ตอนที่ 20 อย่ากังวลว่าน้อยหรือมาก แต่ควรกังวลว่าจะเท่าเทียมกันหรือเปล่า
ห้องน้ำสวีเล่อตกแต่งไม่ค่อยดีสักเท่าไรนัก มีเพียงอ่างล้างหน้าง่ายๆ กับโถส้วม แม้แต่ฝักบัวอาบน้ำก็ยังไม่มีเลยด้วยซ้ำ ไม่ต้องพูดถึงเตียงชั้นสอง แม้แต่เสื่อฟางก็ไม่มีจัดวาง เพียงเอาไว้ใช้เป็นโกดังเล็กๆ เท่านั้น เพราะในตอนแรกสวีเล่อต้องกลับบ้านทุกวัน
แม้ว่าที่บ้านจะมีพ่อตาแม่ยายที่คอยดูถูกเขาก็ตาม
แม้ว่าที่บ้านจะมีน้องสะใภ้จอมบงการก็ตาม
แม้ว่าที่บ้านจะมีภรรยาที่ไม่นอนกับเขาก็ตาม
แต่สวีเล่อยังคงจัดการเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ในร้านหนังสือจนเสร็จเรียบร้อยในทุกๆ วัน และปิดประตูร้านตอนกลางคืน กลับบ้านอย่างสบาย ๆ
นี่คือชีวิตความเป็นอยู่
พูดถึงเรื่องศักดิ์ศรีไม่ได้
พูดว่าอิสระก็ไม่ได้เช่นกัน
แต่เขาก็เต็มใจยอมลำบาก
เขาขี้ขลาด เขาหวาดกลัว เขาไม่มีความโกรธ
เพราะเขาคือสวีเล่อ เขาไม่ใช่คนใหญ่โตบางคนที่ทิ้งชื่อไว้ในประวัติศาสตร์ ดังนั้นทุกคนจึงคิดว่าเขายังไงก็ได้
หากสวมสถานะของคนใดคนหนึ่งในสมัยโบราณ ก็จะรู้สึกว่าชีวิตของสวีเล่อนั้นเป็นคนที่ฉลาดปราดเปรื่องตีหน้าเซ่อเพิ่มรสชาติของชีวิตจนมากเกินไปโดยไม่มีสาเหตุ
โจวเจ๋อไม่เข้าใจรสชาติชีวิตของสวีเล่อ เขาเติบโตขึ้นมาในสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้า แม้ว่าจะไม่แสดงความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ แต่จริงๆ แล้วมีอยู่ตลอดเวลา ดังนั้นเขาจึงอ่อนไหวและพยายามอย่างหนัก เรียนรู้ ทำงาน และใช้ชีวิตของตัวเอง ทั้งหมดนั้นก็เป็นเช่นนี้ พยายามที่จะทำให้ดีที่สุดและยอดเยี่ยมที่สุดเสมอ
เพียงแต่ว่า ในตอนนี้ เมื่อมองดูใบหน้าที่เปียกปอนในกระจก โจวเจ๋อก็รู้สึกเวทนาในใจ
เวทนาสวีเล่อ แต่ในขณะเดียวกันก็เวทนาตัวเองด้วย
ทุกๆ คนมีกรงเป็นของตัวเอง แต่รูปแบบและขนาดของกรงต่างกัน แต่ท้ายที่สุดก็ยังมีกรงอยู่เสมอ
โจวเจ๋อไม่ได้อยากเป็นราชาแห่งภูติผี และไม่ได้คาดหวังว่าจะต้องพึ่งพาพลังพิเศษของตัวเองเรียกลมเรียกฝนในโลกมนุษย์ อีกด้านหนึ่งเขารู้ดีว่าถ้ายอดเยี่ยมเกินไป ก็จะเกิดเรื่องแย่ๆ ขึ้นในไม่ช้า ในอีกด้านหนึ่ง เป็นเพราะชาติที่แล้วเหนื่อยมามากแล้ว และในชาตินี้อยากเปลี่ยนวิถีชีวิตบ้าง
