเลยทีเดียว และมักจะถูกรวบรวมเป็นหนึ่งในสิบหรือแปดเหตุการณ์เหนือธรรมชาติในฮ่องกง
มันเป็นเรื่องของพนักงานส่งอาหารของภัตตาคารแห่งหนึ่งที่ไปส่งอาหาร และได้ยินเสียงไพ่นกกระจอกด้านในขณะที่ยืนอยู่ข้างนอกประตู แต่เมื่อเคาะประตูกลับพบว่าขาไพ่นกกระจอกสี่คนข้างในนั้นเสียชีวิตไปนานแล้ว
นี่เป็นแค่ตัวอย่างทั่วไปเท่านั้น
“เถ้าแก่ เขาตายแล้ว งั้นเราควรจะทำอย่างไรดี” นักพรตเฒ่าถามคำถาม
เพราะคนเป็นเห็นผีได้ มันหาได้ยากจริงๆ
แต่ถ้าเป็นคนตายเห็นผีนั้นไม่แปลก เป็นเรื่องธรรมดาที่คนบ้านเดียวกันเห็นคนบ้านเดียวกันแล้วน้ำตาซึม
อีกทั้งการตายของซุนชิว มีความเป็นไปได้ว่าไม่ได้ถูกผีฆ่าตาย ในเรื่องที่เขาเล่า มีความเป็นได้ว่าตอนนั้นอาจจะเสียชีวิตไปแล้วก็ได้ ดังนั้นถึงได้มองเห็นปรากฏการณ์ประหลาดๆ บางอย่าง
โจวเจ๋อขมวดคิ้วเล็กน้อย ตอนนี้ปัญหาอยู่ที่เขาไม่สามารถระบุเวลาที่ซุนชิวเสียชีวิตได้ ซึ่งมันทำให้ไม่สามารถยืนยันได้ว่าซุนชิวเสียชีวิตโดยบังเอิญหรือถูกผีทำร้าย
สำหรับดวงวิญญาณที่ไม่สมบูรณ์ของซุนชิว จริงๆ แล้วมีความเป็นไปได้มากมาย และไม่จำเป็นต้องถูกผีร้ายทรงพลังตนไหนควบคุมหรอก
“ลองลงไปถามก่อน ไปถามผู้ดูแลหอพักพวกนั้น”
เนื่องจากเป็นเพราะว่าซุนชิวในที่นี้ตอนนี้เป็นคน ‘ปัญญาอ่อนขั้นสูง’ ข้อมูลมากมายถึงได้ขาดหายไปและปะติดปะต่อกันไม่ได้ ดังนั้นสามารถทำได้แค่ค้นหาเบาะแสจากที่อื่นเท่านั้น
สรุปก็คือโจวเจ๋อแค่ต้องการผีมาสักตนหนึ่ง ในเมื่อจับซุนชิวเข้าไปไม่ได้ ถ้าอย่างนั้นก็จับดวงวิญญาณของครูผู้ดูแลคนนั้นแทนได้เช่นกัน
มีความหมายค่อนไปในทางที่ว่า อยู่ในกองทัพมานานกว่าสามปีเมื่อเห็นแม่สุกรก็รู้สึกว่างดงามกว่าเตียวเสี้ยน[1]
เมื่อลงบันไดมาถึงสำนักงานดูแลหอพักที่ชั้นหนึ่ง ในนั้นมีชายวัยกลางคนสองคนกำลังคุยกันอยู่ คนอื่นๆ ก่อนหน้านี้ถ้าไม่เลิกงานแล้ว ก็อาจจะไปล่า ‘เหยื่อ’ แล้ว
ในที่สุดครั้งนี้โจวเจ๋อและนักพรตเฒ่าก็ได้รับความสนใจจากพวกเขา
“พวกคุณทำอะไรน่ะ!”
ชายคนหนึ่งในนั้นที่ตัดผมทรงทหารชี้ไปที่โจวเจ๋อและถามขึ้น
โจวเจ๋อหยิบบุหรี่หนึ่งมวนมาคาบไว้ในปาก คราวนี้เขาไม่ปล่อยให้นักพรตเฒ่าไปถาม แต่เขาออกปากพูดด้วยตัวเองว่า
“ขอถามอะไรคุณหน่อยสิ เมื่อเร็วๆ นี้มีคนเสียชีวิตในหอพักที่พวกคุณดูแลใช่หรือเปล่า”
ทันทีที่โจวเจ๋อพูดจบ สีหน้าของผู้ดูแลหอพักทั้งสองชะงักและเปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน
“คุณเป็นตำรวจหรือเป็นอะไร” ชายที่ตัดผมทรงทหารถาม
โจวเจ๋อส่ายหน้า
“งั้นเป็นผู้ปกครองนักเรียนเหรอ”
โจวเจ๋อส่ายหน้าอีกครั้ง
“ถ้างั้นคุณจะถามคำถามมากมายไปทำไม ที่นี่คือโรงเรียน คนอื่นที่ไม่เกี่ยวข้องเชิญกลับออกไป” ชายที่ตัดผมทรงทหารเดินเข้ามาดันโจวเจ๋อ
โจวเจ๋อเอื้อมมือออกไปคว้าข้อมือของอีกฝ่าย เล็บงอกยาวออกมาจากนิ้วก้อยและสัมผัสเข้าที่เนื้อของอีกฝ่ายทันที
‘ฉึก…’
ชายที่ตัดผมทรงทหารคุกเข่าลงกับพื้น ใบหน้าบิดเบี้ยว เห็นได้ชัดว่าเจ็บปวดจนบรรยายออกมาไม่ได้
ครูผู้ดูแลหอพักอีกคนเมื่อเห็นฉากนี้ ก็ไม่ได้ขี้ขลาด รีบพุ่งเข้ามาทันที
“ข้ามาคุ้มกันแล้ว!”
