ยมทูตพาร์ตไทม์แห่งร้านหนังสือยามวิกาล นิยาย บท 303

ตอนที่ 303 เจ้าที่

โจวเจ๋อยืนอยู่ที่เดิม ไม่ขยับเขยื้อน เขาไม่ถึงขั้นตกใจกับสถานการณ์พวกนี้ กระทั่งเถ้าแก่โจวยังลองยื่นนิ้วมือเข้าไปในปากของใบหน้านั้น เปิดปากออกมา ในนั้นมีฟันแต่ไม่ใช่แค่ฟันเท่านั้น ยังมีดินทรายอัดแน่นอยู่ในนั้นด้วย

นี่คือใบหน้าที่ถูกอัดแน่นด้วยดินทราย สวยงามและแข็งแกร่ง สีหน้านิ่ง เหมือน ‘ผลงานศิลปะการแกะสลักหิน’ ที่ตั้งตระหง่านอยู่ตรงนั้น

“แม่งเอ๊ย” นักพรตเฒ่ามองไปทางเถ้าแก่หนึ่งที เมื่อเห็นใบหน้าที่อยู่ในเปลือกไม้พลันตกใจตัวสั่นเทิ้ม พอมองเห็นว่าเถ้าแก่กำลังใช้นิ้วแหย่เข้าไปในปากเล็กของใบหน้าใบนั้น นักพรตเฒ่าก็ตกใจตัวสั่นอีกครั้ง

จางเยี่ยนเฟิงสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะเดินเข้ามา เขาพยายามอดกลั้นความรู้สึกไม่สบายภายในใจแล้วพูดว่า “นี่คือคนหนึ่งที่ตายอยู่ในสุสานในตอนแรก”

“อ้อ” โจวเจ๋อขานรับหนึ่งที พลางพยักหน้า เขาคิดว่าคดีนี้เป็นคดีใหญ่พอสมควร อย่ามองว่าเถ้าแก่โจวทำหน้าเฉยยื่นนิ้วเข้าไปแหย่เพื่อดูว่าข้างในมีอะไรอยู่บ้างเมื่อครู่นี้เหมือนไม่รู้สึกอะไร ในความเป็นจริงนั้น เป็นเพราะเมื่อครู่สมองของโจวเจ๋อเหมือนเครื่องแฮงก์จึงไม่ได้คิดอย่างละเอียดถี่ถ้วน ตอนนี้เขาลองคิดดูแล้ว จากนั้นจึงรู้สึกหวาดกลัวสุดขีด

สาวน้อยโลลิตอนแรกเลือกที่จะ ‘ใช้งานแล้วฆ่าทิ้ง’ โยนความผิดให้โจวเจ๋อ เป็นเพราะสาวน้อยโลลิรู้สึกว่าโจวเจ๋อเจียมตนมาก แต่ก็เป็นเรื่องจริงถ้าหากคืนนั้นไม่มีการเปลี่ยนแปลงในเมืองหรงเฉิง โจวเจ๋อก็ไม่มีโอกาสเปลี่ยนจากแขกเป็นเจ้าบ้าน และด้วยเหตุนี้ หลังจากที่เขาเห็นฉากนี้ โจวเจ๋อจึงเริ่มเข้าใจ เหตุการณ์นี้ ต่อให้เป็นเขา ก็ไม่มีสิทธิ์เข้าไปจัดการเท่าไร

สวี่ชิงหล่างเคยหานิยายลี้ลับเหนือธรรมชาติมาให้โจวเจ๋ออ่านโดยเฉพาะ ในบรรดาหนังสือเหล่านี้ที่ค่อนข้างมีชื่อเสียงคือ ‘บันทึกโซวเฉิน (บันทึกการค้นหาเทพเจ้า)’ ‘เรื่องประหลาดในห้องหนังสือ’ ‘สารานุกรมหยูเว่ยเฉาตงไป่จี๋’ และยังมีผลงานเรื่องอื่นของนักเขียนที่ไม่เป็นที่รู้จักเท่าไรนักในโลกงานวรรณกรรม

