ยมทูตพาร์ตไทม์แห่งร้านหนังสือยามวิกาล นิยาย บท 213

ตอนที่ 213 รอยยิ้ม (3)

เสียงเอ่ยคำว่า ‘โยชิ’[1] ได้อธิบายทุกอย่างแล้ว

ในฐานะที่ชาติก่อนเป็นแพทย์คนหนึ่ง โจวเจ๋อรู้ดีว่าการพัฒนายาตัวใหม่และความก้าวหน้าทางการแพทย์นั้นหนีไม่พ้นการใช้มนุษย์ทดลองแบบนี้ไปได้ ‘เสินหนงลิ้มรสสมุนไพรนับร้อย’ เป็นต้นแบบที่ดีที่สุด อาจกล่าวได้ว่าเป็นผู้ริเริ่มการใช้มนุษย์ทดลอง แต่ในที่นี้เขาใช้ร่างกายของตนเองทำการทดลอง ดังนั้นถึงได้ดูยิ่งใหญ่และประเสริฐ

แต่ในการแพทย์ในปัจจุบันได้เปลี่ยนเป็นระบบที่ค่อนข้างสมบูรณ์และครบถ้วนแล้ว การวิจัยและพัฒนาตัวยาใหม่มีมาตรฐานและกระบวนการของตัวมันเอง มีการค้นหาและกำหนดสูตรยาในระยะแรก มีการทดลองกับสัตว์ในระยะกลาง รวมถึงการทดลองทางคลินิกระยะที่ 1 ระยะที่ 2 และระยะที่ 3 ผลข้างเคียงที่เป็นไปได้ของยาและอันตรายอื่น ๆ ที่อาจเกิดขึ้นตามทฤษฎีมักถูกบีบอัดให้อยู่ในช่วงที่ควบคุมได้และยอมรับได้

มนุษย์กำลังเพิ่มโมเสกและผูกมัดความก้าวหน้าของตนเองอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย บางทีในสายตาของคนบ้าวิทยาศาสตร์บางคน นี่เป็นเครื่องพันธนาการตนเอง แต่แท้จริงแล้วนี่คือสัญชาตญาณในการปกป้องตนเองของมนุษย์

ไม่ว่าจะพัฒนาในสาขาวิชาใดๆ ก็ตาม เป้าหมายสูงสุดแท้จริงแล้วการชดเชยให้กับมนุษย์ ไม่ใช่เพื่อทำร้ายตัวเองเมื่อชาติที่แล้ว ศาสตราจารย์ด้านการแพทย์จากประเทศญี่ปุ่นเคยมาเยือนประเทศจีนและบรรยายแลกเปลี่ยนความรู้ในวงการแพทย์ เขามักจะพูดถึงอาจารย์ของเขา ทุกครั้งที่พูดเกี่ยวกับทิศทางและนโยบายทั่วไปจะต้องนำอาจารย์ออกมาอ้างอิงอย่างแน่นอน เมื่ออาจารย์ของเขายังมีชีวิตอยู่ เคยเป็นไท่ซานเป่ยโต่ว[2]ในวงการศัลยแพทย์ชาวญี่ปุ่น

ตามแนวความคิดการแพทย์ไร้พรมแดน หลังจากโจวเจ๋อฟังการบรรยายทั้งหมดจนจบแล้ว ก็กลับไปค้นหาและปรึกษากับคนที่เกี่ยวข้องในวงการอุตสาหกรรมนี้ ถึงได้พบว่าอาจารย์ที่เป็นไท่ซานเป่ยโต่วคนนั้นเคยเข้าร่วมในโครงการวิจัยที่ใช้มนุษย์ทดลองในช่วงสงครามรุกรานจีน

