ยมทูตพาร์ตไทม์แห่งร้านหนังสือยามวิกาล นิยาย บท 43

ตอนที่ 43 ไม่ได้ ไม่ได้นะ!

ในฐานะศัลยแพทย์คนหนึ่ง โจวเจ๋อสามารถตรวจสอบความผิดปกติการตายของศพได้อย่างง่ายดาย เช่นนั้นแพทย์นิติเวชที่เรียนมาตรงสายงานพวกนั้นก็สามารถตรวจพบอย่างเห็นได้ชัด

ด้วยเหตุนี้ ในมุมมองของโจวเจ๋อ การสร้างฉากอุบัติเหตุรถชนครั้งนี้ในความเป็นจริงแล้วล้มเหลวมาก กระทั่ง‘ดูไม่สมจริง’ ไม่มีการพิจารณาไตร่ตรองอะไรด้วยซ้ำ

และไม่รู้ว่าคนพวกนี้ ยังมีแผนอื่นหรือวิธีอื่นเพิ่มเติม เพื่อให้อุบัติเหตุครั้งนี้สมบูรณ์หรือไม่ หรือไม่ก็คือจริงๆ แล้วคนพวกนี้เป็นแค่ ‘เด็กใหม่’ เท่านั้น

แน่นอนว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลามาคิดเรื่องพวกนี้ เพราะคนกลุ่มนี้ดูเหมือนไม่อยากจะยืดเยื้อต่อไป

“จับพวกเขา จากนั้นก็ขับรถของพวกเขาไป”

คนขับรถบัสคันใหญ่มองเวลา ตอนนี้เวลาเป็นสิ่งที่ล้ำค่ามาก

ลูกน้องสองสามคนกระโดดเข้ามา สำหรับพวกเขาแล้ว ผู้ชายตัวผอมแห้งคนหนึ่งบวกกับผู้หญิงวัยรุ่นอีกสองคนไม่สามารถก่อเรื่องอะไรได้อย่างสิ้นเชิง

ไป๋อิงอิงหันมาแล้วมองโจวเจ๋อ นางกำลังรอคำสั่งของเขา

หมอหลินยืนอยู่ที่เดิม และมองออกว่าเธอตื่นเต้นมาก แต่เธอไม่ได้ร้องกรี๊ดและไม่ตะโกนเสียงดัง สามารถทำได้ถึงขั้นนี้ ถือว่าไม่ง่ายเลย

คนส่วนใหญ่ถ้าเผชิญหน้ากับสถานการณ์เช่นนี้ ถึงแม้ปกติจะเป็นเด็กหนุ่มใจกล้าบ้าบิ่น ก็ยังต้องคุกเข่าอ้อนวอนตะโกนว่า ‘ผมไม่เห็นอะไรทั้งนั้น’ เกรงว่าจะเป็นเรื่องปกติมาก

“อย่าฆ่าคน” โจวเจ๋อเอ่ยเตือน

“ฮ่าๆ” เจ้าของรถบัสคันใหญ่ได้ยินแล้วจึงหัวเราะขึ้นมา

แต่น่าเสียดาย คำนี้โจวเจ๋อไม่ได้พูดกับเขา

ไป๋อิงอิงขานรับ ‘ได้เลย’ จากนั้นก็พุ่งออกไปตรงๆ

โจวเจ๋อถอยหลังไปหนึ่งก้าว จับมือของหมอหลินไว้และเอ่ยว่า “ไม่เป็นไร มีผมอยู่ทั้งคน”

เท้าของไป๋อิงอิงที่พุ่งไปข้างหน้า เกือบสะดุดจนเซล้ม

ข้ากำลังรบพุ่งอยู่ข้างหน้า แต่ท่านกลับมาแสดงความรักอย่างสบายใจเฉิบหรือ

น้องสาม[1]

ไม่สิ สาวใช้ก็มีศักดิ์ศรีเหมือนกัน!

