ยมทูตพาร์ตไทม์แห่งร้านหนังสือยามวิกาล นิยาย บท 213

ตอนที่ 213 รอยยิ้ม (3)

เสียงเอ่ยคำว่า ‘โยชิ’[1] ได้อธิบายทุกอย่างแล้ว

ในฐานะที่ชาติก่อนเป็นแพทย์คนหนึ่ง โจวเจ๋อรู้ดีว่าการพัฒนายาตัวใหม่และความก้าวหน้าทางการแพทย์นั้นหนีไม่พ้นการใช้มนุษย์ทดลองแบบนี้ไปได้ ‘เสินหนงลิ้มรสสมุนไพรนับร้อย’ เป็นต้นแบบที่ดีที่สุด อาจกล่าวได้ว่าเป็นผู้ริเริ่มการใช้มนุษย์ทดลอง แต่ในที่นี้เขาใช้ร่างกายของตนเองทำการทดลอง ดังนั้นถึงได้ดูยิ่งใหญ่และประเสริฐ

แต่ในการแพทย์ในปัจจุบันได้เปลี่ยนเป็นระบบที่ค่อนข้างสมบูรณ์และครบถ้วนแล้ว การวิจัยและพัฒนาตัวยาใหม่มีมาตรฐานและกระบวนการของตัวมันเอง มีการค้นหาและกำหนดสูตรยาในระยะแรก มีการทดลองกับสัตว์ในระยะกลาง รวมถึงการทดลองทางคลินิกระยะที่ 1 ระยะที่ 2 และระยะที่ 3 ผลข้างเคียงที่เป็นไปได้ของยาและอันตรายอื่น ๆ ที่อาจเกิดขึ้นตามทฤษฎีมักถูกบีบอัดให้อยู่ในช่วงที่ควบคุมได้และยอมรับได้

มนุษย์กำลังเพิ่มโมเสกและผูกมัดความก้าวหน้าของตนเองอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย บางทีในสายตาของคนบ้าวิทยาศาสตร์บางคน นี่เป็นเครื่องพันธนาการตนเอง แต่แท้จริงแล้วนี่คือสัญชาตญาณในการปกป้องตนเองของมนุษย์

ไม่ว่าจะพัฒนาในสาขาวิชาใดๆ ก็ตาม เป้าหมายสูงสุดแท้จริงแล้วการชดเชยให้กับมนุษย์ ไม่ใช่เพื่อทำร้ายตัวเองเมื่อชาติที่แล้ว ศาสตราจารย์ด้านการแพทย์จากประเทศญี่ปุ่นเคยมาเยือนประเทศจีนและบรรยายแลกเปลี่ยนความรู้ในวงการแพทย์ เขามักจะพูดถึงอาจารย์ของเขา ทุกครั้งที่พูดเกี่ยวกับทิศทางและนโยบายทั่วไปจะต้องนำอาจารย์ออกมาอ้างอิงอย่างแน่นอน เมื่ออาจารย์ของเขายังมีชีวิตอยู่ เคยเป็นไท่ซานเป่ยโต่ว[2]ในวงการศัลยแพทย์ชาวญี่ปุ่น

ตามแนวความคิดการแพทย์ไร้พรมแดน หลังจากโจวเจ๋อฟังการบรรยายทั้งหมดจนจบแล้ว ก็กลับไปค้นหาและปรึกษากับคนที่เกี่ยวข้องในวงการอุตสาหกรรมนี้ ถึงได้พบว่าอาจารย์ที่เป็นไท่ซานเป่ยโต่วคนนั้นเคยเข้าร่วมในโครงการวิจัยที่ใช้มนุษย์ทดลองในช่วงสงครามรุกรานจีน

ด้วยเหตุผลพิเศษนี้ บุคคลจำพวกนี้ไม่ได้ถูกส่งไปที่แท่นพิจารณาตัดสินคดีหรือบนตะแลงแกงรอแขวนคอ ตรงกันข้าม หลังจากกลับประเทศพวกเขามักจะกลายเป็นศาสตราจารย์หรือแม้กระทั่งผู้อำนวยการในโรงพยาบาลท้องถิ่นขนาดใหญ่บางแห่งในญี่ปุ่น และยังกลายเป็นนักวิชาการด้านการแพทย์ในบางสาขาวิชาระดับโลกอีกด้วย