ด้วยเหตุผลพิเศษนี้ บุคคลจำพวกนี้ไม่ได้ถูกส่งไปที่แท่นพิจารณาตัดสินคดีหรือบนตะแลงแกงรอแขวนคอ ตรงกันข้าม หลังจากกลับประเทศพวกเขามักจะกลายเป็นศาสตราจารย์หรือแม้กระทั่งผู้อำนวยการในโรงพยาบาลท้องถิ่นขนาดใหญ่บางแห่งในญี่ปุ่น และยังกลายเป็นนักวิชาการด้านการแพทย์ในบางสาขาวิชาระดับโลกอีกด้วย

มันเป็นการเย้ยหยันอำนาจมืดอย่างหนึ่งจริงๆ

กลุ่มคนสวมชุดกาวน์สีขาวล้อมรอบทารกที่ถูกอุ้มไว้ พร้อมกับปรบมือกันอย่างต่อเนื่อง

แต่เพียงไม่นาน

ทารกที่ถูกผ่าออกมาโดยตรงจากมารดาที่ตายไปแล้วอย่างหยาบคายและง่ายดายคนนั้น ทั้งร่างทารกเป็นสีดำและแน่นิ่งไม่ไหวติงเช่นกัน

คนสวมชุดกาวน์สีขาววัยกลางคนวางทารกลง จากนั้นจึงเริ่มทำการผ่ากายวิภาคทารก และคนสวมชุดกาวน์สีขาวคนอื่นๆ รอบๆ ก็เตรียมพร้อมสำหรับการบันทึกงานเช่นกัน

หลังจากการผ่ากายวิภาคในขั้นเริ่มต้นเสร็จสิ้น ดูเหมือนว่าพวกเขาจะพอใจกับความก้าวหน้าของการวิจัยในวันนี้แล้ว เห็นได้ชัดว่าพวกเขาพอใจมาก และเหมือนว่าพวกเขาวางแผนที่จะดำเนินการศึกษาตัวอย่างในการทดลองนี้ต่อไป

ชายหนุ่มสวมชุดกาวน์สีขาวคนหนึ่งยื่นมือชี้ไปที่โจวเจ๋อ ดูเหมือนกำลังถามว่ายังมีอีกหนึ่งตัวอย่างที่นี่จะจัดการอย่างไรดี

ชายวัยกลางคนในชุดกาวน์สีขาวตอบกลับด้วยประโยคภาษาญี่ปุ่น โจวเจ๋อฟังไม่ออก แต่สามารถสัมผัสได้จากน้ำเสียงของเขา ความหมายของอีกฝ่ายก็คือหาสักโปรเจกต์หนึ่งอะไรก็ได้ให้เขา ให้ความรู้สึกประมาณว่าถึงอย่างไรแหล่งสินค้าก็เพียงพอ วันนี้ทุกคนมีข้อมูลจากการค้นพบเพียงพอแล้ว คุณก็แค่ทำอะไรก็ได้ง่ายๆ ก็พอแล้ว

หลังจากนั้น ที่นี่เหลือคนสวมชุดกาวน์สีขาวอยู่ต่อเพียงแค่หนึ่งคน ส่วนคนสวมชุดกาวน์คนอื่นๆ ก็นำร่างของทารกจากออกไปอย่างตื่นเต้น

ชายหนุ่มสวมชุดกาวน์สีขาวคนนี้ดูกระตือรือร้นที่จะได้ลอง เหมือนกับเด็กน้อยที่ก่อนหน้านี้ทำได้เพียงมองดูผู้ใหญ่เล่นเกมอยู่ข้างๆ ในที่สุดตอนนี้ก็สามารถลงมือด้วยตัวเอง ซึ่งมันเป็นความตื่นเต้นที่ยากจะอธิบายอย่างหนึ่ง

“มารุตะ…หึ…”

ชายหนุ่มสวมชุดกาวน์สีขาวพึมพำกับตัวเองเป็นภาษาญี่ปุ่น โจวเจ๋อก็ยังฟังไม่ออกอยู่ดี แต่ในนั้นมีอยู่หนึ่งคำที่โจวเจ๋อฟังออกแล้ว