หมอหลินเม้มปาก เธอพูดตำหนิตัวเอง “ขอโทษค่ะ”

เป็นเพราะเธอที่จอดรถอยากช่วยชีวิตคน ถึงทำให้ทุกคนต้องเจอเหตุการณ์ที่เสี่ยงตายเช่นนี้ ดังนั้นเธอจึงขอโทษ

“สมควรแล้ว ทำงานจนชิน” โจวเจ๋อหัวเราะอย่างขมขื่น คราวที่แล้วที่โรงภาพยนตร์ เขาก็พุ่งเข้าไปแบบนี้ และได้แต่พูดว่า เป็นความคุ้นชินของบางอาชีพ ที่เปลี่ยนไม่ได้จริงๆ

ศพผีสาวถูกคนอื่นอวดความรักโชว์ นางจึงใช้กำลังแรงไปหน่อยโดยไม่รู้ตัว

“แม่สาวน้อย มามะ ให้พี่กอดหน่อย”

ผู้ชายคนหนึ่งอ้าแขนออก อยากจะกอดสาวนักเรียนมัธยมปลายคนนี้

หัวหน้าไม่ได้สั่งให้พวกเขาฆ่าคนที่นี่ แต่ให้พาตัวของพวกเขาไป อย่างไรก็ตามเรื่องที่เกิดขึ้นที่นี่ จะยืดเยื้อยาวนานไม่ได้

ทว่ามือของเขากลับกอดความว่างเปล่า

ต่อจากนั้น แขนซ้ายของเขากลับถูกศพผีสาวจับไว้

“แกร๊ก…”

“แกร๊ก…”

“แกร๊ก…”

หมอหลินฟังจนตัวสั่น โจวเจ๋อเองก็รู้สึกแสบหูอยู่บ้าง

กระทั่งรู้สึกว่าโฆษณา ‘ขนมขบเคี้ยวยี่ห้อบักเกิลส์’ หากมาใช้เสียงประกอบของที่นี่ น่าจะดีกว่าโฆษณาที่มีอยู่ตอนนี้เลย

กรุบๆ

ผู้ชายอ้าปากกว้าง เขารู้สึกเจ็บแต่ตะโกนไม่ออก ศพผีสาวเดินไปข้างหน้าอีกหนึ่งก้าว เตะน่องของผู้ชายวัยกลางคนหนึ่งที

“กร๊อบแกร๊บ…กร๊อบแกร๊บ…กร๊อบแกร๊บ…”

มีเสียงดังกร๊อบแกร๊บอีกสามครั้ง

‘ขนมมันฝรั่งทอดตราเค่อปี้เค้อ (Capico) ก็เอาเสียงนี้ไปใส่ในโฆษณาได้’ โจวเจ๋อคิดในใจ

“ฉัน…จริงๆ เลย…”

ผู้ชายนอนขดตัวอยู่บนพื้น แขนข้างหนึ่งพังไปแล้ว ส่วนขาอีกข้างหนึ่งก็หัก ทั้งตัวเหมือนกับคางคกตัวหนึ่งที่นอนอยู่บนพื้นได้แต่โอดครวญแต่ขยับไม่ได้

โจวเจ๋อไม่เห็นใจเลยแม้แต่น้อย เขาไม่อนุญาตให้ศพผีสาวฆ่าคน เพราะเป็นเรื่องของโลกมนุษย์ จึงได้แต่มอบให้ตำรวจไปจัดการ เขาเชื่อว่าองค์การตุลาการของประเทศนี้ จะสามารถขจัดสิ่งชั่วร้ายออกไปได้ทั้งหมด

แต่พวกคนที่อยู่ตรงหน้านี้ อย่างไรเสียก็คือคนร้ายที่ฆ่าคนอย่างเลือดเย็น และยังคิดจะลงมือกับตัวเองอีกด้วย โจวเจ๋อก็ไม่ใช่พ่อพระที่ไหน ที่จะคิดว่าการปฏิบัติกับพวกเขาแบบนี้มันน่าสงสารมาก

สวรรค์ก็รู้ เมื่อครู่พวกเขาคิดจะทำอะไรกับพวกเขาทั้งสามคน

ถ้าหากตัวเองยังเป็นหมอในชาติก่อน ศพผีสาวก็เป็นแค่เด็กนักเรียนชั้นมัธยมปลาย แล้วใครจะมาสงสารพวกเขา

“ปัง!”

“ตึ้ง!”

“ปัง!”