มันเป็นการเย้ยหยันอำนาจมืดอย่างหนึ่งจริงๆ

กลุ่มคนสวมชุดกาวน์สีขาวล้อมรอบทารกที่ถูกอุ้มไว้ พร้อมกับปรบมือกันอย่างต่อเนื่อง

แต่เพียงไม่นาน

ทารกที่ถูกผ่าออกมาโดยตรงจากมารดาที่ตายไปแล้วอย่างหยาบคายและง่ายดายคนนั้น ทั้งร่างทารกเป็นสีดำและแน่นิ่งไม่ไหวติงเช่นกัน

คนสวมชุดกาวน์สีขาววัยกลางคนวางทารกลง จากนั้นจึงเริ่มทำการผ่ากายวิภาคทารก และคนสวมชุดกาวน์สีขาวคนอื่นๆ รอบๆ ก็เตรียมพร้อมสำหรับการบันทึกงานเช่นกัน

หลังจากการผ่ากายวิภาคในขั้นเริ่มต้นเสร็จสิ้น ดูเหมือนว่าพวกเขาจะพอใจกับความก้าวหน้าของการวิจัยในวันนี้แล้ว เห็นได้ชัดว่าพวกเขาพอใจมาก และเหมือนว่าพวกเขาวางแผนที่จะดำเนินการศึกษาตัวอย่างในการทดลองนี้ต่อไป

ชายหนุ่มสวมชุดกาวน์สีขาวคนหนึ่งยื่นมือชี้ไปที่โจวเจ๋อ ดูเหมือนกำลังถามว่ายังมีอีกหนึ่งตัวอย่างที่นี่จะจัดการอย่างไรดี

ชายวัยกลางคนในชุดกาวน์สีขาวตอบกลับด้วยประโยคภาษาญี่ปุ่น โจวเจ๋อฟังไม่ออก แต่สามารถสัมผัสได้จากน้ำเสียงของเขา ความหมายของอีกฝ่ายก็คือหาสักโปรเจกต์หนึ่งอะไรก็ได้ให้เขา ให้ความรู้สึกประมาณว่าถึงอย่างไรแหล่งสินค้าก็เพียงพอ วันนี้ทุกคนมีข้อมูลจากการค้นพบเพียงพอแล้ว คุณก็แค่ทำอะไรก็ได้ง่ายๆ ก็พอแล้ว

หลังจากนั้น ที่นี่เหลือคนสวมชุดกาวน์สีขาวอยู่ต่อเพียงแค่หนึ่งคน ส่วนคนสวมชุดกาวน์คนอื่นๆ ก็นำร่างของทารกจากออกไปอย่างตื่นเต้น

ชายหนุ่มสวมชุดกาวน์สีขาวคนนี้ดูกระตือรือร้นที่จะได้ลอง เหมือนกับเด็กน้อยที่ก่อนหน้านี้ทำได้เพียงมองดูผู้ใหญ่เล่นเกมอยู่ข้างๆ ในที่สุดตอนนี้ก็สามารถลงมือด้วยตัวเอง ซึ่งมันเป็นความตื่นเต้นที่ยากจะอธิบายอย่างหนึ่ง

“มารุตะ…หึ…”

ชายหนุ่มสวมชุดกาวน์สีขาวพึมพำกับตัวเองเป็นภาษาญี่ปุ่น โจวเจ๋อก็ยังฟังไม่ออกอยู่ดี แต่ในนั้นมีอยู่หนึ่งคำที่โจวเจ๋อฟังออกแล้ว

‘มารุตะ’ ในภาษาญี่ปุ่นมีความหมายว่า ‘ท่อนซุง’ สามารถเข้าใจได้ว่าเป็นวัสดุธรรมดาทั่วไป จากการเรียกชื่อนี้จะเห็นได้ถึงท่าทีของชาวญี่ปุ่นที่มีต่อกลุ่มตัวอย่างที่มีชีวิตที่ถูกขังอยู่ในคุกใต้ดินตรงหน้าพวกเขา

โจวเจ๋อลืมตาครึ่งหนึ่ง ตอนนี้เขาไม่มีความคิดที่จะหยุดความฝันนี้เหมือนในครั้งแรกอีกแล้ว ในเมื่อหลังจากออกจากความฝันนี้เขายังตื่นขึ้นมาได้ หรือไม่ก็หลังจากมีคนอื่นมาปลุกขัดจังหวะความฝันนี้ เขาก็ยังกลับเข้ามายังความฝันนี้โดยไม่รู้ตัวอีกอยู่ดี แทนที่จะแบ่งฝันร้ายออกเป็นฉากๆ แล้วเพลิดเพลินกับมันอย่างไม่รีบร้อนเหมือนกับกินอาหารยุโรป ไม่สู้สวาปาม กินมันให้หมดในรวดเดียวดีกว่า