โจวเจ๋อจำได้ท่อนหนึ่ง ดูเหมือนจะเป็นงานเขียนของนักประพันธ์สมัยราชวงศ์หมิง ‘เจ้าที่เพลิดเพลินต่อการกราบไหว้บูชาของชาวบ้าน คอยปกปักษ์รักษาทุกคนให้อยู่เย็นเป็นสุข แต่เมื่อเจ้าที่ไม่ได้รับการเลื่อมใสอีก ทำให้ภูตผีปีศาจบนภูเขาถือโอกาสเข้ายึดครอง เมื่อมีคนกล้าไม่เคารพ จึงใช้ต้นไม้ใบหญ้าเป็นเชือกมัดตั้งหน้าศาลเจ้า เพื่อเตือนคนรุ่นหลัง’

นักประพันธ์หนังสือเล่มนี้ในสมัยราชวงศ์หมิงทำอะไร มีอาชีพเป็นแบบไหน กระทั่งเป็นผู้ชายหรือผู้หญิงก็ไม่รู้อย่างไรก็ตามการเขียนนิยายในยุคนั้นถูกมองว่าไม่เป็นที่นิยมในสังคมสมัยนั้น อย่างเช่น ผู้แต่งที่ใช้นามปากกาว่าบัณฑิตแห่งสุสานกล้วยไม้ผู้ยิ้มเยาะที่เขียนเรื่อง ‘บุปผาในกุณฑีทอง’ เป็นใครกันแน่ก็ไม่มีใครรู้ ซึ่งเหมือนกับนักประพันธ์คนนั้นที่แต่งเรื่อง ‘นิทานของ**’ ถ้าหากเขาเปิดเผยตัวตนออกมา สิ่งที่รอเขาอาจจะเป็นโทษจากการกระทำความผิดฐานเผยแพร่ข้อมูลสีเทาแล้วถูกจับเข้าคุกไปพิจารณาตามเหตุผล

สวี่ชิงหล่างค้นหาหนังสือประเภทนี้ให้โจวเจ๋อหลายเล่ม แต่โจวเจ๋ออ่านจบเล่มน้อยมาก ทว่าเล่มนี้เขาอ่านจบเพราะหนังสือเล่มนี้ใส่ใจเป็นอย่างมาก มันมีรูปภาพประกอบ! โดยทั่วไปจะมีรูปภาพประกอบทุกหน้า เถ้าแก่โจวเหมือนเด็กอ่านนิทานที่มีรูปภาพประกอบ อ่านอย่างไรก็ไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย

และ ‘เจ้าที่’ ที่ผู้แต่งเขียนบรรยายไว้ ก็เหมือนชายชราในเรื่อง ‘ไซอิ๋ว’ ที่ซุนหงอคงกระทืบเท้าให้ออกมา ในผลงานเรื่องนี้ ผู้แต่งเขียนเกี่ยวกับเทพเจ้าอย่างเจ้าที่เอาไว้ว่า อันที่จริงคือไม่ได้รับการแต่งตั้งยศจากสรวงสวรรค์ เพราะว่าเป็นขุนนางที่ต่ำเกินไป ไม่เป็นที่เข้าตา มีความคล้ายกับเจ้าหน้าที่ตำรวจเสริมในยุคปัจจุบัน เงินเดือนต่ำ ไม่มียศ แถมยังต้องทำงานระดับล่างที่ลำบากที่สุด

ตอนนี้นับว่ากำลังปรับปรุงให้ถูกต้องมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อก่อนในหลายท้องที่มีอันธพาลท้องถิ่นหลายคนเข้าไปอยู่ในกองป้องกันร่วมเป็นจำนวนมาก

ตามแนวคิดของผู้แต่ง เจ้าที่เป็นหน้าที่ของภูตผีปีศาจบนภูเขา ปกติจะเพลิดเพลินไปกับการกราบไหว้บูชาและสามารถทำให้ลมฝนตกต้องตามฤดูกาลอะไรพวกนี้ แต่สันดานของพวกเขายากที่จะเปลี่ยน ถ้าหากมีคนมาล่วงเกินพวกเขา พวกเขาจะสั่งสอนทันที จับคนมาฆ่าแล้วใช้หญ้าเป็นเชือกมัดคนวางไว้หน้าศาลเจ้าของตัวเอง เพื่อตักเตือนคนข้างหลังว่าอย่าทำอีก

