ยมทูตพาร์ตไทม์แห่งร้านหนังสือยามวิกาล นิยาย บท 290

ตอนที่ 290 อิงอิงใช้ความรุนแรง!

ภาพลายจุดขาวดำบนโทรทัศน์ยังคงกะพริบอยู่ คล้ายกับเป็นลางอะไรบางอย่าง รอบตัวมีแต่ความมืดมิดและความเงียบสงัดที่ชวนให้หนังศีรษะชาวาบ

โจวเจ๋อนั่งลงบนโซฟา จ้องภาพบนหน้าจอโทรทัศน์อย่างไม่ละสายตา นี่น่าจะเป็นสิ่งที่คนปกติทั่วไปควรแสดงออกมาในขณะนี้ เถ้าแก่โจวเองก็ไม่มีข้อยกเว้น

ในขณะนี้เอง มีมือข้างหนึ่งยื่นออกมาจากด้านหลังและวางไว้บนไหล่ของโจวเจ๋อ มันกะทันหันมาก ไม่มีเค้าลางแม้แต่น้อย ความสนใจของคนที่นั่งอยู่บนโซฟาจดจ่ออยู่กับจอโทรทัศน์ จนไม่รู้ว่าด้านหลังตัวเองเกิดเรื่องอะไรขึ้น

ทันใดนั้นร่างของโจวเจ๋อก็เกร็งขึ้นมาทันที จากนั้นพลิกมือไปข้างหลังคว้ามันเอาไว้และเหวี่ยงไปข้างหน้า!

มันเป็นสัญชาตญาณอย่างหนึ่งละมั้ง เป็นการตอบสนองต่อความตึงเครียดของคนที่อยู่ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ถึงอย่างไรเถ้าแก่โจวก็เป็นคนมีประสบการณ์ชีวิต เมื่อครู่ก็เพิ่งจะแทะซี่โครงไปตั้งมากมาย เป็นธรรมดาที่จะไม่ถึงขั้นตกอกตกใจวิ่งกรีดร้องไปมา

แต่ทว่า หลังจากโจวเจ๋อออกแรงจนสุดกำลังตัวเขาก็เอนเอียงจนเกือบจะพาตัวเองล้มพับลงไปด้วย

แต่เนื่องจากสิ่งที่อยู่ในมือของโจวเจ๋อในเวลานี้ มีแค่มือข้างเดียว มันไม่มีช่วงแขน ลำตัว และส่วนอื่นๆ เลยด้วยซ้ำ มันเป็นเพียงมือข้างเดียวเท่านั้น นั่นก็เท่ากับว่าที่โจวเจ๋อเพิ่งออกแรงไป ทั้งหมดนั้นล้วนเปล่าประโยชน์

มันคือมือของผู้หญิง มีริ้วรอยเนียนละเอียดพร้อมกับเส้นเลือดฝอยที่สามารถมองเห็นได้ อีกทั้งยังสวมแหวนไว้บนนิ้วมือนิ้วหนึ่งอีกด้วย

เถ้าแก่โจวกลับไม่ได้ตกใจกับฉากนี้ กลับกันเขาวางมือนั้นไว้ตรงหน้าตัวเอง และเริ่มยกมันขึ้นมาดูอย่างละเอียด กระทั่งยังยื่นนิ้วของตัวเองออกไปเกี่ยวนิ้วนางของอีกฝ่าย ทั้งยังขีดเขียนบนฝ่ามือของอีกฝ่ายคล้ายกับกำลังยั่วยุ และก็เหมือนกับกำลังสื่อสาร

ในความเงียบสงัดของค่ำคืนอันมืดมิด ชายหนุ่มนั่งอยู่บนโซฟาในห้องนั่งเล่นของบ้านหรูหลังใหญ่ กำลังเพ่งมองมือข้างหนึ่งอย่างละเอียด ภาพนี้มากพอที่จะทำให้คนหวาดผวาได้

โชคดีที่เถ้าแก่โจวไม่ใช่คนธรรมดาจริงๆ อย่างน้อยในด้านของ ‘ความกลัว’ ในฐานะคนที่เคยเดินอยู่บนเส้นทางสู่นรกมาแล้วครั้งหนึ่ง ระดับการต้านทานของเขานั้นสูงมากจริงๆ

คำถามในตอนนี้ไม่ใช่ว่าเขาจะช็อกตายไหม หรือจะถูกฆ่าตายหรือเปล่า แต่เป็นเขาจะออกไปจากที่นี่ได้อย่างไรต่างหากล่ะ

ปีศาจกระดูกขาวก็ได้ต่อสู้กับเขาไปแล้ว อีกสักพักอย่าเพิ่งมีตัวอะไรโผล่มาอีกนะ

เมื่อวางมือของอีกฝ่ายลงบนฝ่ามือของเขาแล้ว โจวเจ๋อหวังว่ามือนี้จะขยับและเขียนตัวอักษรหรือฝากข้อความอะไรสักอย่างให้เขา

แกต้องการอะไร แกข้องใจเรื่องอะไร รีบบอกมาด่วน ผู้พิพา…เอ่อ ยมทูตอย่างฉันจะตัดสินให้แกเอง!

