ตอนที่ 377 จุดเริ่มต้นความเปลี่ยนแปลง!
ถึงแม้เจิ้งเฉียงกับเยวี่ยหยาจะแสดงออกถึงการอยากมีชีวิตรอดอย่างสุดขีด บอกว่ายินดีช่วยออกเงิน เป็นพวกที่ถูกคนอื่นขายไปแล้วยังช่วยนับเงินอีกอย่างแท้จริง
แต่ท้ายที่สุดคนที่ออกเงินก็คือโจวเจ๋อ เสียดายก็ส่วนเสียดาย เศร้าใจก็ส่วนเศร้าใจ แต่เงินที่สมควรจ่ายก็ต้องจ่ายในจุดนี้ เถ้าแก่โจวยังแยกแยะได้อย่างชัดเจน
เถ้าแก่โจวเป็นคนประหยัด แต่ก็ไม่ใช่คนงกหวงเงินขนาดนั้น กลับทำให้ทนายอันรู้สึกตกใจในจุดนี้
ทุกคนกินข้าวมื้อนี้นับว่าไม่ค่อยรื่นเริงเท่าไร และบรรยากาศก็ไม่สู้ดีนัก ไม่ได้เป็นเพราะทุกคนไม่พอใจจึงรู้สึกไม่ดีต่ออาหารโต๊ะนี้ แต่เป็นเพราะคนทั้งโต๊ะนี้ที่สามารถกินได้อย่างเอร็ดอร่อยจริงๆ มีเพียงนักพรตเฒ่ากับสวี่ชิงหล่างสองคนเท่านั้น อืม หรืออาจจะพูดได้ว่า คนที่นั่งล้อมโต๊ะใหญ่ มีคนเป็นแค่สองคนเท่านั้น
เดดพูลชอบกินแมลงจึงไม่สนใจอาหารที่อยู่บนโต๊ะมากเท่าไร และตอนที่อยู่ในร้านหนังสือ เขาก็ไม่เคยมากินข้าวไป๋อิงอิงไม่จำเป็นต้องกินอาการเพื่อดำรงชีวิต จึงชิมแค่เล็กน้อยเท่านั้น
ซึ่งหมายความว่าบนโต๊ะอาหารนั้น คนส่วนใหญ่เป็นผู้ป่วยโรคเบื่ออาหารอย่างรุนแรง บวกกับโจวเจ๋อและสาวน้อยโลลิไม่อยากใช้น้ำดอกพลับพลึงแดง พวกเขาไม่อยากเปิดเผยและแบ่งปันสิ่งนี้ ดังนั้นทุกคนจึงได้แต่จ้องตากัน พยายามต่อสู้กับอาหารที่อยู่ตรงหน้าอย่างยากลำบาก
ทั้งๆ ที่อาหารบนโต๊ะราคาแพงไม่ธรรมดา แต่กลับทำให้ทุกคนที่อยู่ในห้องอาหารส่วนตัวอยู่ในบรรยากาศ ‘หวนคิดถึงความลำบากในอดีตและความสุขในปัจจุบัน’ ใครจะรู้ว่าข้าวแต่ละเม็ดในจานจะแฝงไปด้วยความลำบากทั้งสิ้น กว่าจะกลืนข้าวได้แต่ละเม็ดช่างยากเย็นแสนเข็ญ ลำบากยิ่งกว่าชาวนาทำนาเสียอีก
เมื่อกินข้าวเสร็จแล้ว จางเยี่ยนเฟิง เยวี่ยหยา รวมทั้งเจิ้งเฉียงจึงมอบวิญญาณเลือดให้โจวเจ๋อ ขณะเดียวกันได้หลอมรวมเข้ากับสมุดยมทูตของโจวเจ๋อ ตอนนี้เถ้าแก่โจวกลายเป็นเถ้าแก่สมชื่อแล้ว
ลูกน้องยมทูตทั้งห้าคนอยู่ในมือของเขา ให้ความรู้สึกเหมือนตัวเองมีกองทัพนับหมื่นนับพัน ต่อไปเจอเรื่องอะไรแค่เรียกนิดเดียวก็มารวมตัวกันแล้ว
หลังจากสิ้นธุระแล้ว โจวเจ๋อกับทนายอันสองคนเลือกที่จะเดินกลับก่อน เจิ้งเฉียงกับเยวี่ยหยาต่างแยกย้ายกันกลับอู๋ซีและไหวอัน อย่างไรก็ตามทุกคนอยู่รวมกันในทงเฉิงคงไม่สะดวก ทงเฉิงใหญ่แค่นี้เอง ทุกคนมาเบียดกันอยู่ที่นี่ก็หมายความว่าทุกคนจะกินไม่อิ่มท้อง