‘มารุตะ’ ในภาษาญี่ปุ่นมีความหมายว่า ‘ท่อนซุง’ สามารถเข้าใจได้ว่าเป็นวัสดุธรรมดาทั่วไป จากการเรียกชื่อนี้จะเห็นได้ถึงท่าทีของชาวญี่ปุ่นที่มีต่อกลุ่มตัวอย่างที่มีชีวิตที่ถูกขังอยู่ในคุกใต้ดินตรงหน้าพวกเขา

โจวเจ๋อลืมตาครึ่งหนึ่ง ตอนนี้เขาไม่มีความคิดที่จะหยุดความฝันนี้เหมือนในครั้งแรกอีกแล้ว ในเมื่อหลังจากออกจากความฝันนี้เขายังตื่นขึ้นมาได้ หรือไม่ก็หลังจากมีคนอื่นมาปลุกขัดจังหวะความฝันนี้ เขาก็ยังกลับเข้ามายังความฝันนี้โดยไม่รู้ตัวอีกอยู่ดี แทนที่จะแบ่งฝันร้ายออกเป็นฉากๆ แล้วเพลิดเพลินกับมันอย่างไม่รีบร้อนเหมือนกับกินอาหารยุโรป ไม่สู้สวาปาม กินมันให้หมดในรวดเดียวดีกว่า

อีกอย่างโจวเจ๋อรู้สึกสงสัยเกี่ยวกับความฝันแปลกๆ นี้มากขึ้นเรื่อยๆ ท่ามกลางความมืดมิดราวกับมีอะไรบางอย่างคอยฉุดดึงเขาเอาไว้ตลอดเวลา

ทารกที่ถูกชาวญี่ปุ่นคนนั้นอุ้มออกไป หลังจากนั้นก็น่าจะกลายเป็นผีร้าย ถึงอย่างไรในความฝันครั้งที่แล้ว โจวเจ๋อเคยเห็นทารกคนนี้คลานออกมาจากท้องของ ‘เขา’ และคลานกลับเข้าไปอีก

บางทีการก่อตัวของความฝันนี้น่าจะเกี่ยวข้องกับดวงวิญญาณของทารกคนนี้เป็นอย่างมาก

ในขณะที่ความคิดของโจวเจ๋อกำลังฟุ้งซ่านอยู่นั้น คนสวมชุดกาวน์สีขาวคนนั้นใช้เข็มฉีดยาฉีดอะไรบางอย่างให้โจวเจ๋อ

หลังจากที่ฉีดสิ่งนั้นเข้าไปในร่างกายแล้ว โจวเจ๋อรู้สึกปวดแสบปวดร้อนตรงแขนซ้ายที่ถูกฉีดเข้าไป จากนั้นความเจ็บปวดก็เริ่มไหลเวียนไปตามกระแสเลือดและลามไปทั่วร่างกาย

โจวเจ๋อนึกถึงหญิงตั้งครรภ์คนนั้น ในตอนสุดท้ายเธอถูกทรมานจนตายทั้งเป็นบนเตียงรถเข็นเปล ตัวเขาเองก็จะเดินตามรอยเธอไปอย่างนั้นเหรอ

แต่ชายหนุ่มสวมชุดกาวน์สีขาวกลับปลดตัวล็อกของโจวเจ๋อออกโดยตรง เหลือเพียงโซ่ตรวนบนข้อเท้าเท่านั้น จากนั้นเขาเอาเชือกมาผูกข้อมือของโจวเจ๋อเอาไว้ ตามด้วยหยิบห่วงโลหะจากด้านข้างมาหนึ่งวง แล้วคล้องลงบนคอของโจวเจ๋อ

โจวเจ๋อเคยเห็นเจ้าสิ่งนี้มาก่อน โรงพยาบาลจิตเวชชอบใช้ของสิ่งนี้จับผู้ป่วยทางจิต ในบรรดาอุปกรณ์ป้องกันการก่อจลาจลของสถานีตำรวจบางแห่งก็มีสิ่งนี้อยู่ เป็นตัวหนีบขนาดใหญ่ เพียงแค่คล้องเข้าที่คอของอาชญากร โดยพื้นฐานแล้วก็สามารถปราบให้สงบลงได้

