ยมทูตพาร์ตไทม์แห่งร้านหนังสือยามวิกาล นิยาย บท 215

ตอนที่ 215 ดังใจปรารถนา!

ความฝันแตกต่างจากความจริงมากน้อยแค่ไหนกันแน่ พูดได้ว่าต่างกันมาก แต่ก็พูดได้ว่าต่างเพียงเส้นบางๆ กั้นไว้เท่านั้น

จวงจื่อเคยตั้งคำถามเชิงปรัชญาในความฝันจวงเซิงเซียวไว้ว่า หากความฝันนั้นเป็นจริงเพียงพอ มนุษย์ยังจะมีความสามารถในการตระหนักว่ากำลังฝันอยู่หรือไม่

โจวเจ๋อในเวลานี้ก็มีความรู้สึกเดียวกันนี้ เดิมทีอาจเป็นแค่มุมมองเหมือนยืมบ้านคนอื่นอาศัยอยู่ หลังจากถูกลากเข้ามาในความฝันนี้ เขาก็ถือว่าตัวเองเป็นผู้ชมมาโดยตลอด

ไม่มีอะไรมากไปกว่าการดูหนังที่สมจริงและมีปฏิสัมพันธ์มากขึ้นก็เท่านั้นเอง

แต่ด้วยความฝันที่ลึกซึ้งมากยิ่งขึ้น เถ้าแก่โจวก็ถูกนำเข้าไปแทนที่ในนั้นอย่างช้าๆ เริ่มรู้สึกได้ถึงความรัก โลภ โกรธ หลงของตัวละครในความฝัน และเริ่มสัมผัสได้ถึงอารมณ์ของพวกเขา

เห็นได้ชัดว่ามันเป็นห้องทดลองมนุษย์ที่ถือว่ามนุษย์เป็น ‘มารุตะ’ คนมีชีวิตเป็นวัตถุดิบที่ไร้ค่าที่สุดในที่นี้ ในทุกๆ วันล้วนถูกใช้สอยจนค่อยๆ หมดไป

แต่ในห้องขังนั้น โซ่ข้อเท้ากลับถูกคำหลอกลวงสร้างภาพให้กลายเป็นสิ่งที่ทำให้ทุกคนปรารถนา โจวเจ๋อไม่รู้ว่าโซ่ข้อเท้านั้นมันหมายความว่าอะไร แต่มันอาจจะเป็นแค่ข้ออ้างอย่างหนึ่งก็ได้ อันที่จริงมันก็เดาได้ไม่ยาก

ตัวอย่างเช่น การแลกเปลี่ยนเชลยศึก อีกตัวอย่างหนึ่งคือการปล่อยตัวนักโทษสู่อิสรภาพในทุกๆ วัน ในฐานะที่เป็นผู้ดูแลมีอำนาจควบคุมที่นี่ พวกเขามีหลากหลายวิธีที่จะขายฝันซ้ำแล้วซ้ำเล่าให้กับลูกแกะในกำมือของตัวเอง ให้พวกเขามีความหวังที่จะอยู่รอดในสภาพแวดล้อมที่เลวร้ายต่อไป

ความหวังเล็กๆ น้อยๆ นี้ ‘ความหวัง’ ที่มองเห็นได้ทุกวันเช่นนี้ สามารถทำให้คนส่วนใหญ่เอาชนะความหายนะของสภาพความเป็นอยู่ที่ยากลำบากได้ ปล่อยให้พวกเขาอยู่นานเท่าที่จะนานได้ จากนั้นก็เอามาใช้เป็นหนูทดลอง

โจวเจ๋อยังคงตราตรึงอยู่กับฉากที่สามีได้รับโซ่ข้อเท้าและสวมให้ภรรยาตั้งครรภ์ของตัวเองหลังจากการต่อสู้แย่งชิงจนหัวแตกเลือดไหล

จากมุมมองของสามีแล้ว เขาทำได้ดีเท่าที่จะทำได้แล้ว เขาสละโอกาสที่จะได้ออกไปของตัวเอง และมอบโอกาสนี้ให้ภรรยาและลูกของเขาในครรภ์ของภรรยา