ผู้ชายอีกสองคนก็ล้มลงไปแบบนี้ กระดูกก็หัก เฉกเช่นเดียวกัน ถึงแม้จะไม่ถึงตายแต่ว่าพิการแน่

จากสายตาของผู้เชี่ยวชาญอย่างโจวเจ๋อ ทั้งสามคนล้มลงไปบนพื้นแบบนี้ ต่อให้ไปถึงโรงพยาบาลในภายหลังครึ่งที่ชีวิตที่เหลือต่อจากนี้ ไม่น่าจะช่วยเหลือตัวเองได้

โทรศัพท์ของเจ้าของรถบัสคันใหญ่ตกลงมากระแทกลงบนพื้น

เขากลืนน้ำลายเมื่อรู้ตัว

และรู้สึกว่าทุกสิ่งที่อยู่ตรงหน้าไม่ใช่เรื่องจริงอย่างสิ้นเชิง

เขาไม่ได้พกสเปรย์สารเคมีมาด้วย เพราะก่อนหน้านั้นวางแผนไว้ว่าจะต้องเจอตำรวจจราจร เข้ารับการตรวจสอบและสอบปากคำกับทางตำรวจ ดังนั้นจึงไม่ได้พกสิ่งของผิดกฎหมาย

เดิมทีเขาคิดว่าถึงแม้จะมีคน ‘จิตใจดีกระตือรือร้น’ อย่างโจวเจ๋ออีกสองสามคน เรื่องนี้ก็ไม่น่าจะเกิดความคลาดเคลื่อนอะไรมากเกินไป

ถึงแม้จะพลาดไปบ้าง แต่เขาก็ยังคงควบคุมได้

ทว่าปัญหาในตอนนี้หนักมาก เพราะผู้หญิงคนนี้เดินมาอยู่ตรงหน้าเขา

“ผม…” เจ้าของรถบัสคันใหญ่ที่เพิ่งแสดงฝีมืออันยอดเยี่ยมเมื่อครู่ ตอนนี้กลับพูดไม่ออกสักคำ

“ปั่ก!”

ศพผีสาวยื่นมือจับเจ้าของรถบัสแล้วจับพลิกไปกับพื้นโดยตรง จากนั้นใช้เท้าข้างหนึ่งเหยียบไปที่คอของเขา

“เดี๋ยวก่อน” โจวเจ๋อตะโกน

ศพผีสาวหยุดและไม่ถามว่าทำไม

โจวเจ๋อเดินไปอีกข้างหน้า คุกเข่าลง ยื่นมือตบไปที่ใบหน้าที่มีหนวดเคราของเจ้าของรถบัส

จากนั้นก็รู้สึกว่าตัวเองทำเกินจำเป็น จึงเอามือถูไปมาที่ขากางเกงของศพผีสาว

ใบหน้าของไอ้หมอนี้ มีมันเยิ้มจริงๆ

“…” ศพผีสาว

“พวกคุณยังมีคนอื่นอีกไหม”

โจวเจ๋อมีสิ่งที่ต้องพิจารณาในตอนนี้ ก็คือจะจัดการหายนะที่เกิดขึ้นภายหลังทั้งหมดได้อย่างไร ตัวเขาเองไม่กลัวอะไรเท่าไร แต่เรื่องนี้ไม่อาจปิดบังได้ ถ้าหากจัดการตัวเล็กแล้วตัวใหญ่หนีไป แล้วอีกฝ่ายตั้งเป้าหมายแก้แค้นมาที่หมอหลินจะทำอย่างไร

แต่ไม่สามารถป้องกันโจรได้ร้อยวัน

ก่อนหน้านั้น โลลิต้าน้อยเคยพูดว่า เมืองหรงเฉิงมีคนที่เป็นประเภทเดียวกับตัวเอง แต่ทำเกินหน้าที่ สถาปนาตนเป็นผู้พิพากษา ดังนั้นโจวเจ๋อจึงไม่อาจเดินตามรอยเท้าของเขาได้

ถึงแม้ในเรื่องของความรู้สึก โจวเจ๋อจะมองว่าเขาเก่ง รู้สึกว่าเขายอดเยี่ยมมาก และก็มีอุดมการณ์และความฝัน

แต่เรื่องนี้มีผลกระทบต่อชีวิตประจำวันของตัวเองแล้ว เขาจำเป็นต้องลงมือเพื่อจบเรื่อง

ศพผีสาวทุบแขนซ้ายของเจ้าของรถบัสโดยตรง

“กร๊อบ…”

“โอ้ยๆๆ !!! ไม่มีแล้ว ไม่มีแล้ว…มีแค่พวกเราสองสามคน พวกเรารู้จักกันตอนทำงาน…มีแค่พวกเราสองสามคนเท่านั้น พวกเราถูกนายจ้างจ้างมา”

โจวเจ๋อพยักหน้า จากนั้นก็มองไปที่ศพผีสาวและเอ่ยว่า “มีวิธีอะไร สามารถทำให้พวกเขาจำเรื่องนี้ไม่ได้บ้าง”