โจวเจ๋อผู้มากประสบการณ์ในการต้อนรับและนำส่งตอนอยู่ที่ร้านหนังสือในเวลานี้ได้แต่ลองคิดในมุมนี้ดู

โดยทั่วไปแล้ว คนตายที่ยังวนเวียนอยู่บนโลกมนุษย์จะต้องมีห่วงอยู่แน่ๆ พวกที่ไม่อยากตาย อยากเป็นราชาผี อยากบำเพ็ญเซียน คนประเภทจูนิเบียวพวกนี้มักจะเป็นผีไม่ได้ หลังตายไปแล้วไม่จำเป็นต้องให้ยมทูตส่ง พวกเขาจะลงนรกไปเองอย่างว่าง่าย

ในร้านหนังสือของโจวเจ๋อมีหนังสือคล้ายๆ กันนี้อยู่ไม่น้อยเลย แต่จากการสัมผัสด้วยตัวเอง โจวเจ๋อยังไม่เคยเจอผีที่อยาก ‘รวมนรก’ เพื่อที่จะได้กลายเป็นราชาผีมาก่อน

แต่ทว่า มือข้างนี้ก็ยังไม่ตอบสนองอยู่ดี

โจวเจ๋อยื่นมือไปตบบนมือข้างนี้ จากนั้นวางมันลงบนโต๊ะรับแขกพลางสะบัดไปมา มือข้างนี้เป็นเพียงหมูตายไม่กลัวน้ำร้อน มันไม่สนใจคุณด้วยซ้ำ

ถ้าจะ ‘นิ่งไม่ไหวติง’ ขนาดนี้ แล้วแกจะโผล่ออกมาทำไม

“เกริ่นยาวมาก คำพูดไร้สาระเต็มไปหมด น้ำเน้นๆ…งื้อๆๆ น่าเบื่อจังเลย…”

ฝั่งนี้ ไป๋อิงอิงเปิดอ่านหนังสือ ‘ฝันร้ายบนปลายปากกา’ เล่มนี้ในมือของเธอไปเรื่อยๆ

ไส้ตะเกียงใต้ที่นั่งของพระยูไลใน ‘ไซอิ๋ว เดี๋ยวลิงเดี๋ยวคน’ ยังสามารถกลายเป็นปีศาจได้ ถ้าอย่างนั้นในฐานะผีดิบที่ทำงานในร้านหนังสือ ไม่บอกว่าเป็นปราชญ์มีความรู้อย่างเต็มเปี่ยม แต่อย่างน้อยก็อ่านหนังสือมามากมาย

อิงอิงอ่านนวนิยายแนวนี้เยอะมากจริงๆ ช่วงที่นางมีชีวิตอยู่ในสมัยราชวงศ์ชิง แม่นางไป๋ชอบแอบอ่านนวนิยายอยู่บ้าง แต่ว่าตอนนั้นมันถูกมองว่าเป็นหนังสือหยิน ดังนั้นจัดเป็นสื่อการอ่านที่ไม่นิยม

สองร้อยปีผ่านไป แม้ว่าหนังสือที่ไม่เป็นที่นิยมเหล่านี้ ในสายตาของคนบางคนที่คิดว่าตัวเองเป็นชนชั้นสูงก็ยังไม่เป็นที่นิยมเหมือนเคย แต่อย่างน้อยมันก็สามารถวางขายบนชั้นในร้านหนังสืออย่างโอฬารได้แล้ว

หนังสือเล่มนี้ จะบอกว่ายังไงดีนะ ช่วงแรกเกริ่นได้ไม่เลว เรื่องย่อก็เขียนได้ดี แต่หลังจากนั้นเขียนแต่น้ำล้วนๆ เลย! ลีลามาก จนไป๋อิงอิงแทบจะอ้วกออกมาแล้ว

ขอร้องละ ทำไมต้องบรรยายรูปลักษณ์มากมายขนาดนี้ ทำไมต้องจินตนาการในใจมากมายขนาดนี้ ทำไมต้องเกริ่นสภาพแวดล้อมมากมายขนาดนี้ ก็แค่บอกข้ามาตรงๆ เลยว่าจะเกิดอะไรขึ้นไม่ได้เหรอ!

