ยมทูตพาร์ตไทม์แห่งร้านหนังสือยามวิกาล นิยาย บท 36

สรุปบท ตอนที่ 36 ผมเป็นผี!: ยมทูตพาร์ตไทม์แห่งร้านหนังสือยามวิกาล

ตอน ตอนที่ 36 ผมเป็นผี! จาก ยมทูตพาร์ตไทม์แห่งร้านหนังสือยามวิกาล – ความลับ ความรัก และการเปลี่ยนแปลง

ตอนที่ 36 ผมเป็นผี! คือตอนที่เปี่ยมด้วยอารมณ์และสาระในนิยายAction ยมทูตพาร์ตไทม์แห่งร้านหนังสือยามวิกาล ที่เขียนโดย Internet เรื่องราวดำเนินสู่จุดสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยใจตัวละคร การตัดสินใจที่ส่งผลต่ออนาคต หรือความลับที่ซ่อนมานาน เรียกได้ว่าเป็นตอนที่นักอ่านรอคอย

ตอนที่ 36 ผมเป็นผี!

“สงสัย ฉันไม่จำเป็นต้องใส่ให้คุณดูแล้ว”

หมอหลินเป็นผู้หญิงหัวโบราณจริงๆ แต่กลับไม่ใช่ผู้หญิงหัวโบราณที่ไม่กล้าโวยวายเพราะกลัวเสียชื่อเสียงจากการที่สามีมีภรรยาน้อยแบบนั้น

เธอรู้จักการประนีประนอมกับตัวเอง ขณะเดียวกัน เธอก็มีความเป็นตัวของตัวเอง

เธอสามารถบังคับตัวเองให้ยอมรับโจวเจ๋อที่ล่วงเกินตัวเองครั้งที่แล้วได้ และสามารถบังคับตัวเองให้ยอมรับอย่างช้าๆ ภายใต้เงื่อนไขที่ ‘สวีเล่อ’ (โจวเจ๋อ) นับวันยิ่งมีความคิดเป็นของตัวเองและมีพลังอำนาจมากขึ้น

แต่เธอไม่สามารถยอมรับโจวเจ๋อให้มีรักนอกสมรสได้ นี่คือเส้นขีดจำกัดของเธอ

เธอโกรธมาก

โกรธมากจริงๆ

กระทั่งอยากจะหมุนตัวเดินออกไปให้รู้แล้วรู้รอด

ตอนนี้ สาเหตุที่หมอหลินยังไม่ไปไหน เพราะกำลังรอการตอบสนองของโจวเจ๋อ ไม่ว่าอย่างไร โจวเจ๋อควรที่จะแสดงท่าทีอะไรบ้าง เรื่องระหว่างตัวเองกับเขา จะได้เป็นอันหลุดพ้นเสียที

ถึงแม้ว่ากลับไปจะต้องโดนแม่ตำหนิ ต้องเผชิญหน้ากับความโกรธของพ่อที่แต่งงานสร้างความอัปยศแก่วงศ์ตระกูล เธอก็ยินดีรับแต่โดยดี

ทว่า โจวเจ๋อกลับไม่มีการตอบสนองใดๆ

ไม่มีคำอธิบาย

ดูเหมือนจะยอมรับไปโดยปริยาย

ความสดใสที่อยู่ในนัยน์ตาของหมอหลินดูหม่นลงทันที

แม้แต่คำอธิบายก็ไม่จำเป็นแล้วใช่ไหม

แต่ในความเป็นจริง หมอหลินเข้าใจผิด ตอนนี้โจวเจ๋อไม่มีการตอบสนองอย่างสิ้นเชิง กระทั่งไม่ได้สนใจความรู้สึกของหมอหลินด้วย

เพราะในมุมมองของโจวเจ๋อ เขารู้สึกตกใจจนเส้นขนข้างหลังตั้งชัน

ศพผีสาวนี้…มีชีวิตแล้ว!

และไม่เหมือนการลงมาดื่มน้ำเหมือนเมื่อตอนกลางวันแน่นอน นางเดินมาอยู่ตรงหน้าตัวเองอย่างมีมารยาท แล้วพูดกับตัวเอง มีปฏิสัมพันธ์กับตัวเอง!

พอลองนึกเชื่อมโยงกับตอนกลางวันที่ตัวเองอยากให้นาง ‘ตื่น’ จึงใช้ ‘ปลายเล็บวาดเล่น’ บนกายของนาง

โจวเจ๋อฉุกคิดขึ้นมาได้ ในใจอยากจะวิ่งออกไปจากร้าน หนีไปให้ไกลได้ยิ่งดี

ตอนนี้สามารถอธิบายได้แล้วว่า ทำไมสวี่ชิงหล่างถึงจับหนังสือกลับหัว แล้วนั่งอ่านหนังสืออยู่ตรงนั้นเหมือนไอ้งั่งเพราะว่าเขาไม่กล้าขยับเลยด้วยซ้ำ!