อีกอย่างโจวเจ๋อรู้สึกสงสัยเกี่ยวกับความฝันแปลกๆ นี้มากขึ้นเรื่อยๆ ท่ามกลางความมืดมิดราวกับมีอะไรบางอย่างคอยฉุดดึงเขาเอาไว้ตลอดเวลา

ทารกที่ถูกชาวญี่ปุ่นคนนั้นอุ้มออกไป หลังจากนั้นก็น่าจะกลายเป็นผีร้าย ถึงอย่างไรในความฝันครั้งที่แล้ว โจวเจ๋อเคยเห็นทารกคนนี้คลานออกมาจากท้องของ ‘เขา’ และคลานกลับเข้าไปอีก

บางทีการก่อตัวของความฝันนี้น่าจะเกี่ยวข้องกับดวงวิญญาณของทารกคนนี้เป็นอย่างมาก

ในขณะที่ความคิดของโจวเจ๋อกำลังฟุ้งซ่านอยู่นั้น คนสวมชุดกาวน์สีขาวคนนั้นใช้เข็มฉีดยาฉีดอะไรบางอย่างให้โจวเจ๋อ

หลังจากที่ฉีดสิ่งนั้นเข้าไปในร่างกายแล้ว โจวเจ๋อรู้สึกปวดแสบปวดร้อนตรงแขนซ้ายที่ถูกฉีดเข้าไป จากนั้นความเจ็บปวดก็เริ่มไหลเวียนไปตามกระแสเลือดและลามไปทั่วร่างกาย

โจวเจ๋อนึกถึงหญิงตั้งครรภ์คนนั้น ในตอนสุดท้ายเธอถูกทรมานจนตายทั้งเป็นบนเตียงรถเข็นเปล ตัวเขาเองก็จะเดินตามรอยเธอไปอย่างนั้นเหรอ

แต่ชายหนุ่มสวมชุดกาวน์สีขาวกลับปลดตัวล็อกของโจวเจ๋อออกโดยตรง เหลือเพียงโซ่ตรวนบนข้อเท้าเท่านั้น จากนั้นเขาเอาเชือกมาผูกข้อมือของโจวเจ๋อเอาไว้ ตามด้วยหยิบห่วงโลหะจากด้านข้างมาหนึ่งวง แล้วคล้องลงบนคอของโจวเจ๋อ

โจวเจ๋อเคยเห็นเจ้าสิ่งนี้มาก่อน โรงพยาบาลจิตเวชชอบใช้ของสิ่งนี้จับผู้ป่วยทางจิต ในบรรดาอุปกรณ์ป้องกันการก่อจลาจลของสถานีตำรวจบางแห่งก็มีสิ่งนี้อยู่ เป็นตัวหนีบขนาดใหญ่ เพียงแค่คล้องเข้าที่คอของอาชญากร โดยพื้นฐานแล้วก็สามารถปราบให้สงบลงได้

เพราะความเจ็บปวดที่ยากจะทนไหว โจวเจ๋อจึงพลิกตัวร่วงลงจากเตียงรถเข็นเปล คนสวมชุดกาวน์สีขาวจับด้วยมือเพียงข้างเดียว ควบคุมโจวเจ๋อเอาไว้ ส่วนมืออีกข้างหนึ่งจับปากกา มองนาฬิกา เหมือนกำลังบันทึกข้อมูลบางอย่าง

รู้สึกปวดบวม เจ็บปวดทรมาน ตะคริวบีบรัดกล้ามเนื้อ และเกิดอาการชักกระตุก เดิมทีโจวเจ๋อนึกว่าเขาจะต้องประสบกับความเจ็บปวดนั้นอีกครั้ง แต่ไม่รู้ว่าทำไม ความเจ็บปวดทรมานเหล่านี้เริ่มออกห่างจากเขาไปอย่างช้าๆ

เขายังคงอยู่ในมุมมองบุคคลที่หนึ่งเหมือนเดิม เขายังอยู่ในร่างนี้เหมือนเดิม เขาสามารถสัมผัสได้ถึงความทรมานอย่างถึงที่สุดที่ร่างกายกำลังเผชิญอยู่ในขณะนี้ แต่ดูเหมือนว่าเขาจะรู้สึกด้านชาไปบ้างเล็กน้อย และคล้ายจะหลุดพ้นไปแล้วเช่นกัน