แต่ทว่า ภรรยาของเขาเพิ่งจะเสียชีวิตบนเตียงผ่าตัดด้วยความเจ็บปวดและตัวบิดเบี้ยวอย่างสุดขีด ส่วนลูกของเขากลับถูกนำออกไปทำการทดลองต่อไป เพื่อแลกกับการร้องอุทานว่า ‘เยี่ยม’ ของกลุ่มคนสวมชุดกาวน์สีขาว

ห้องทดลองทุกแห่งต่างกำลังดำเนินโปรเจกต์ของตัวเอง อย่างเช่น การทดลองแบคทีเรียในทารก การทดลองการเชื่อมต่อแขนขา แม้แต่กระทั่งการทดลองการผสมพันธุ์ระหว่างมนุษย์กับสัตว์ เป็นต้น จากมุมมองของคนสมัยใหม่ นี่มันแทบจะเป็นการทดลองที่ไร้สาระและเป็นไปไม่ได้ แต่ในที่นี้กลับดำเนินการทั้งวันทั้งคืน

ไม่ใช่ชาวญี่ปุ่นที่นี่จะจูนิเบียว[1]และฝันลมๆ แล้งๆ และไม่ใช่ว่าพวกเขาไม่มีความเป็นมืออาชีพมากพอ แต่เป็นเพราะว่าวัตถุดิบที่นำมาใช้เป็นตัวอย่างทดลองมีจำนวนมากมายเหลือเฟือ และมีมาอย่างต่อเนื่องกันไม่ขาดสาย ดังนั้นพวกเขาจึงมีอิสระในการทดลองและไม่ลังเลที่จะลองไอเดียที่คล้ายกับนิทานพันหนึ่งราตรีของอาหรับ

ถึงอย่างไรสำหรับพวกเขาแล้ว สิ่งที่มีค่าน้อยที่สุดคือต้นทุน และสิ่งที่ไม่ขาดแคลนมากที่สุดก็คือต้นทุนเช่นกัน

โจวเจ๋อเคยไปนรกมาก่อน เคยเห็นเส้นทางสู่นรกมาก่อน และเคยเห็นดอกมัญชูษา[2]มาก่อน แต่พูดจากใจเลยว่า ในความฝัน ในที่แห่งนี้ ดูเหมือนว่าเขาจะได้เห็นแล้วว่า ‘นรก’ ที่แท้จริงคืออะไร

อันที่จริงความรู้สึกที่เข้ามาแทนที่มันก็เป็นอย่างนี้ ซึมซับเข้าไปทีละนิด และแทรกซึมอย่างช้าๆ

และด้วยเหตุนี้ เมื่อหลังจากเสียงคำรามปึงปังจากด้านในตู้นิรภัยขนาดใหญ่ที่สอดท่อโลหะเอาไว้ดังขึ้น

สายตาของโจวเจ๋อจึงเบนไปที่ตรงนั้นอีกครั้ง

ที่ตรงนั้นเขาสังเกตเห็นมันมาตั้งแต่แรกแล้ว

เดิมที เขาคิดว่าตรงนั้นเป็นธนาคารเลือด เพราะเขาเห็นเลือดที่คนสวมชุดกาวน์สีขาวดูดออกมาจากข้างใน และเลือดที่ฉีดเข้าไปในหญิงตั้งครรภ์ รวมทั้งที่ฉีดเข้าไปในร่างกายของเขาเอง แท้จริงแล้วมันถูกถ่ายออกมาจากท่อโลหะด้านนอกของตู้นิรภัย

ในเวลานี้ชายหนุ่มสวมชุดกาวน์สีขาวอกสั่นขวัญแขวนอย่างถึงที่สุด หวาดกลัวจนตัวสั่น ในปากงึมงำไม่รู้ว่ากำลังพล่ามอะไรออกมา ถึงอย่างไรโจวเจ๋อก็ฟังไม่ออกอยู่ดี

