ยมทูตพาร์ตไทม์แห่งร้านหนังสือยามวิกาล นิยาย บท 19

สรุปบท ตอนที่ 19 ไม่ยุติธรรม!: ยมทูตพาร์ตไทม์แห่งร้านหนังสือยามวิกาล

อ่านสรุป ตอนที่ 19 ไม่ยุติธรรม! จาก ยมทูตพาร์ตไทม์แห่งร้านหนังสือยามวิกาล โดย Internet

บทที่ ตอนที่ 19 ไม่ยุติธรรม! คืออีกหนึ่งตอนเด่นในนิยายAction ยมทูตพาร์ตไทม์แห่งร้านหนังสือยามวิกาล ที่นักอ่านห้ามพลาด การดำเนินเรื่องในตอนนี้จะทำให้คุณเข้าใจตัวละครมากขึ้น พร้อมกับพลิกสถานการณ์ที่ไม่มีใครคาดคิด เขียนโดย Internet อย่างเฉียบคมและลึกซึ้ง

ตอนที่ 19 ไม่ยุติธรรม!

“ขึ้นไปดูแล้วเหรอ” โจวเจ๋อถาม

สาวน้อยโลลิส่ายหัว “ข้างบนมืด มองอะไรไม่ชัดเลย”

ทันทีที่พูดเสร็จ สาวน้อยโลลิก็เดินลงมาช้าๆ จากนั้นยืนอยู่ตรงหน้าโจวเจ๋อ

เธอเตี้ยมาก สวมใส่เสื้อผ้าเยอะมาก และมีใบหน้ารูปไข่ที่บอบบางดูเหมือนงานศิลปะแสนประณีตชิ้นหนึ่ง

แต่โจวเจ๋อรู้ดี ลิ้นของเธอนั้นยาว ยาวมาก ยาวจน…ทำให้คนขนหัวลุก

“คุณลุง หนูไปอ่านหนังสือต่อแล้วน้า”

สาวน้อยโลลิยิ้มอย่างน่ารัก และนั่งลงบนม้านั่งพลาสติกตัวเล็กอีกครั้ง หยิบหนังสือเด็กที่มีภาพประกอบขึ้นมาอ่านต่อด้วยความเพลิดเพลิน

โจวเจ๋อยืนข้างหลังเธอ และวางสองมือไว้ด้านหลังเธอ

บีบคอเธอ

บีบคอเธอซะ

ไม่ต้องกลัวว่าเธอจะคิดอย่างไร

และไม่จำเป็นต้องแสร้งแกล้งหลอกเป็นผีอีกต่อไป!

เสียงนี้ดังขึ้นมาในใจของโจวเจ๋อ นี่ไม่ใช่เสียงของคนอื่น แต่เป็นเสียงภายในใจของโจวเจ๋อ

เมื่อเทียบกับสวี่ชิงหล่างเถ้าแก่ร้านบะหมี่ที่อยู่ข้างๆ สาวน้อยโลลิที่อยู่ตรงหน้า ทำให้โจวเจ๋อรู้สึกตื่นเต้นและรังเกียจมาก

เขาเป็นคนช่วยชีวิตเธอ

เธอน่ารักมาก

ฉลาดมาก

เชื่อฟังมาก

มีความรู้มาก

ด้วยหน้าที่และกฎเกณฑ์ที่หายากสำหรับเด็กในวัยนี้

บางทีอาจเป็นเพราะเธอสร้างความประทับใจที่ดีมากๆให้กับตัวเองตั้งแต่แรก เพราะเหตุนี้ หลังจากที่โจวเจ๋อได้เห็นและรู้ธาตุแท้ของเธอ การบิดเบือนและความตาลปัตรของช่องว่างในความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลนั้นลดลง ทำให้ความรังเกียจและการต่อต้านของโจวเจ๋อแกร่งยิ่งขึ้น

สาวน้อยโลลิยังคงอ่านหนังสือของตัวเองต่อไป ราวกับว่าไม่ใส่ใจโจวเจ๋อที่อยู่ด้านหลัง และก็ไม่ได้สนใจอะไรเลย

โจวเจ๋อจ้องมาที่เธอ แม้แต่ขนบางอ่อนเล็กๆ ที่หลังคอก็มองเห็นได้ชัดเจน

บีบ หรือไม่บีบ

สรุปแล้ว บีบหรือไม่บีบ

“พ่อครับ แม่ครับ วันนี้ผมขอพักผ่อนหนึ่งวัน”