ส่วนคนอื่นๆ ในร้านหนังสือได้นั่งรถกลับไปก่อนแล้ว วันนี้ท้องฟ้ามืดครึ้ม ดังนั้นถึงแม้จะเดินตามถนนใหญ่ตอนบ่ายก็ไม่ถึงกับร้อนเกินไป
“ต่อจากนี้ ก็คือปัญหาเรื่องการทำผลงานแล้ว แต่ปัญหานี้ไม่ถือว่าใหญ่มาก อย่างน้อยสำหรับระดับของคุณในตอนนี้ ยังมีวิธีฟาร์มคะแนนได้อีก”
“ฟาร์มคะแนน”
คำว่า ‘ฟาร์มคะแนน’ คำนี้มีความหมายว่าทำง่ายแต่ได้ผลลัพธ์ขั้นสูง สามารถประหยัดเวลาและพลังได้มากมาย
ทนายอันพยักหน้า “ตอนที่ผมคุยกับนักพรตเฒ่า จึงรู้ว่าพวกคุณเคยไปหมู่บ้านหนึ่ง และพวกคุณได้ปราบคนที่หมู่บ้านนั้นแล้ว”
“อืม”
หมู่บ้านซานเซียง จนถึงตอนนี้โจวเจ๋อยังยากที่จะลืมเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านซานเซียง เดิมทีคิดว่าเป็นหมู่บ้านผีเปรต แต่ปรากฏว่ากลับมีเรื่องราวที่น่าเศร้าแอบซ่อนอยู่ และเรื่องนี้ทำให้โจวเจ๋อมีความเข้าใจเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่าง ‘คน’ กับ ‘ผี’ ลึกซึ้งยิ่งขึ้น
“จริงๆ แล้วสถานที่ที่คล้ายกันแบบนี้มีอยู่ไม่น้อย คุณลองคิดดู ถ้าปราบวิญญาณทั้งหมู่บ้านได้รวดเดียว คะแนนจะเพิ่มขึ้นจนน่าตกใจ แน่นอนว่า ไม่ใช่ทุกหมู่บ้านที่มีพลังบวกแบบนั้น”
โจวเจ๋อยิ้ม เพื่อบอกว่าตัวเองเข้าใจ
“ลมจะพัดแล้ว พวกเราต้องรีบทำเวลา เมื่อคืนผมได้คุยกับเยวี่ยหยาและเจิ้งเฉียงอยู่บนรถ พวกเขาบอกว่าผู้จับกุมที่ชื่อกู่เหอเคยส่งผีตัวนั้นไปที่เซี่ยงไฮ้ แต่ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเหตุใด จึงเปลี่ยนทาง”
“นั่นคือผีอะไร” โจวเจ๋อถาม
ตัวตลกที่ใส่หน้ากากสามารถเรียกบาปที่อยู่ในร่างกายของมนุษย์ออกมาได้ วิธีแบบนี้ยอดเยี่ยมมากกว่าวิญญาณที่หลอกให้คุณตกใจเสียอีก
“เป็นสิ่งมีชีวิตในนรกชนิดหนึ่งที่ชอบอาศัยอยู่ท่ามกลางหมอกควันในนรก จำได้ว่าพวกขุนนางใหญ่ในนรกชอบจับมาเลี้ยงไว้ข้างกาย นรกทั้งสิบขุมก็มีอยู่ไม่น้อย แต่นำมาใช้ลงโทษคนเท่านั้น เรียกสันดานชั่วของมนุษย์ออกมา แล้วสลายตัวกลายเป็นเปลวไฟกลืนกินวิญญาณของมนุษย์คนนั้น