โจวเจ๋อไม่อยากก่อเรื่องวุ่นวาย และไม่อยากเป็นข่าว

ศพผีสาวจึงทำท่าหักคอ

โจวเจ๋อส่ายหน้า ห้ามฆ่าคน อย่างน้อย จะให้ตัวเองเป็นคนฆ่าไม่ได้

“หรือไม่ เถ้าแก่ก็ใช้เล็บของท่านทิ่มไปที่พวกเขา ให้สติของพวกเขาสับสนไปชั่วขณะ เหมือนกับคนเมาเหล้าจากนั้นก็ลืมจำอะไรไม่ได้”

“ทิ่มกี่ครั้ง” โจวเจ๋อถาม

“ทิ่มทีละนิดมั้งเจ้าคะ ไม่อย่างนั้นอาจจะตายจริงๆ อีกอย่าง ข้ารู้ว่าเถ้าแก่ท่านไม่อยากมีเรื่องวุ่นวาย พอกลับไปให้เผาเงินกระดาษที่เหลือของท่านเสีย แล้วเรื่องวุ่นวายก็จะไม่มารบกวน แต่คาดว่าคงไม่ค่อยมีใครเอาเงินมาโยนทิ้งที่หน้าร้านบ่อยนักเจ้าค่ะ”

โจวเจ๋อเงยหน้ามองหมอหลินที่อยู่ไกลๆ จากนั้นจึงเดินไปข้างตัวคนร้ายทุกคนที่นอนอยู่บนพื้นอย่างเงียบๆ แล้วใช้เล็บสีดำที่งอกยาวออกมาจากนิ้วก้อยของตัวเอง ทิ่มเข้าไปที่ละคน พวกสองสามคนนี้สั่นสะท้านไปทั้งตัว น้ำลายฟูมปากจากนั้นก็สลบไม่ได้สติไป

แต่ไม่มีอันตรายถึงชีวิต

เมื่อมองไปรอบๆ ที่นี่ไม่น่าจะมีกล้องวงจรปิด ไม่อย่างนั้นพวกเขาก็คงไม่เลือกสร้างฉากอุบัติเหตุที่นี่ โจวเจ๋อหยิบโทรศัพท์ของหนึ่งคนในนั้นขึ้นมาแล้วกดโทรแจ้งความ จากนั้นก็โยนโทรศัพท์ทิ้ง

หลังจากทำทุกอย่างเสร็จแล้ว โจวเจ๋อจึงโบกมือให้หมอหลินที่อยู่ทางนั้น แล้วจึงกลับเข้าไปนั่งในรถของหมอหลิน

หมอหลินก็เข้าไปนั่งตำแหน่งห้องคนขับ

“ขับออกไปก่อน อย่าจอดอยู่ที่นี่ครับ” โจวเจ๋อเอ่ยเตือน

“ค่ะ” หมอหลินสูดลมหายใจลึกๆ จากนั้นจึงสตาร์ทรถ

“อย่าบอกเรื่องนี้กับคนอื่นนะครับ”

ขณะที่รถกำลังแล่นโจวเจ๋อพลางพูดเตือน

“ทำไมคะ” หมอหลินเห็นได้ชัดว่าไม่สามารถเข้าใจได้

โจวเจ๋อชี้ไปที่ข้างหลัง

“เธอเป็นผู้สืบทอดมวยไท้เก๊กและมวยแปดทิศ เป็นเพราะว่าตอนที่ต่อสู้กับคนอื่นไม่ระวังทำคนอื่นต้องพิการ ดังนั้นจึงหลบหนีมาอยู่กับผม เมื่อครู่เธอช่วยชีวิตผมเอาไว้ ดังนั้นจะเปิดเผยฐานะของพวกเราไม่ได้ ไม่อย่างนั้นเธอจะต้องโดนตำรวจจับตัวไป”

ศพผีสาวที่นั่งอยู่ข้างหลังกลอกไปมา

คำพูดพวกนี้…กำลังหลอกผีเหรอ?