ในเวลานี้นักพรตเฒ่าก็พุ่งเข้าไปก่อน หลังจากที่ไหล่ของทั้งสองฝ่ายปะทะกัน นักพรตเฒ่าก็ต่อด้วยทุ่มอีกฝ่ายลงกับพื้นโดยตรง ผู้ดูแลหอพักคนนี้ถูกทุ่มจนหายใจแทบไม่ออก
จริงๆ แล้วนักพรตเฒ่าเป็นมวยและกังฟู ตอนอยู่ในร้านหนังสือเขาดูเหมือนไม่ค่อยมีตัวตนสักเท่าไร แต่นั่นเป็นการเทียบกับยมทูต เทียบกับผีดิบ หากเทียบกับคนธรรมดาทั่วไป เขาก็ไม่กลัวใครเลย
“บอกมาเถอะ”
โจวเจ๋อลากเก้าอี้มาหนึ่งตัวและนั่งลง ปล่อยให้อีกฝ่ายคุกเข่าต่อหน้าเขาแบบนี้
ชายที่ตัดผมทรงทหารมองโจวเจ๋อด้วยสายตาหวาดกลัวสุดขีด แต่เขาไม่ได้ตอบคำถามของโจวเจ๋อ เอาแต่ถามว่า “พวกคุณเป็นใครกันแน่ จะทำอะไร…อ๊ากกก!”
เล็บของโจวเจ๋อสัมผัสเข้ากับผิวเนื้อของชายที่ตัดผมทรงทหาร และในขณะเดียวกันโจวเจ๋อก็เลิกเสื้อผ้าของอีกฝ่ายขึ้นไปอุดปาก ทำให้เขาอยากร้องแต่ก็ร้องออกมาไม่ได้
“คุณร้องออกมาสิ คุณร้องเรียกจนคอแตกก็ไม่มีใครสนใจคุณหรอก”
นักพรตเฒ่ามีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่นอยู่ข้างๆ
“ผมถามอะไร คุณก็ตอบมาสิ”
เถ้าแก่โจวกลุ้มใจกับผลการทำงานหนึ่งเปอร์เซ็นต์นั้นมานานมากแล้ว ไม่ต้องการให้คนที่ไม่เกี่ยวข้องมาพล่ามอะไรไร้สาระจริงๆ
“เมื่อเร็วๆ นี้มีผู้ดูแลหอพักเสียชีวิตใช่หรือไม่”
ชายที่ตัดผมทรงทหารปวดจนน้ำมูกน้ำตาไหลออกมา คราวนี้เขากลัวจริงๆ ดังนั้นเขาจึงพยักหน้าทันทีและพูดว่า
“มะ มีอยู่คนหนึ่ง ชื่อหวังเป่ากัง ประสบอุบัติเหตุตายไปเมื่อเดือนที่แล้ว”
“เป็นอะไรตาย” โจวเจ๋อถาม
“โดดตึก กระโดดตึกตาย โดดจากตึกหอพักชั้นบนลงมา หัวโหม่งพื้นตายคาที่ไปเลย”
“อ้อ เขามีความชอบอะไรเป็นพิเศษหรือเปล่า อย่างเช่นชอบสวมรองเท้าหนังน่ะ”
โดยทั่วไปแล้วผู้ใหญ่สวมใส่รองเท้าหนังนั้นเป็นเรื่องธรรมดา โดยเฉพาะในสถานที่ทำงานบางแห่ง แต่นี่คือโรงเรียน ครูผู้ดูแลหอพักหากพูดให้น่าฟังหน่อยก็ถือว่าเป็นครู แต่ในความเป็นจริงแล้วทางโรงเรียนได้จ้างพวกหนุ่มๆ ที่แข็งแรงมาไว้ใช้เป็น ‘ลูกสมุน’ ไม่เกี่ยวข้องกับครูเลยแม้แต่น้อย
สองคนในห้องนี้คนหนึ่งสวมรองเท้าแตะ อีกคนสวมรองเท้าผ้าใบ สวมใส่รองเท้าหนังมาตรวจหอพักอย่างเข้มงวดนั้น อันที่จริงมันค่อนข้างพิเศษ
“ใช่ เขาชอบสวมรองเท้าหนังและก็ชอบใส่ชุดสูทด้วย เมื่อก่อนพวกเราเคยหัวเราะเยาะเขาที่คิดว่าตัวเองเป็นครูของประชาชนจริงๆ แต่งตัวครบชุดมาทำงานที่นี่ทุกครั้ง”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยมทูตพาร์ตไทม์แห่งร้านหนังสือยามวิกาล