ร่างกายเริ่มคลานออกไปโดยไม่รู้ตัว โจวเจ๋อเหมือนเป็นผู้ชมคนหนึ่งเสียอย่างนั้น เมื่อดูจากมุมมองนี้ต่อไป รู้สึกเหมือนกำลังสวมแว่นตาวีอาร์ดูสารคดีเรื่องหนึ่ง

บางทีนี่อาจจะเป็นความโชคดีในความโชคร้ายอย่างหนึ่งก็ได้ หรือบางทีความฝันนี้อาจจะคิดว่า เมื่อความเจ็บปวดแบบนี้ถ่ายทอดไปยังประสาทสัมผัสทั้งห้าของเขาอย่างเท่าเทียมกัน ก็อาจจะทำให้ร่างกายที่แท้จริงตอบสนองตามความเป็นจริง ถึงเวลานั้นความฝันนี้ก็จะถูกตัดขาดออกไป

ลองนึกภาพที่หญิงตั้งครรภ์คนนั้นตายอย่างอนาถเมื่อสักครู่แล้ว แม้กระทั่งโจวเจ๋อก็รู้สึกว่าถ้าหากการทรมานแบบเดียวกันเกิดขึ้นกับตัวเขา เขาอาจจะเข้าสู่สภาวะ ‘ผีดิบ’ ในโลกแห่งความเป็นจริงอย่างไม่รู้ตัวก็ได้

ราวกับว่าชายหนุ่มสวมชุดกาวน์สีขาวจะปล่อยให้ ‘มารุตะ’ ของเขาเริ่มคลานออกไป เหมือนกับกำลังจูงสุนัขไปเดินเล่น ดูผ่อนคลายและพึงพอใจมาก

หลังจากคลานออกจากห้องทดลองแห่งนี้ไป เขาก็คลานไปเรื่อยๆ ตามทางเดิน

โจวเจ๋อมองเห็นสถานการณ์ของห้องทดลองห้องอื่นๆ และแม้แต่ตรงทางเดินก็มีคนสวมชุดกาวน์สีขาวเดินผ่านไป แต่สำหรับเรื่องนี้ก็ไม่น่าแปลกใจอะไร

เมื่อผ่านห้องทดลองแห่งหนึ่ง โจวเจ๋อเห็นชายสองคนนอนอยู่บนเตียงรถเข็นเปลในห้องทดลอง ชายสองคนนั้นแต่ละคนเพิ่งถูกตัดแขนออกไปหนึ่งข้าง และคนสวมชุดกาวน์สีขาวสองสามคนก็กำลังยุ่งอยู่กับการต่อแขนอยู่

สำหรับการแพทย์ในปัจจุบันแล้ว นี่เป็นการผ่าตัดและการทดลองที่น่าขำมากที่สุด จนกระทั่งสามารถบอกได้ว่าเพ้อเจ้อไร้สาระมาก

แต่ว่าที่นี่นั้นกลับกำลังเผยออกมาอย่างโจ่งแจ้ง

โครงการวิจัยลักษณะนี้มีไว้เพื่อกองทัพจักรวรรดิที่ได้รับบาดเจ็บและพิการในสนามรบ หากสามารถเปลี่ยนแขนขาได้ พวกเขาคิดว่ามันจะสามารถปรับปรุงประสิทธิภาพการต่อสู้ของกองทัพจักรวรรดิได้

ไม่รู้ว่าเป็นเพราะชายหนุ่มสวมชุดกาวน์สีขาวคนนี้จงใจหรือเปล่า และต้องการบันทึกข้อมูลอะไร บางทีของเหลวที่เขาฉีดเข้าไปในร่างกายของสิ่งมีชีวิตนี้อาจจะน้อยกว่าหญิงตั้งครรภ์ก่อนหน้านี้ ดังนั้นร่างกายของสิ่งมีชีวิตนี้จึงยังสามารถยืดเวลาคลานต่อไปได้นานยิ่งขึ้นและไม่ตายเร็ว แน่นอนว่าเวลาของการเจ็บปวดทรมานนี้ก็เพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ

โจวเจ๋อยังมองเห็นผู้หญิงห้าคนนอนอยู่ในห้องทดลองแห่งหนึ่ง สิ่งที่พวกเธอเหมือนกันคือท้องถูกผ่าออก ทั้งห้าคนเสียชีวิตแล้ว ถ้าเดาไม่ผิดละก็ พวกเธอน่าจะเป็นหญิงตั้งครรภ์ทั้งหมด และทารกในครรภ์ก็ถูกนำออกไปด้วย