สวี่ชิงหล่างวางอาหารจานเย็นและอาหารจานร้อนสองสามจานไว้บนโต๊ะเล็กๆ รวมทั้งวางเหล้าไว้สองแก้วในด้านหลังร้าน

แก้วหนึ่งคือเหมาไถรสชาติที่พ่อชอบที่สุดตอนยังมีชีวิตอยู่

อีกแก้วหนึ่งเป็นไวน์ข้าวที่กลั่นเอง ตอนที่แม่ของเขายังมีชีวิตอยู่ไม่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และเธอก็รังเกียจที่พ่อดื่มเหล้าด้วย ไปกินอาหารเย็นบ้างเป็นบางครั้ง ถ้าที่บ้านคึกคักครื้นเครงสักหน่อย แม่จะดื่มไวน์ข้าวเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

แม่มักจะพูดว่าไวน์ข้าวเลี้ยงคน

วางเชิงเทียนสองเล่มไว้ที่มุมของโต๊ะทั้งสองฝั่ง แสงไฟริบหรี่

หนังมนุษย์ทั้งสองผืนถูกแขวนไว้ที่ตำแหน่งด้านหลังและไร้สายลมพัด

สวี่ชิงหล่างดื่มอวยพรกับพ่อของเขาก่อนหนึ่งจอก แล้วค่อยไปดื่มกับแม่อีกหนึ่งจอกเล็กๆ

หยิบตะเกียบขึ้นมา แล้วพูดกับพ่อแม่

“กินอาหาร กินอาหารได้ พ่อ จะแย่งเนื้อของผมไปกินอีกแล้วเหรอ!”

เขาคีบเนื้อหลายชิ้นแล้วรีบยัดเข้าปากกลืนมันลงไป

ในความทรงจำตอนเด็กๆ พ่อมักจะชอบแกล้งแย่งเนื้อตัวเองกิน แต่ทุกครั้งกลับทำให้ตัวเองต้องกินอย่างตะกละตะกลาม สุดท้ายปากก็บวมเป่งจนกลืนไม่ได้

และในเวลานั้นแม่เขาก็จะโมโหพ่อและคอยตบหลังให้เขาเบาๆ

วันนี้เป็นวันแรกของปีใหม่

คนส่วนใหญ่เซ่นไหว้บูชาบรรพบุรุษก่อนหน้านี้

แต่สวี่ชิงหล่างกลับต่างออกไป ที่เขาทำในวันนี้ก็เพราะว่าพ่อแม่ของเขาเสียชีวิตเพราะอุบัติเหตุไปพร้อมกันในวันนี้

วันฉลองปีใหม่

ในสายตาของคนทั่วไปได้สูญเสียสิ่งที่เรียกว่ากลิ่นอายแห่งปีไปบ้างเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา แต่ที่สวี่ชิงหล่างนี้ หมายความว่าช่วงเวลาที่เศร้ากลับมาเยือนอีกครั้ง

สูดหายใจเข้าลึกๆ

สวี่ชิงหล่างยิ้มแล้วเอ่ยว่า

“พ่อครับ แม่ครับ”

เม้มริมฝีปาก

สวี่ชิงหล่างรินไวน์ข้าวให้ตัวเองอีกจอกแล้วดื่มหมดรวดเดียว

น้ำเมาแสบคอทำให้ใบหน้าที่บอบบางและน่ารักของเขาเปลี่ยนเป็นสีแดงระเรื่อและอ่อนโยนมากยิ่งขึ้น

เขาเป็นผู้ชาย

ใบหน้าที่งดงามกลับเป็นต้นตอของปัญหา

ถ้าวางไว้ในสมัยโบราณคงเป็นข้อห้ามของจักรพรรดิและองค์ชายหลายๆ องค์ แน่นอนว่าแม้ในยุคปัจจุบันหากเขาเต็มใจก็สามารถตามน้ำตามกระแสไปแล้ว

ผู้ชายที่สามารถงัดข้อกับผู้ชายที่ดื้อรั้นได้ มันน่ากลัวแค่ไหน ตัวเองนั้นรู้อยู่แก่ใจ

ลังเลอยู่นาน

ครุ่นคิดอยู่นาน

สวี่ชิงหล่างก็ทนไม่ไหวแล้ว

เอ่ยขึ้น

“ข้างบ้าน…คนข้างบ้านคนนั้น ผมจะหาโอกาสไปถามเขา ถามเขาดู…ถามเขาว่าเขากลับมาได้ยังไงกันแน่!”