ไม่ว่ายังไงก็ตาม เขาต้องการมีชีวิตอยู่ เอาชีวิตรอดและใช้ชีวิตต่อไปด้วยร่างกายเนื้อนี้
กางฝ่ามือออก วางไว้ตรงหน้าตัวเอง เล็บก็จางหายไปนานแล้ว และไม่เห็นถึงความแตกต่างเลย
โจวเจ๋อยิ้ม
ช่างมันเถอะ ตัวเองอาจสมควรได้รับมันแล้ว
หยิบผ้าขนหนูเช็ดหน้าและเช็ดมือ โจวเจ๋อเดินออกมาจากห้องน้ำ เพียงแต่เมื่อเขาออกมาอีกครั้ง เดิมทีใบหน้าที่สับสนก็มลายหายไป เปลี่ยนไปเป็นความรู้สึกผ่อนคลายและสบายใจขึ้นเล็กน้อย
สาวน้อยโลลิยังคงนั่งมองดูหนังสือภาพประกอบของตัวเองอยู่บนม้านั่งพลาสติกอย่างตั้งใจ
“คุณลุง หรุยหรุ่ยคอแห้ง”
สาวน้อยโลลิตะโกนบอกโจวเจ๋อ
เหมือนสัตว์เลี้ยงที่ทำตัวน่ารักออดอ้อนเจ้าของ
โจวเจ๋อพยักหน้า หยิบแก้วกระดาษและไปรินน้ำหนึ่งแก้ว ร้อนและเย็นพอดีกัน ส่งไปด้านหน้าสาวน้อยโลลิ
สาวน้อยโลลิรับแก้วน้ำมา ดื่มไปอึกหนึ่ง ยิ้มรูปพระจันทร์เสี้ยวที่มุมปาก
โจวเจ๋อนั่งลงบนพื้นกระเบื้อง เอื้อมมือไปลูบหัวสาวน้อยโลลิ ใจกว้างและไม่มีการป้องกันตัวเลยแม้แต่น้อย
เวลาผ่านไปอย่างช้าๆ
สาวน้อยโลลิอ่านหนังสือต่อไป
โจวเจ๋อก็นอนอยู่ข้างๆ ต่อ
ผู้ใหญ่หนึ่งคน เด็กเล็กหนึ่งคน
กลมเกลียวกันดี
สาวน้อยโลลินำเรื่องราวน่าสนใจที่ตัวเองได้เห็นมาด้านหน้าโจวเจ๋อและแบ่งปันกับเขา โจวเจ๋อตอบโต้กลับไปเช่นกัน และบอกความหมายแฝงที่ลึกซึ้งในนิทานหรือเรื่องสั้นอื่นๆ ให้เธอ
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไร รถเก๋งสีแดงคันนั้นขับเข้ามาอีกครั้ง
แม่ของสาวน้อยผลักประตูเปิดออก และขอบคุณโจวเจ๋อ ตอนมาผมของเธอเป็นอย่างไร ตอนนี้ก็เป็นเหมือนเดิม มุมปากของโจวเจ๋อแอบยิ้ม อยากจะแนะนำให้คุณนายคนนี้ ฝากคำพูดไปที่ร้านตัดผมแห่งนั้นจริงๆ อย่าไปหลอกคนเขาแบบนั้น
แน่นอน ถ้าจะพูดแบบนั้นจริงๆ ละก็ คุณนายก็คงจะกล่าวโทษคุณที่เอาแต่ยุ่งเรื่องของคนอื่นมากไป
สาวน้อยโลลิก้มลงกล่าวขอบคุณโจวเจ๋อ จากนั้นก็ออกไปพร้อมกับแม่ของตัวเอง
ตั้งแต่ต้นจนจบ สาวน้อยโลลิไม่เหลียวหลังมองตัวเองเลยสักนิด
ไปแล้ว ก็คือไปแล้ว
โจวเจ๋อเดินไปที่เคาน์เตอร์และหยิบกล่องของขวัญที่คุณนายให้ตั้งแต่แรก แต่กลับพบว่ามีธนบัตรวางซ้อนกันอยู่ในนั้น สามพันหยวน