เป็นเรื่องที่คุณยากจะจินตนาการว่าในพื้นที่ที่ไม่นับว่าใหญ่โตแห่งนี้ ห้องทดลองทุกห้องล้วนแสดงละครโศกนาฏกรรมที่น่าเศร้าสลดใจอยู่

มีหนังสยองขวัญอยู่เรื่องหนึ่งชื่อว่า ‘แย่งตาย ทะลุตาย’ แต่ฉากใน ‘แย่งตาย ทะลุตาย’ ยังไม่ถึงหนึ่งหรือสองในสิบของที่นี่เลย

‘ปัง’

ประตูถูกกระแทกออก

มีคนสวมชุดกาวน์สีขาวสองสามคนมองมาทางด้านนี้และเผยสีหน้าไม่พึงพอใจ ชายหนุ่มสวมชุดกาวน์สีขาวรีบขอโทษทันที แล้วลากจูงโจวเจ๋อออกไป

ในห้องทดลองแห่งนี้โจวเจ๋อมองเห็นเพียงคนห้าคนกำลังคุกเข่าอยู่ตรงนั้น และวางมือทั้งสองข้างเอาไว้ในที่ที่คล้ายกับตู้เย็นขนาดใหญ่ ตรงนั้นมีรูเล็กๆ ที่มีเพียงมือของมนุษย์สามารถสอดเข้าไปได้เท่านั้น

มีคนหนึ่งในนั้นถูกลากออกมา มือทั้งสองข้างของเขาถูกแช่แข็งจนกลายเป็นสีขาวซีด จากนั้นเขาก็ถูกคนในชุดกาวน์สีขาวสองคนพากันกดมือทั้งสองข้างของเขาจุ่มลงไปในน้ำเดือด

วินาทีต่อมา เนื้อละลายเหมือนกับไอศกรีมจนเหลือเพียงกระดูกสีขาวคู่หนึ่ง

ชายคนนั้นเพียงมองดูทุกสิ่งทุกอย่างด้วยความตายด้าน เขาไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดอีกต่อไป

ชายหนุ่มสวมชุดกาวน์สีขาวราวกับแปลกใจเล็กน้อย แปลกใจที่ตัวอย่างสิ่งมีชีวิตนี้มีพลังชีวิตที่น่าสะพรึงกลัว เหมือนกับได้ทำลายสถิติอะไรเข้า เขาตะโกนเรียกเพื่อนร่วมงานที่เดินผ่านไปมาอยู่ใกล้ๆ ราวกับจะแจ้งผู้บังคับบัญชาของเขา จากนั้นลากโจวเจ๋อกลับไปที่ห้องทดลองเดิมในตอนแรกสุด

ประตูห้องทดลองถูกเขาปิดลง จากนั้นเขาก็เดินไปที่ตู้นิรภัยขนาดใหญ่ตู้นั้นอีกครั้ง คล้ายกับจะสกัดเก็บตัวอย่างเลือดบางส่วนอีกครั้ง

อาการชักกระตุกของร่างกายนี้ดูเหมือนจะหยุดลงแล้ว คล้ายกับว่ามันได้เอาชนะการชักกระตุกและการต่อต้านในช่วงระยะแรกไปแล้ว เขาเพียงนั่งพิงผนังตรงนั้นและจ้องมองอย่างว่างเปล่าไปทั้งอย่างนี้

ส่วนสายตาของโจวเจ๋อกลับจ้องเขม็งไปที่ตู้นิรภัยขนาดใหญ่ที่อยู่ตรงหน้า

หลังจากที่ก่อนหน้านี้ ‘คลาน’ ไปทั่วมาแล้ว โจวเจ๋อพบว่าห้องทดลองแห่งนี้ดูเหมือนจะเป็นแกนหลักของสถาบันวิจัยใต้ดินแห่งนี้

ในทงเฉิงมีสถาบันวิจัยประเภทนี้อยู่ โจวเจ๋อไม่ได้รู้สึกแปลกใจมากนัก คนส่วนใหญ่แค่คุ้นเคยกับหน่วย 731[3] ซึ่งอยู่ที่ฮาร์บิน