เพราะความเจ็บปวดที่ยากจะทนไหว โจวเจ๋อจึงพลิกตัวร่วงลงจากเตียงรถเข็นเปล คนสวมชุดกาวน์สีขาวจับด้วยมือเพียงข้างเดียว ควบคุมโจวเจ๋อเอาไว้ ส่วนมืออีกข้างหนึ่งจับปากกา มองนาฬิกา เหมือนกำลังบันทึกข้อมูลบางอย่าง

รู้สึกปวดบวม เจ็บปวดทรมาน ตะคริวบีบรัดกล้ามเนื้อ และเกิดอาการชักกระตุก เดิมทีโจวเจ๋อนึกว่าเขาจะต้องประสบกับความเจ็บปวดนั้นอีกครั้ง แต่ไม่รู้ว่าทำไม ความเจ็บปวดทรมานเหล่านี้เริ่มออกห่างจากเขาไปอย่างช้าๆ

เขายังคงอยู่ในมุมมองบุคคลที่หนึ่งเหมือนเดิม เขายังอยู่ในร่างนี้เหมือนเดิม เขาสามารถสัมผัสได้ถึงความทรมานอย่างถึงที่สุดที่ร่างกายกำลังเผชิญอยู่ในขณะนี้ แต่ดูเหมือนว่าเขาจะรู้สึกด้านชาไปบ้างเล็กน้อย และคล้ายจะหลุดพ้นไปแล้วเช่นกัน

ร่างกายเริ่มคลานออกไปโดยไม่รู้ตัว โจวเจ๋อเหมือนเป็นผู้ชมคนหนึ่งเสียอย่างนั้น เมื่อดูจากมุมมองนี้ต่อไป รู้สึกเหมือนกำลังสวมแว่นตาวีอาร์ดูสารคดีเรื่องหนึ่ง

บางทีนี่อาจจะเป็นความโชคดีในความโชคร้ายอย่างหนึ่งก็ได้ หรือบางทีความฝันนี้อาจจะคิดว่า เมื่อความเจ็บปวดแบบนี้ถ่ายทอดไปยังประสาทสัมผัสทั้งห้าของเขาอย่างเท่าเทียมกัน ก็อาจจะทำให้ร่างกายที่แท้จริงตอบสนองตามความเป็นจริง ถึงเวลานั้นความฝันนี้ก็จะถูกตัดขาดออกไป

ลองนึกภาพที่หญิงตั้งครรภ์คนนั้นตายอย่างอนาถเมื่อสักครู่แล้ว แม้กระทั่งโจวเจ๋อก็รู้สึกว่าถ้าหากการทรมานแบบเดียวกันเกิดขึ้นกับตัวเขา เขาอาจจะเข้าสู่สภาวะ ‘ผีดิบ’ ในโลกแห่งความเป็นจริงอย่างไม่รู้ตัวก็ได้

ราวกับว่าชายหนุ่มสวมชุดกาวน์สีขาวจะปล่อยให้ ‘มารุตะ’ ของเขาเริ่มคลานออกไป เหมือนกับกำลังจูงสุนัขไปเดินเล่น ดูผ่อนคลายและพึงพอใจมาก

หลังจากคลานออกจากห้องทดลองแห่งนี้ไป เขาก็คลานไปเรื่อยๆ ตามทางเดิน

โจวเจ๋อมองเห็นสถานการณ์ของห้องทดลองห้องอื่นๆ และแม้แต่ตรงทางเดินก็มีคนสวมชุดกาวน์สีขาวเดินผ่านไป แต่สำหรับเรื่องนี้ก็ไม่น่าแปลกใจอะไร

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยมทูตพาร์ตไทม์แห่งร้านหนังสือยามวิกาล