สวี่ชิงหล่างไม่ได้เมา แต่เขาพูดไม่ชัดนิดหน่อย

เห็นได้ชัดว่าตัวเขาเองรู้อยู่แก่ใจ คำตอบนี้ คนข้างบ้านคนนั้นไม่ยอมนั่งลงบอกกับตัวเองดีๆ เหมือนกับที่เคยพูดคุยกันเมื่อในอดีตหรอก

ในขั้นตอนนี้ ท้ายที่สุดมันจะไม่เป็นที่พอใจและมันจะช่วยให้ตัวเองใช้วิธีการบางอย่าง

หนังมนุษย์ทั้งสองผืนหยุดแกว่งไกว ราวกับว่าไม่ชอบใจ

“พ่อครับ แม่ครับ ไม่เป็นไรหรอก ลูกชายคนนี้จะต้องทำให้พวกท่านกลับคืนมาให้ได้”

“เคร้ง!”

“เคร้ง!”

ตะเกียบทั้งสองคู่ร่วงหล่นบนพื้น

สวี่ชิงหล่างที่ถือตะเกียบไว้ในมือตัวเองชะงักไปครู่หนึ่ง

แต่ก็ยังคงส่ายหัว

“ไม่ได้”

‘ครั้งนี้จะไม่ฟังพวกท่าน ท่านไม่เห็นด้วย ผมก็จะไปง้างปากของเขาออก!’

บีบ

หรือว่าไม่บีบ

โจวเจ๋อยังคงคิดเรื่องนี้อยู่

เขาไม่รู้ว่าทำไมตัวเองถึงลังเลเช่นนี้ และไม่เข้าใจว่าตอนนี้เขากำลังสับสนตรงไหนอยู่กันแน่

เขาเป็นผี

ผม…ทำไม่ลงจริงๆ นั่นแหละ

แม่ง!

โจวเจ๋อจนปัญญาจริงๆ หันหลังไปเข้าห้องน้ำ เปิดก๊อกน้ำ แล้วสาดน้ำเย็นใส่หน้าตัวเองแรงๆ

“เมื่อก่อนเป็นหมอ การช่วยชีวิตคน มันเป็นสัญชาตญาณ เป็นอาชีพแม่งเอ้ย นายกลายเป็นผีไปแล้วด้วยซ้ำ ช่างเป็นคนดีอะไรอย่างนี้!ตัวไร้ประโยชน์!”

โจวเจ๋อมองเข้าไปในกระจกและเริ่มดุตัวเองในกระจก

หลังจากนั้น โจวเจ๋อกลับพบอีกว่า ความถี่ที่ด่าตัวเองในช่วงนี้ดูเหมือนจะสูงกว่าความถี่ในการด่าสวีเล่อเสียอีก

และสาวน้อยโลลิที่เดิมทีกำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่ในร้านหนังสือ กลับวางหนังสือลงในเวลานี้

สายตาชำเลืองมองไปทางประตูห้องน้ำอย่างลึกซึ้ง แต่กลับไม่ได้เดินไปที่นั่น แต่เดินออกจากร้านหนังสือมาถึงร้านข้างๆ

“พ่อ แม่ ต่อให้พยายามเกลี้ยกล่อมผมยังไงมันก็ไร้ประโยชน์ ผมอยากให้พ่อแม่นั่งกินข้าวกับผมได้จริงๆ ถ้าเขาทำได้ ผมก็ทำให้พวกท่านเป็นแบบนี้ได้เช่นกัน! ครอบครัวของเรา ยังสามารถใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันได้เหมือนเมื่อก่อน”

สวี่ชิงหล่างยังคงพูดพล่ามต่อไป

ทันใดนั้น หนังมนุษย์ทั้งสองผืนที่เดิมทีห้อยอยู่ที่โต๊ะเล็กๆ เริ่มแกว่งไปมาอย่างบ้าคลั่ง

สวีชิงหล่างเผยสีหน้าตกใจ เขาเงยหน้าขึ้นและมองไปที่ยันต์กระดาษสีเหลืองที่แปะอยู่ข้างบนห้อง ด้านหลังของตัวเอง กลับพบว่ายันต์กระดาษเหล่านั้นกลายเป็นสีเทาอย่างไม่ทราบสาเหตุ

ทันใดนั้นเขาก็เปิดม่านและพุ่งออกไป

เขาเห็นสาวน้อย ยืนอยู่ในร้านบะหมี่ของเขา

สาวน้อยอ้าปาก แลบลิ้นยาวๆ ออกมา

ยาวมาก

ยาวเหลือเกิน

ยาวจนน่ากลัว!