ก็ไม่เลว
โจวเจ๋อไม่คิดจะคืนกลับไป
เขาขาดแคลนเงิน เอาไว้ใช้ก่อนก็แล้วกัน
โจวเจ๋อรู้สึกว่าตัวเองคิดออกแล้ว ก็เหมือนกับผู้บำเพ็ญเพียรที่จู่ๆ ก็มีความคิดผุดขึ้นมาอย่างไรอย่างนั้น
แต่ก็รู้สึกเหมือนตัวเองกำลังทุบไหแตกเป็นเสี่ยงๆ จะสนอุปสรรคไปทำไม มีสติซะอย่าง
แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม อย่างน้อยตอนนี้ตัวเองก็รู้สึกผ่อนคลายมากขึ้น
โจวเจ๋อหยิบหนังสือปกใหญ่ขึ้นมาจากชั้นวาง นี่คือความชื่นชมของหนังสือลอกเลียนแบบที่มีชื่อเสียง เป็นสินค้าที่ขายไม่ออกล้วนๆ และไม่รู้ว่าสมองของสวีเล่อถูกประตูเหล็กขนาดยักษ์ทับนับครั้งไม่ถ้วนหรือไม่ แม้แต่หนังสือประเภทนี้ก็นำเข้ามา
พลิกดูสักหน่อย
หน้านี้มีอักษรคำว่า ‘ยากจะสับสน’ สี่ตัวอยู่พอดี
“จุ๊ๆ”
โจวเจ๋อเดาะลิ้น
น่าสนใจ
เมื่อดูเวลาก็พบว่าใกล้ค่ำแล้ว นึกได้ว่าชวนหมอหลินไปดูหนังด้วยกันในตอนเย็น โจวเจ๋อตั้งใจที่จะทานอาหารก่อน
เมื่อเดินไปร้านข้างๆ โจวเจ๋อตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง มองเห็นสวี่ชิงหล่างที่คุกเข่าอยู่บนพื้น
ตาของสวี่ชิงหล่างแดงก่ำและมีขวดเหล้ามากมายวางอยู่ข้างๆ ในเวลานี้เขาถือขวดเหล้าไว้ในมือแล้วดื่มต่อไป
“ไม่ยุติธรรม…ไม่ยุติธรรมเลย…”
สวี่ชิงหล่างพึมพำกับตัวเอง แม้ว่าโจวเจ๋อจะเดินเข้าไปในร้านแล้วก็ตาม ดูเหมือนว่าเขาจะไม่ได้สังเกตเลย
“เฮ้” โจวเจ๋อยื่นมือไปตบบ่าของสวี่ชิงหล่าง “นายโอเคไหม”
เขาอยากจะดึงสติสวี่ชิงหล่างมาก สำหรับผู้ชายคนอื่นแล้วการดื่มเหล้าเมา มีความเป็นไปได้ที่จะถูกขโมยเงินแค่นั้น แต่ถ้าเป็นสวี่ชิงหล่างเองเมาแล้ว พรวดพราดออกไป มันจะไม่แค่เหมือนกับการทำเงินหายน่ะสิ
กระทั่ง ถ้าจะปล่อยให้เขานอนอยู่กลางถนนกับผู้หญิงตอนดึกก็ตาม สวี่ชิงหล่างอาจจะถูกลวนลามมากกว่าผู้หญิงคนนั้นหลายครั้งเลยก็ได้
สวี่ชิงหล่างตัวสั่นเล็กน้อยและเงยหน้าขึ้นอย่างช้าๆ ดอกสาลี่ต้องหยาดฝน น่าสงสารมาก บีบกล้วยไม้ในมือ ชี้ไปที่โจวเจ๋อ และเอ่ยอย่างเศร้าใจ
“วันนี้เป็นวันตายของพ่อแม่ผม”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยมทูตพาร์ตไทม์แห่งร้านหนังสือยามวิกาล