หมอหลินเงียบไม่พูด ไม่รู้ว่าเธอเชื่อหรือไม่ ได้แต่ขับรถเงียบๆ ต่อไป

รถยังคงขับมาที่โรงพยาบาลประชาชน สำหรับหมอหลินแล้ว ถึงแม้โจวเจ๋อจะไม่ได้พูดว่าไปที่ไหนในตอนแรก เธอก็จะขับมาที่นี่โดยสัญชาตญาณ อย่างไรก็ตามที่นั่นเป็นสถานที่ทำงานของเธอ และเธอสามารถได้รับความรู้สึกปลอดภัยได้จากที่นั่น

รถขับเข้าไปในลานจอดรถของโรงพยาบาลประชาชน จากนั้นทั้งสามคนจึงลงจากรถ

หมอหลินไม่ได้ถามว่าโจวเจ๋อจะไปไหน เธอคิดไม่ถึงว่าสถานที่ ที่โจวเจ๋ออยากจะไปก็คือห้องฉุกเฉิน เธอได้แต่เดินตามข้างหน้าไปอย่างเงียบๆ

ศพผีสาวกระซิบพูดข้างหูของโจวเจ๋อ “คืนนี้ท่านยังจะสารภาพรักไหมเจ้าคะ”

นางฉลาดมาก ดูจากที่หลินหวั่นชิวซื้อบ้านของโจวเจ๋อ ตอนที่ยังมีชีวิตอยู่และรายละเอียดอื่นๆ ด้วย อันที่จริงก็พอจะคาดเดาบางสิ่งที่อยู่ในนั้นได้มากมาย

“ไม่ใช่ละครของถงเหยา[2]เสียหน่อย ผมต้องลำบากสร้างโครงเรื่องทำไมกัน” โจวเจ๋อยักไหล่

ถึงแม้จะเกิดข้อผิดพลาดระหว่างทาง จนตอนนี้ทำให้หมอหลินเสียขวัญ แต่โจวเจ๋อก็ไม่คิดจะละทิ้งเจตนาเดิมของเขา

มีผู้หญิงแบบนี้ แถมยังเป็นภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมายด้วยกายเนื้อของตัวเองในตอนนี้

หากไม่บอกความจริงกับเธอและให้เธอยอมนอนกับตัวเองได้อย่างสบายใจในคืนนี้

เช่นนั้นสมองของตัวเองคงมีปัญหาใช่ไหมเล่า

ปิดบังซ่อนเร้น อ้อมไปอ้อมมา ร้องไห้ตีโพยตีพายแล้วจบอย่างมีความสุข มีความเจ้าอารมณ์ นั่นคือสไตล์ที่ชื่นชอบของถงเหยา แต่เขาโจวเจ๋อกลับไม่ชอบ

หมอหลินนั่งลงบนเก้าอี้ตัวยาวหน้าทางออกของลานจอดรถ โจวเจ๋อก็นั่งลงข้างๆ

ศพผีสาวไม่เข้ามาร่วมวงอย่างรู้กาละเทศะมาก

ทั้งสองคนนั่งข้างกัน

หลินหวั่นชิวสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ใบหน้าอันงดงามของเธอยิ่งดูสวยงามมากขึ้นภายใต้แสงจันทร์

โจวเจ๋อมองอย่างชื่นชมอยู่ข้างๆ

ถ้ามีผู้หญิงสวยแบบนี้ หรือว่ามีภรรยา…หน้าตาดีแบบนี้ ตลอดเวลาก็คิดถึงตัวเองซึ่งตายมากว่าครึ่งปีแล้ว ความรู้สึกของความสำเร็จท่วมท้นจริงๆ

“เรื่องเมื่อกี้ไม่เป็นไรจริงๆ ใช่ไหมคะ” หมอหลินเห็นได้ชัดว่ายังไม่อาจจะหลุดพ้นจากเหตุการณ์เมื่อครู่ได้

“พวกเราไม่ได้ทำเรื่องผิด ใช่ไหมครับ” โจวเจ๋อปลอบใจเธอ

หมอหลินพยักหน้า

“ก็เหมือนกับตำรวจที่จับผู้ร้ายค้ายาเสพติดที่กล้าหาญพวกนั้น พวกเขาก็ต้องปิดบังฐานะของตัวเอง ครอบครัวของพวกเขาก็ต้องทำแบบนี้เหมือนกัน นี่คือเพื่อรักษาความปลอดภัยของพวกเขา นี่คือการเสียสละที่ยิ่งใหญ่ของพวกเขาครับ”

“ดังนั้น คุณกลัวว่าจะถูกแก้แค้น”

“ครับ”