“ไปยมโลก ต่อแถวทีละคน”

เสียงของคนที่เศร้าหมองออกมาจากปากของสาวน้อย

วินาทีต่อมา หนังมนุษย์ทั้งสองในห้องด้านหลัง เริ่มเหี่ยวเฉาเซื่องซึมและเสื่อมสภาพ ไม่อ่อนนุ่มและยืดหยุ่นอีกต่อไป และกระแสลมสีขาวสองดวงก็ลอยออกมา ลงมาที่ด้านข้างกายสาวน้อย แปรเปลี่ยนเป็นคนวัยกลางคนสองคนเป็นชายหนึ่งและหญิงหนึ่ง

พวกเขาโยกโอนเอนไปมา เหมือนจะลืมทุกอย่างไป

รู้แค่ว่าเดินทึ่มๆ ทื่อๆ ตามลิ้นยาวของสาวน้อยที่ออกจากปากไปทีละก้าว ราวกับลิ้นของหญิงสาวเป็นบ้านหลังสุดท้ายของพวกเขา และนำพาไปสู่ที่ที่ไม่มีใครรู้จัก

ร่างของพวกเขาค่อยๆ จางลงและเลือนลางมากยิ่งขึ้น

“แก…แก…จริงๆ แก…แกคือ…”

สวี่ชิงหล่างชี้ไปที่สาวน้อยโลลิปากหวานที่ตัวเองเพิ่งจะอุ้มขึ้นเมื่อไม่นานมานี้ ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความตกใจ แต่หลังจากตอนที่เขาเห็นว่าพ่อแม่ของตัวเองค่อยๆ มลายหายไปนั้น

ทันใดนั้นเขาก็เริ่มบ้าคลั่งในทันทีและพยายามจะพุ่งเข้ามา แต่ทว่า เท้าทั้งสองข้างของเขาดูเหมือนถูกพันธนาการไว้และไม่สามารถวิ่งได้ แต่กลับล้มลงกับพื้นอย่างรุนแรง

เขายื่นมือชี้ไปที่พ่อแม่ของตัวเองและเริ่มอ้อนวอน

“อย่าเอาพวกเขาไปเลย อย่าเอาพวกเขาไป ผมไม่ได้ทำร้ายใคร ผมไม่เคยทำร้ายใครมาก่อน ผมเพียงแค่อยากอยู่กับครอบครัว พวกเขาก็ไม่เคยทำร้ายใคร! ไม่ ไม่นะ ผมขอร้อง ผมขอร้องล่ะ ได้โปรด…”

อย่างไรก็ตาม การเผชิญหน้า การร้องไห้อ้อนวอนพร้อมน้ำตาที่ไหลพรากของสวี่ชิงหล่าง

สาวน้อยโลลิยังคงรู้สึกเฉย จนกระทั่งวิญญาณทั้งสองหายไปอย่างสมบูรณ์ และเธอก็เก็บลิ้นยาวๆ ของตัวเองกลับคืนมา จากนั้นจึงเปลี่ยนกลับไปเป็นรูปร่างหน้าตาสาวน้อยที่น่ารักคนนั้นอีกครั้ง

สวี่ชิงหล่างรู้สึกเหมือนถูกคนบังคับขุดพื้นที่ตรงอกของตัวเองไปแล้วสองชิ้น

พ่อแม่ของเขาจากตัวเองไปแล้วอย่างสมบูรณ์

ดวงตาของสวี่ชิงหล่างเต็มไปด้วยเส้นเลือด เขาทุบพื้นกระเบื้องและกระแทกอย่างแรง

ทันใดนั้น เหมือนเขาจะนึกอะไรบางอย่างออก

เขาชี้ไปที่ข้างบ้านและคำรามออกมาทันที

“เขาก็ไม่ใช่มนุษย์ เขาก็ไม่ใช่มนุษย์ ทำไมแกไม่พาเขาไป ทำไมแกถึงไม่พาเขาไปด้วย! มันไม่ยุติธรรม ที่แกทำมันไม่ยุติธรรมเลย! เขาก็ไม่ใช่มนุษย์สักหน่อย ทำไมแกถึงพาแค่พ่อกับแม่ของฉันไป เขาก็ไม่ใช่มนุษย์ ไม่ยุติธรรมเลย ไม่ยุติธรรม!”

……………………………………….

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยมทูตพาร์ตไทม์แห่งร้านหนังสือยามวิกาล