และในเวลานี้ก็ไม่รู้อีกว่าเป็นเสียงร้องของชายสวมชุดกาวน์สีขาวหรือว่าเสียงดังสนั่นของตู้นิรภัยตู้นั้น เอาเป็นว่าคนสวมชุดกาวน์สีขาวเริ่มเข้ามารวมตัวกันในห้องทดลองแห่งนี้มากขึ้นเรื่อยๆ

ผู้คนส่วนใหญ่มีสีหน้าขนพองสยองเกล้า ราวกับว่าพวกเขาเกิดความเคารพและยำเกรงตามธรรมชาติต่อสิ่งที่อยู่ข้างในตู้นิรภัย แต่ก็มีผู้อาวุโสหัวหงอกบางคนกลับเต็มไปด้วยความตื่นเต้นและอยากรู้อยากลอง

ในเวลานี้โจวเจ๋อที่เป็นตัวอย่างทดลองกลับถูกเมินเฉย โจวเจ๋อรู้สึกราวกับว่าเขาเพิ่งทำลายสถิติเล็กๆ แต่ในตอนนี้ดูเหมือนไม่มีใครสังเกตเห็นเขาเสียด้วยซ้ำ

คนสวมชุดกาวน์สีขาวที่อาวุโสที่สุดหรือมีตำแหน่งสูงที่สุดหลายคนเริ่มทะเลาะกันอย่างรุนแรง พวกเขาทะเลาะกันจนหน้าดำหน้าแดง และไม่มีใครยอมถอยให้ใคร

เมื่อฟังเสียงดังเอะอะโวยวายในภาษาที่เขาไม่เข้าใจอย่างต่อเนื่อง โจวเจ๋อรู้สึกว่าหัวของเขาปวดมากขึ้นนิดหน่อย

ในเวลานี้ ชายหนุ่มสวมชุดกาวน์สีขาวที่จูงโจ๋วเจ๋อคลานก่อนหน้านี้เดินไปข้างๆ ชายที่อายุมากคนหนึ่ง พลางชี้ไปที่โจวเจ๋อแล้วพูดอะไรบางอย่าง ผู้อาวุโสโบกมือปัดอย่างไร้ความอดทน ราวกับกำลังบอกว่าในเวลานี้คุณเอาเรื่องเล็กๆ น้อยๆ แบบนี้มากวนใจผม มีตาหามีแววไม่จริงๆ

ชายหนุ่มสวมชุดกาวน์สีขาวตอบ ‘ไฮ’ ‘ไฮ’ ไม่หยุด ยอมรับคำวิจารณ์ด้วยความเคารพและจริงใจ

จากนั้นเดินเข้ามาลากๆ ดึงๆ โจวเจ๋อออกจากห้องทดลองห้องนี้ไป

บางทีอาจจะเป็นเพราะพวกเขาไม่มีเวลามาจัดการเขาชั่วคราวละมั้ง และบนตัวเขาเองก็มีความก้าวหน้าเล็กน้อยในการทดลอง ดังนั้นเก็บเขาไว้ยังพอมีประโยชน์นิดหน่อย โจวเจ๋อคิดอย่างนี้อยู่ในใจ

ชายหนุ่มสวมชุดกาวน์สีขาวไม่ได้ส่งโจวเจ๋อกลับไปที่ห้องขัง เห็นได้ชัดว่ามันเป็นไปไม่ได้ที่จะถูกส่งกลับไปที่ห้องขังอีก เพราะโจวเจ๋อได้เห็นถึงความหมายที่แท้จริงของโซ่ข้อเท้าไปแล้ว สำหรับคนสวมชุดกาวน์สีขาวเหล่านี้ พวกเขาหวังว่าพวก ‘มารุตะ’ จะยิ่งแข็งแกร่งและมีชีวิตอยู่เพื่อเป็นหนูทดลองให้พวกเขา

โจวเจ๋อถูกผลักเข้าไปในห้องที่มีพื้นที่ขนาดใหญ่กว่าเล็กน้อย ที่นี่มีขนาดครึ่งหนึ่งของสนามบาสเก็ตบอล ชายหนุ่มสวมชุดกาวน์สีขาวใช้โซ่ตรวนเส้นบางๆ ล่ามโจวเจ๋อเอาไว้ข้างๆ ชั้นเหล็ก จากนั้นคุยอะไรบางอย่างกับคนสวมชุดกาวน์สีขาวสองสามคนที่กำลังทำงานอยู่ด้านในสักสองสามคำ แล้วรีบวิ่งกลับไปที่ห้องทดลองเดิมไม่หยุด