“โอเค ฉันเข้าใจแล้ว” หมอหลินพยักหน้า

โจวเจ๋อยกมือขึ้นมา เตรียมจะโอบกอดหญิงสาว แล้วสิ่งที่เกิดขึ้นต่อจากนั้นก็คือ ‘ช่วงเวลาที่เป็นพยานของการเกิดขึ้นของปาฏิหาริย์’ สรุปว่าหมอหลินเป็นคนเอ่ยพูดก่อน

“คุณกับเธอ เป็นอะไรกันแน่คะ สวีเล่อ ขอให้คุณตอบฉันอย่างจริงจัง และครั้งนี้ ไม่ว่าคุณจะตอบอะไร ฉันจะเชื่อทั้งหมดค่ะ” หมอหลินมองโจวเจ๋อแล้วเอ่ยถาม “และฉันก็จะให้อภัยด้วยค่ะ”

“ไม่ได้เป็นอะไรกันจริงๆ ครับ” โจวเจ๋อยิ้มเจื่อนๆ และได้แต่พูดว่าทั้งสองครั้งเป็นเรื่องบังเอิญเกินไป

หมอหลินเงียบอีกแล้ว ขณะที่โจวเจ๋อกำลังจะอ้าปาก หมอหลินเป็นฝ่ายยื่นมือไปจับมือของโจวเจ๋อก่อน โจวเจ๋อตกตะลึง

“สวีเล่อ ฉันขอโทษคุณค่ะ ฉันรักผู้ชายอีกคนมาตลอด คุณน่าจะรู้แล้ว ไม่อย่างนั้นคุณจะไปโผล่ที่บ้านหลังนั้นได้ยังไง ถึงแม้ฉันกับผู้ชายคนนั้นจะบริสุทธิ์ทั้งคู่ แต่ฉันยอมรับว่าฉันมีความคิดนอกใจ ฉันขอโทษคุณ เพราะว่าคุณเป็นสามีในนามของฉัน”

“ไม่เป็น…”

โจวเจ๋อกำลังจะพูด หมอหลินก็พูดอีก

“เรื่องของพวกเรา ฉันคิดได้แล้วค่ะ มีให้คุณสองทางเลือก หนึ่ง พวกเราหย่ากัน แล้วฉันจะชดเชยค่าเสียหายให้คุณหนึ่งล้านหยวน ร้านหนังสือก็เป็นของคุณ”

“หย่าอะไรครับ” โจวเจ๋อเอ่ย

“กับสอง ฉันจะพยายามลืมผู้ชายคนนั้น แล้วเลือกใช้ชีวิตกับคุณอย่างสงบสุข เป็นภรรยาที่แท้จริง…ของคุณชดเชยในสิ่งที่ฉันเอาเปรียบคุณเมื่อก่อน สวีเล่อ ฉันยินดีที่จะลอง มอบทุกอย่างของฉันให้กับคุณ จะรับผิดชอบและทำหน้าที่ของภรรยาอย่างเต็มที่ค่ะ”

ขณะที่พูดคำเหล่านี้ หมอหลินก็เบ้าตาแดง เธอยอมรับโชคชะตาแล้ว

“ครับ…เอ๊ะ เดี๋ยวก่อน”

โจวเจ๋อคิดตามไม่ทันไปชั่วขณะ ความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนพวกนี้ เขาต้องทำให้ชัดเจนก่อน จากนั้นโจวเจ๋อถึงคิดรายละเอียดต่างๆ ออก แล้วจึงลุกขึ้นด้วยความโกรธ ชี้หน้าหมอหลิน เอ่ยโดยเลือกคำพูดไม่ถูกว่า

“ไม่ได้ คุณต้องนอกใจต่อไป!”

“…” หมอหลิน

“พรวด…” ศพผีสาวที่แสร้งทำเป็นมองทิวทัศน์อยู่ไกลๆ แต่อันที่จริงใช้การฟังที่เหนือมนุษย์ทั่วไปแอบฟังคำรักหวานมาตลอดหลุดหัวเราะออกมา

ต่อจากนั้นนางเอามือกุมท้องแล้วนั่งยองลง

“ฮ่าๆๆๆ ข้าหัวเราะจนปวดท้องไปหมดแล้ว!”

…………………………………………………………………………

[1] น้องสาม เป็นคำแสลงของจีนได้ด้วยเช่นกัน หมายถึงมือที่สาม

[2] ฉงเหยา เป็นนักประพันธ์ นักเขียนบท และผู้ผลิตภาพยนตร์โทรทัศน์ของจีน

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยมทูตพาร์ตไทม์แห่งร้านหนังสือยามวิกาล