สถานการณ์ตอนนี้ตกอยู่ในความกระอักกระอ่วน

“สวัสดีเจ้าค่ะ” ศพผีสาวยิ้มมุมปาก หลังจากเอ่ยทักทายโจวเจ๋อว่า ‘ท่านกลับมาแล้ว’ เหมือนกับผู้หญิงชาวเกาหลีและญี่ปุ่นที่ยืนรอสามีกลับบ้าน เธอจงใจมองหลินหวั่นชิวด้วยแววตาขี้เล่น

“สวัสดีค่ะ” หมอหลินตอบกลับอย่างเย็นชา

โจวเจ๋อตอนนี้สูดลมหายใจลึกสุด เขายื่นมือหิ้วสวี่ชิงหล่างขึ้นมา พยายามบังคับให้สวี่ชิงหล่างลุกขึ้น

“หวั่นชิว ขอแนะนำคุณก่อนครับ นี่คือสวี่ชิงหล่างเพื่อนรักของผมควบตำแหน่งเถ้าแก่ร้านก๋วยเตี๋ยวที่อยู่ข้างๆและยังมีห้องชุดอีกยี่สิบห้อง”

“สวัสดีครับ” สวี่ชิงหล่างพูดกับหลินหวั่นชิว แต่สายตากลับจ้องไปที่ศพผีสาวที่อยู่ข้างๆ

เขาตกใจเหมือนนกกระทาน้อยตัวสั่นระริก

“สวัสดีค่ะ” หลินหวั่นชิวตอบ

“นี่คือ…” โจวเจ๋อชี้ไปที่ศพผีสาว “คือคนรักของสวี่ชิงหล่าง”

“ใช่…ว่าไงนะ” สวี่ชิงหล่างตกตะลึงงัน แต่วินาทีต่อมา มือของโจวเจ๋อกลับใช้แรงผลักเล็กน้อย จนสวี่ชิงหล่างตัวเซ เข้าไปติดกับศพผีสาว

“อ้อ นี่คือคนรักของผม เธอแซ่ไป๋ ชื่อว่าไป๋ซู ซะ…ไป๋ซูซู “สวี่ชิงหล่างมองหลินหวั่นชิว ขณะเดียวกันก็ได้ใช้มืออีกข้างหนึ่งวางไปบนไหล่ของศพผีสาวเพื่อแสดงความสนิทสนม

ทันใดนั้น ความรู้สึกเย็นเยียบเหมือนเมื่อคืนส่งความเสียวซ่านไปที่จิตวิญญาณของเขาโดยตรง

“อา…โอ้วๆๆๆ…ฮู้ๆๆ…โอ้ย…”

สวี่ชิงหล่างหลังจากตัวสั่นเป็นเจ้าเข้าสองสามครั้งจึงปล่อยมือ เอ่ยว่า “ฮ่าๆ ที่รัก ตัวเธอนุ่มมาก ผมชอบลูบคุณจัง

ฮ่าๆๆๆ!”

“พวกคุณเชิญตามสบาย หวั่นชิว คุณออกมากับผมหน่อย ผมมีเรื่องอยากพูดกับคุณ”

ขณะที่พูด โจวเจ๋อก็จูงมือของหลินหวั่นชิวโดยตรง ไม่สนใจว่าเธอจะยินยอมหรือเปล่าแล้วดึงหลินหวั่นชิวออกมาจากร้านหนังสือทันที

“อ้าว สวีเล่อ ผมเพิ่งนึกได้ว่ามีเรื่องสำคัญจะพูดกับคุณเหมือนกัน อย่างเช่นห้องของผมมีเยอะเกินไป อยากจะแบ่งห้องชุดให้คุณบ้าง”

สวี่ชิงหล่างโบกมือและแสร้งทำเหมือนจะเดินออกไปพร้อมกับโจวเจ๋อ

ศพผีสาวยืนอยู่ข้างๆ ไม่ขยับ ยืนอย่างสง่าสุภาพเรียบร้อยมีมารยาท

ทว่าสวี่ชิงหล่างกลับสัมผัสถึงความเย็นเยียบที่น่ากลัวบางอย่างกำลังวนอยู่รอบต้นคอของตัวเอง ดูเหมือนว่าหากตัวเองเดินออกไปข้างนอกหนึ่งก้าวก็จะถูกฉีกออกในชั่วพริบตา