โจวเจ๋อจำรูปภาพประกอบที่วาดโดยพู่กันในหนังสือของผู้แต่งคนนั้นได้ดี น่าขันสุดๆ เหมือนเด็กน้อยที่ชอบใส่ชุดต้นไม้มาทำการแสดงในกิจกรรมของเด็กอนุบาล แต่ตอนนี้โจวเจ๋อได้เห็น ‘ของจริง’ แล้ว โจวเจ๋อยื่นมือ ชี้ไปที่ต้นไม้อีกต้นหนึ่งที่ยังมีพื้นเรียบ

นักพรตเฒ่าเดินเข้าไปแล้วยื่นมือเช็ดเปลือกไม้ แต่เขาใช้แรงเบามาก และนักพรตเฒ่าเหมือนจะเดาออกว่าจะขูดเจออะไร จึงลนลาน ไม่กล้าใช้แรงมากเท่าไร

ดังนั้นจางเยี่ยนเฟิงจึงเดินเข้ามา ใช้กุญแจรถของตัวเองแล้วเริ่มขูด ไม่ช้าก็มีใบหน้าของคนปรากฏขึ้นมา

“เป็นอีกคนหนึ่ง” จางเยี่ยนเฟิงพูดยืนยัน สองคนที่ตายอยู่ในสุสานมาปรากฏตัวอยู่ในต้นไม้แล้ว โจวเจ๋อแลบลิ้นเลียริมฝีปากของตัวเอง คนโง่หกคน คงไม่ได้หาเหาใส่หัวไปขุดโดนสุสานของเจ้าที่หรอกใช่ไหม วิธีการรนหาที่ตายแบบนี้ไม่ด้อยไปกว่าการเต้นบนทางด่วน ถ้าคุณไม่ตายแล้วใครจะตาย

โจวเจ๋อสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วเดินไปข้างๆ วิญญาณเด็กหนุ่ม หลังจากขยับเขามาอยู่ข้างหลังตัวเองแล้วจึงโน้มตัวลงช้าๆ ยื่นมือขุดโคลนบนพื้นส่วนหนึ่ง ด้านล่างชั้นโคลนบางๆ มีป้ายหลุมฝังศพที่แตกหักอันหนึ่ง บนนั้นเขียนชื่ออะไรก็มองไม่ชัดเจน แต่ให้ความรู้สึกถึงความเก่าโบราณของมันเป็นอย่างมาก

‘วิ้ว…วิ้ว…วิ้ว…’ ภายในป่าเกิดลมเย็นพัดเข้ามาเป็นระลอกในทันใด สำหรับคำบรรยายของเจ้าที่ใน ‘ไซอิ๋ว’ ล้วนบอกว่ามีความเมตตาและสุขุมเป็นอย่างมาก แต่นั่นเป็นเพราะพวกเขาเผชิญหน้ากับท่านเห้งเจียต่างหาก ก็เหมือนกับเวลาที่หัวหน้าส่วนใหญ่ต้องพบกับหัวหน้าระดับสูงกว่าล้วนต้องแสดงความนอบน้อมและความเป็นมิตรอย่างยิ่ง แต่เมื่อเจอหน้าคุณ… โจวเจ๋อค่อยๆ ยืดตัวตรง ไม่ยื่นมือลงไปขุดต่อ

“มีอะไร สุสานนั่นอยู่ข้างล่างใช่ไหม” จางเยี่ยนเฟิงถาม

“เจ้ากลับมาเดี๋ยวนี้ อย่ารบกวนเถ้าแก่” นักพรตเฒ่าก็รู้สึกถึงความผิดปกติ จึงลากจางเยี่ยนเฟิงมาอยู่ข้างๆ ตัวเองไม่ให้เขาเดินไปข้างหน้า

“เจ้าที่ครับ พวกเขาได้ล่วงเกินท่าน พวกเขาตายไปก็ไม่เสียดาย ทั้งหกคนนั้น ตอนนี้ตายไปห้าคนแล้ว ส่วนคนที่เหลือก็เป็นบ้าเสียสติไปแล้ว ท่านหายโกรธได้หรือยัง”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยมทูตพาร์ตไทม์แห่งร้านหนังสือยามวิกาล