โจวเจ๋อนั่งอยู่ฝั่งนี้ ในตอนแรกเขายังคงคิดหาคำตอบ นึกถึงเรื่องเสียงดังสนั่นที่เพิ่งเกิดขึ้นและนึกถึงเรื่องตู้นิรภัยตู้นั้น แต่ไม่นาน ความสนใจของโจวเจ๋อก็ถูกสิ่งที่อยู่ในห้องที่เขาอยู่ในขณะนี้ดึงดูดความสนใจไปแล้ว

ภายในห้องมีภาชนะโลหะและกระจกขนาดใหญ่ เมื่อมองผ่านส่วนต่างๆ ของกระจกไป ก็จะสามารถมองเห็นสถานการณ์ภายในได้

ข้างในนั้นมีหญิงสาวหนึ่งคนและยังมีเด็กผู้หญิงอีกหนึ่งคน พวกเธอดูเหมือนจะเป็นคู่แม่ลูกกัน เพราะเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ กำลังซุกตัวอยู่ข้างๆ หญิงสาว ส่วนหญิงสาวใช้มือลูบหัวของเด็กผู้หญิงและกำลังปลอบโยนเธอ

คนสวมชุดกาวน์สีขาวสามสี่คนอยู่ด้านนอก คนหนึ่งถือกล้องถ่ายรูป คนหนึ่งถือนาฬิกาจับเวลาและเขียนรายงานข้อมูล ยังมีอีกสองคนยืนอยู่ข้างภาชนะและเริ่มเดินเครื่องที่คล้ายกับเครื่องเป่าลม ในตอนแรก โจวเจ๋อไม่รู้ว่านี่เป็นห้องทดลองประเภทไหนกันแน่ และแล้วเขาก็ค่อยๆ เข้าใจมัน

เพราะหลักการทดลองนั้นมันง่ายมากๆ พวกเขาดูดอากาศในภาชนะออกอย่างต่อเนื่อง และมีแผงหน้าปัดที่แสดงแรงดันตามเวลาจริงในภาชนะ

ในขณะที่อากาศถูกดูดออกมาอย่างต่อเนื่อง

โจวเจ๋อก็มองเห็นแม่ลูกในภาชนะต่างก็พากันนอนหมอบอยู่บนพื้นด้วยท่าทางที่เจ็บปวดอย่างยิ่ง

เด็กผู้หญิงหลุดออกจากการควบคุมของแม่ ปีนขึ้นไปที่ริมขอบภาชนะ และตบภาชนะให้ดังออกไปข้างนอกไม่หยุด แต่การตะโกนและการร้องไห้ของเธอไม่ได้รับการตอบสนองเลยแม้แต่น้อย

พวกคนสวมชุดกาวน์สีขาวที่อยู่รอบๆ ต่างทำงานในมือของตัวเองอย่างเป็นระเบียบและชำนาญมาก

สุดท้าย เด็กผู้หญิงหันหน้าไปมองโจวเจ๋อที่ถูกล่ามเอาไว้ตรงมุมห้อง

เธอกำลังขอร้องอ้อนวอนโจวเจ๋อให้ช่วย

เธอแยกความแตกต่างไม่ออกว่า ที่จริงแล้วโจวเจ๋อก็เป็นหนึ่งในพวกเธอเช่นกัน และช่วยอะไรเธอไม่ได้เลย หรือบางทีนี่อาจเป็นความไร้เดียงสาของเด็กน้อย แต่แม่ของเธอนั้นอาจจะคาดการณ์ตอนจบเอาไว้ตั้งนานแล้ว ถึงได้ดูสงบนิ่งอยู่บ้าง

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยมทูตพาร์ตไทม์แห่งร้านหนังสือยามวิกาล