สวี่ชิงหล่างเลือกที่จะหยุดเดินอย่างชาญลาด จากนั้นก็หัวเราะฮ่าๆ

“ที่รักอย่าโกรธสิครับ จะเอาห้องให้คนอื่นได้ยังไง รอให้ประเทศของพวกเรามีนโยบายมีลูกยี่สิบคนก่อนแล้วค่อยให้ลูกๆ สืบทอดมรดกต่อ ถึงตอนนั้นคุณก็จะได้รับเหรียญแม่ผู้กล้าหาญ”

สวี่ชิงหล่างสีหน้าขมขื่น กลับไปนั่งที่เก้าอี้พลาสติกอีกครั้ง

โจวเจ๋อเดินจูงมือของหมอหลินออกมาจากร้านหนังสือ เดินมาที่จอดรถของหมอหลินที่อยู่ข้างทาง

“มีเรื่องอะไร พูดมาค่ะ” หมอหลินถาม

“ช่วงนี้ดูเหมือนคุณจะอ้วนขึ้น ตอนเย็นอย่ากินอาหารมื้อดึกนะครับ”

พูดจบ โจวเจ๋อจึงผลักหมอหลินไปที่รถ

“รีบขับรถกลับไปเลยครับ ตอนเย็นถ้าไม่มีอะไรทำก็วิ่งหรือกระโดดเชือกนะครับ”

“นี่มันเกิดเรื่องอะไรกันแน่คะ” หมอหลินจับโจวเจ๋อที่กำลังหมุนตัวกลับไปที่ร้านหนังสือ

“ไม่ต้องสนใจอะไรทั้งนั้น คุณรีบกลับไปดีกว่าครับ” โจวเจ๋อพูดเร่ง

หมอหลินไม่พูดอะไรอีก เข้าไปนั่งในรถของตัวเอง สตาร์ทรถ สุดท้ายจึงมองโจวเจ๋อด้วยแววตาลึกซึ้งหนึ่งที แล้วจึงขับรถออกไป

โจวเจ๋อถอนหายใจโล่งอก จากนั้นจึงนั่งอยู่ข้างทาง จุดบุหรี่หนึ่งมวน

พูดตามความจริง เขาไม่อยากกลับไปที่ร้านหนังสือ และสติสัมปชัญญะบอกเขาว่า การเลือกที่จะไปกับหมอหลินเป็นตัวเลือกที่ฉลาดที่สุด แต่จะทำเช่นไรได้ ศพผีสาวตัวเองเป็นคนขุดขึ้นมาจากที่ดินผืนนั้นเอง

โจวเจ๋อไม่ใช่พ่อพระ เขากลัวความยุ่งยากมากจริงๆ แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ถึงแม้จะยังไม่มองฐานะปัจจุบันที่ตัวเองเป็นยมทูตชั่วคราว กล่าวคือถ้าหากศพผีสาวก่อความวุ่นวายขึ้นมาในเมืองทงเฉิงบ้านเกิดของตัวเองอย่างกำเริบเสิบสาน เขาเองคงรู้สึกแย่เหมือนกัน

ส่วนสวี่ชิงหล่างที่ยังอยู่ในร้านหนังสือ

อ้อ สวี่ชิงหล่างยังอยู่ในร้านหนังสือ เกือบลืมไปแล้ว

ยังอยู่หรือว่าตายไปแล้ว

หรือว่ายังอยู่?

ตอนเด็กเติบโตมาจากสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้า สถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าที่นั่นมีความใสสะอาด ความสัมพันธ์กับเด็กๆ ก็ดีมาก รู้จักเอาใจใส่กันและให้กำลังใจกันและกัน หลังจากโตก็มาเป็นหมอ เป็นงานที่ช่วยเหลือคน เวลาที่เหลือนอกจากงานโดยทั่วไปก็ไม่เคยสนใจฝึกฝนการต่อยมวยหรือคิกบ็อกซิ่ง

และเพราะเหตุนี้

โจวเจ๋อตอนนี้กำลังต่อสู้อยู่จริงๆ ตัวเองเขาก็ยังรู้สึกน่าเกลียดเล็กน้อย

เพราะว่าศพผีสาวกลัวเล็บของเขา ดังนั้นตอนที่โจวเจ๋อกำลังต่อสู้ จึงเหมือนกับพวกผู้หญิงปากร้ายใช้เล็บจิกหน้ากัน ไม่มีมาดของยมทูตเลยสักนิดเดียว

เมื่อเทียบกับความเท่ห์ของสาวที่อ้าปากท่องคาถา “ทางเดินสู่นรก ข้ามสู่แดนน้ำพุเหลือง” ยังต่างกันอีกเยอะ

แต่ตอนนี้ทุกอย่างไม่ใช่ปัญหา มีผลลัพธ์ก็พอแล้ว

สำหรับความรู้สึกของโจวเจ๋อที่อุ้มศพผีสาวกลับมาก่อนหน้านั้น กับเหตุการณ์ในตอนนี้ ช่างสวยงามยิ่งนัก

“โอ้ย!”