ในความเป็นจริงยังมีหน่วย 100 ของกองทัพคันโตที่ฉางชุน หน่วยแนวรบตอนเหนือ 1855 ที่ปักกิ่ง หน่วยหรงจื้อ1644 ที่หนานจิง หน่วยปัวจื้อ 8604 ที่กวงโจว และอื่นๆ อีกมากมาย เหล่านี้เป็นเมืองที่ตั้งของสำนักงานใหญ่ และแต่ละสำนักงานใหญ่มีหลายสาขา นอกจากนี้การวิจัยโดยใช้มนุษย์ทดลองยังดำเนินการในเมืองขนาดใหญ่ เมืองขนาดกลางและเมืองเล็กๆ ที่ตั้งอยู่ในมณฑลที่ใกล้กับสำนักงานใหญ่เช่นกัน

ชายหนุ่มสวมชุดกาวน์สีขาวถือเข็มฉีดยาขนาดใหญ่ดูดเลือดออกจากท่อโลหะ จากนั้นเดินกลับไปหาโจวเจ๋อ มองโจวเจ๋อด้วยความสงสัยและความแปลกใจ พลางใช้มือข้างหนึ่งคว้าแขนของโจวเจ๋อเอาไว้ เตรียมพร้อมจะฉีดเข้าไปต่อ

โจวเจ๋อเงยหน้าขึ้นช้าๆ และมองไปยังใบหน้าที่อ่อนเยาว์มากตรงหน้าของเขา

มันแปลกมาก มันน่าขำมาก

คนหนุ่มสาวในวัยนี้เมื่อมาอยู่ในโรงพยาบาลส่วนใหญ่ในปัจจุบันแล้ว อาจจะเป็นได้เพียงแค่เด็กฝึกหัดคนหนึ่งเท่านั้น กระทั่งอายุยังไม่มากเท่าเด็กฝึกหัดที่โจวเจ๋อเคยเรียกใช้มาก่อนด้วยซ้ำ

แต่ในยุคสมัยนี้เขากลับทำเรื่องแบบนี้ อีกทั้งมีความคิดเหมือนเด็กน้อยที่เข้าไปเล่นในสวนสนุกเสียอีก

“งี่เง่า!”

ชายหนุ่มสวมชุดกาวน์สีขาวเห็นโจวเจ๋อถึงกับกล้าจ้องมองเขา จึงจัดการตบหน้าโจวเจ๋อไปหนึ่งฉาดตรงๆ

บางทีเพราะเขารู้สึกว่าถูกสายตาของโจวเจ๋อดูถูกอยู่ลึกๆ มันทำให้เขารู้สึกอึดอัดมาก

โชคดีที่โจวเจ๋อไม่รู้สึกถึงการตบนี้เลย เขาไร้ความรู้สึกมาตั้งนานแล้ว นอกจากสามารถมองเห็นแล้วก็ไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวด

แต่ว่า เพราะตบฉาดนี้กลับทำให้ความเจ้าเล่ห์ในสายตาของโจวเจ๋อชัดเจนยิ่งขึ้น

ชายหนุ่มสวมชุดกาวน์สีขาวเงื้อมือขึ้นอีกครั้ง หมายจะตบอีกสักฉาดหนึ่ง แต่ก่อนที่ฝ่ามือของเขาจะตบลงมานั้น

‘ปัง!’

เสียงดังอู้อี้ดังมาจากในตู้นิรภัยขนาดใหญ่ตู้นั้น ราวกับมีอะไรบางอย่างในนั้นกระแทกเข้ากับตู้นิรภัยอย่างจัง

โจวเจ๋อเห็นมือของชายหนุ่มสวมชุดกาวน์สีขาวตรงหน้ากำลังสั่น สีหน้าเผยให้เห็นถึงความหวาดกลัว และหันหน้ากลับไปมองตู้นิรภัยขนาดใหญ่ที่อยู่ด้านหลังตู้นั้น…

……………………………………………………

[1] ‘โยชิ’ แปลว่า ยอดเยี่ยม หรือเป็นคำชมในภาษาญี่ปุ่น

[2] ไท่ซานเป่ยโต่ว ชาวจีนใช้เปรียบเทียบผู้อาวุโสที่มีคุณธรรมดีเด่น มีชื่อเสียงมีผลงานยิ่งใหญ่และเป็นที่นับถือ

[3] หน่วย 731 หมายถึง หน่วยงานเพื่อทำการวิจัยและพัฒนาอาวุธชีวภาพของกองทัพจักรวรรดิญี่ปุ่นโดยใช้มนุษย์เป็นหนูทดลองในช่วงสงครามจีน-ญี่ปุ่นครั้งที่สอง

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยมทูตพาร์ตไทม์แห่งร้านหนังสือยามวิกาล