อีกอย่างคนเขายังต้องหาปากกาอีก มีเวลามานั่งอ่านเรื่องผีที่เจ้าแต่งมั่วๆ อยู่ตรงนี้ที่ไหนกันเล่า ถ้าอยากจะอ่านเรื่องผี สู้ดูตัวข้าเองและเถ้าแก่ไม่ดีกว่าเหรอ!

เมื่อนึกถึงตรงนี้ อิงอิงฉุนเฉียวจนยื่นมือออกมาฉีกกระดาษหลายหน้าติดต่อกัน ลีลามากใช่ไหม ยืดเยื้อนักใช่ไหม เพิ่มตัวอักษรนักใช่ไหม ‘แควก’ ได้ยินหรือยัง ข้าฉีกมันแล้ว!

ตรงที่ไป๋อิงอิงฉีกบังเอิญเป็นตอนที่เงาดำปรากฏออกมาพอดี เริ่มต้นตรงที่มือข้างหนึ่งกำลังวางไว้บนไหล่ของตัวเอก จากนั้นเนื้อหาในกระดาษหลายแผ่นที่ต่อเนื่องกันก็ถูกฉีกออก

ความแข็งแรงของอิงอิงยังคงน่ากลัว กระดาษที่ฉีกขาดอยู่ในมือกลายเป็นผุยผงไปแล้ว

สิ่งนี้นำพาไปสู่ปัญหาที่ยุ่งเหยิงมาก หลังจากถูกอิงอิงฉีกอย่างรุนแรง เรื่องราวต่างๆ ของเถ้าแก่โจวที่อยู่อีกด้านหนึ่งนั้นขาดตอนไปแล้ว!

เพราะหลังจากที่หนังสือถูกอิงอิงฉีกออกไป โครงเรื่องมันเริ่มหลังจากมือข้างนั้นที่วางบนไหล่ของตัวเอก

มือข้างนี้กำลังด่านางอยู่ด้วยน่ะสิ!

มือ ‘ฉันเป็นใคร ฉันกำลังทำอะไรอยู่ ฉันกำลังจะไปที่ไหน’

ใครบอกฉันได้บ้าง ต่อไปฉันควรจะทำอย่างไร ควรจะแสดงต่อไปอย่างไรดี

ดังนั้นจึงไม่แปลกใจที่เถ้าแก่โจวจับมือเขียนอยู่ตั้งนานสองนานเหมือนกับคนโง่ แต่มือก็ยังไม่ตอบสนองอยู่ดี

ความจริงแล้วในเวลานี้กำลังสับสนอยู่น่ะสิ เดิมทีเป็นเพียงการปรากฏตัวครั้งแรกของมันเท่านั้น

ต่อไปยังมีแขนอีก

ยังมีไหล่อีก

ยังมีลำตัวอีก

ยังมีเงาคนที่น่ากลัวอีกนะ

แต่ตอนนี้เหลือแค่มันแล้วละ

“ปากกาล่ะ ปากกา ปากกาของข้าล่ะ”

อิงอิงเปิดอ่านไปพลางและฉีกอย่างโมโหไปพลาง

นางต้องตามหาเบาะแสของปากกา ดังนั้นไม่มีเวลามาอ่านรายละเอียดหรอก เพียงแค่อ่านมันคร่าวๆ เมื่ออ่านมาถึงฉากไร้ประโยชน์ก็ฉีกกระดาษสองแผ่นติดกันทิ้งไปซะ

โชคดีที่ตัวนวนิยายในช่วงสองปีที่ผ่านมานับว่าเป็นเรื่องสั้นแล้ว นวนิยายหนึ่งเล่มดูเหมือนจะเป็นหนังสือเล่มหนา แต่ก็มีเพียงสองถึงสามแสนตัวอักษรเท่านั้น

หากเป็นนวนิยายที่ยิ่งใหญ่ยอดเยี่ยมที่ขีดๆ เขียนๆ ก็ปาไปแล้วสิบถึงยี่สิบล้านคำแบบนั้น คาดว่าอิงอิงก็คงไม่ฉีกแล้ว ฉีกไม่หมดจนต้องเผาทิ้งแทนแล้วละ!

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยมทูตพาร์ตไทม์แห่งร้านหนังสือยามวิกาล