ศพผีสาวถูกโยนกระเด็นออกไปอีกครั้ง และทุกครั้งที่เข้าใกล้เล็บของโจวเจ๋อ อากาศสีดำที่อยู่บนเล็บจะทะลุเข้าสู่ร่างกายของนางภายในพริบตาและเกิดแผลขนาดใหญ่ให้กับนางด้วย

“สวรรค์ไร้ขอบเขต ใจลึกลับคือธรรมมะ!”

ยันต์กระดาษปรากฏขึ้นมาในมือของสวี่ชิงหล่าง แปะลงไปที่พื้นพร้อมกัน และชั่วเวลาหนึ่ง ความเย็นภายในร้านหนังสือเหมือนจะลดลงเพราะเหตุนี้ และทุกครั้งที่ศพผีสาวร่วงลงไปที่พื้น ยันต์กระดาษก็สั่นสะเทือน ร่างของศพผีสาวร้อนขึ้นทันที ราวกับมีไฟกำลังแผดเผา

ศพผีสาวมองตาขวาง นางไม่กล้าเผชิญหน้ากับโจวเจ๋ออีก และได้แต่พุงตัวทะลุผ่านไปจากด้านข้าง ความเร็วของนางรวดเร็วมาก พยายามจะกระแทกประตูกระจกร้านหนังสือให้แตกออกแล้วหนีออกไป

ทว่าตอนนี้โจวเจ๋อ กำลังมั่นใจมากขึ้นเรื่อยๆ

ดังคำกล่าวที่ว่า ไม่เคยกินเนื้อหมูหรือว่าไม่เคยเห็นหมูมาก่อน

จากภาพยนตร์ฮ่องกงในวัยเด็กจนถึงภาพยนตร์กำลังภายในและแฟนตาซีเทพเซียน แต่ละสำนักทุกคนก็น่าจะเคยเห็นมามาก

โจวเจ๋อวาดสองมือตามแนวนอน นัยน์ตาดำขลับมองไปที่ประตูใหญ่

ตอนที่ศพผีสาวพยายามจะกระแทกประตูกระจกให้แตก กลับมีลำแสงสีดำปรากฏอยู่บนประตูกระจกในทันใดราวกับเป็นเล็บมือกำลังกรีดให้เป็นรอยอยู่บนนั้น

ศพผีสาวกรีดร้องออกมาอย่างน่าเวทนา กระเด็นกลับมาอย่างรุนแรง แล้วร่วงลงบนพื้น

โจวเจ๋อค่อยๆ เดินไปข้างหน้า และกำลังปรับลมหายใจของตัวเองให้สงบลงในเวลาเดียวกัน

ทว่าศพผีสาวที่ถูก ‘จับ’ กลับมาอีกครั้งกลับคุกเข่าลงกับพื้นโดยตรง มือข้างหนึ่งชี้ไปที่โจวเจ๋อ และเอามืออีกข้างหนึ่งปิดบังใบหน้าของตัวเองไว้

“ฮือๆๆๆๆๆ…”

“ข้าจะจัดการตัวประหลาดอย่างเจ้าให้ตาย!”

สวี่ชิงหล่างหยิบยันต์กระดาษออกมาอีกหนึ่งใบ

ศพผีสาวเริ่มชี้ไปที่โจวเจ๋อ แล้วร้องไห้สะอึกสะอื้นอย่างน้อยเนื้อต่ำใจสุดๆ

“เจ้าลูบตัวข้า แถมยังตีข้า เจ้าไม่ใช่คน!”

โจวเจ๋อกระตุกมุมปากเมื่อรู้ตัว

ศพผีสาวที่สร้างแรงกดดันและความตกใจกลัวให้ตัวเองกับสวี่ชิงหล่างเมื่อครู่จู่ๆ ก็ทำตัวกระมิดกระเมี้ยนในทันใดรู้สึกงงจริงๆ

แต่โจวเจ๋อยังคงพูดด้วยน้ำเสียงที่เคร่งขรึมเหมือนเดิม

“ผมเป็นผี”

…………………………………………………………………………

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยมทูตพาร์ตไทม์แห่งร้านหนังสือยามวิกาล