แต่นั่นคือวิธีการทรมานที่มีระดับค่อนข้างสูงอย่างหนึ่ง โดยทั่วไปจะนำมาใช้กับคนชั่วช้าสามานย์ วิญญาณทั่วไปจะไม่ได้รับบริการระดับสูงแบบนี้ แล้วก็พวกหัวหน้าใหญ่ในนรก ชอบเลี้ยงพวกมันไว้ช่วยตัวเองดูดบาปและความคิดชั่วช้าเหล่านี้ จากนั้นตัวเองก็ค่อยกินพวกมัน อย่างไรก็ตาม สำหรับตัวตนระดับพวกเขา สิ่งเหล่านี้นอกจากจะไม่หาเรื่องใส่ตัวพวกเขาแล้ว ตรงกันข้ามยังสามารถนำมาฝึกฝนตัวเอง เก็บพวกมันไว้ให้ตัวเองใช้ได้”
“เจ้าสิ่งนั้นออกมาได้ยังไง”
“สาเหตุคืออะไรผมก็ไม่แน่ใจ เหมือนที่ผมไม่แน่ใจว่าคุณกับสาวน้อยโลลิมีน้ำดอกพลับพลึงแดงได้ยังไง”
โจวเจ๋อตกตะลึงเมื่อได้ยินดังนั้น โชคดีที่ทนายอันไม่ได้ขอจากเขา
“ผมเคยเป็นข้าราชการในนรกมาก่อน และก็เคยอยู่วงการมาเฟีย เนื่องจากเคยคลุกคลีกับทั้งสองอย่าง ดังนั้นการรับรู้ถึงความเปลี่ยนแปลงจึงค่อนข้างลึกซึ้งอยู่บ้าง ยิ่งลมพัดแรง สถานการณ์อาจจะถูกพัดให้พังลงภายในสองปี มีบางกฎเกณฑ์ หากเป็นเมื่อสิบยี่สิบปีก่อน นั่นคือกฎเหล็ก แต่ถ้าเป็นตอนนี้ อย่างมากก็แค่มีไว้เพื่อหลอกลวงตนเองและคนอื่น เหมือนซุนหงอคงใน ‘ไซอิ๋ว’ อยากจะช่วยคนให้ฟื้นคืน จึงไปอาละวาดในนรก แล้วดูคุณตอนนี้สิ คุณสามารถช่วยคนกลับมามีชีวิตได้และยังเป็นยมทูตได้อีกด้วย จิตใจของคนเปลี่ยนไป แม้แต่ผีก็ไม่เหมือนเดิม”
โจวเจ๋อหยิบบุหรี่ออกมาสองมวน มวนหนึ่งยื่นให้ทนายอัน อีกมวนหนึ่งตัวเองคาบไว้ ทนายอันรู้สึกกังวลใจอย่างเห็นได้ชัด โจวเจ๋อเชื่อว่า เขาไม่ได้กังวลเกี่ยวกับการพัฒนาในอนาคตของนรก ถ้าหากเขามีใจรักประเทศชาติและประชาชนจริงๆ เขาคงจะไม่กังวลพร้อมกับทำเรื่องผิดกฎหมายไปด้วย
เขากำลังเป็นห่วงความปลอดภัยในอนาคตของตัวเอง สาเหตุที่เขาเข้ามาสวามิภักดิ์กับโจวเจ๋อ และวางแผนให้โจวเจ๋ออย่างเต็มที่ เพราะเขาได้คำนวณถึงความปลอดภัยในอนาคตของตัวเองเอาไว้เรียบร้อย
“ผมเคยได้ยินผู้ตรวจสอบในหยินโซ่วบอกว่า ถ้าอยู่ในยุคของเขา กฎของยมทูตเคร่งครัดมาก มีรายละเอียดหลายข้อละเอียดยิบ ไม่มีความอิสระและหละหลวมเหมือนทุกวันนี้อย่างสิ้นเชิง สำหรับองค์กรหนึ่ง หลังจากที่รากฐานของมันเริ่มเน่า นั่นหมายความว่าการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่กำลังจะมาถึง”
ทนายอันมองโจวเจ๋อแล้วพูดอย่างจริงจัง “ดังนั้น ถ้าอยากรักษาชีวิตของตัวเอง ก็ต้องฉวยโอกาสตอนที่เรือใหญ่ยังไม่จมน้ำ เลื่อนตำแหน่งของตัวเองขึ้นไป”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยมทูตพาร์ตไทม์แห่งร้านหนังสือยามวิกาล