ยมทูตพาร์ตไทม์แห่งร้านหนังสือยามวิกาล นิยาย บท 56

ตอนที่ 56 น้ำคำเจ้าหน้าที่

กระเป๋าเงินของน้องภรรยาถูกโจวเจ๋อส่งกลับไปโดยผู้ส่งนิรนาม

อืม ด้วยวิธีเก็บเงินค่าบริการปลายทาง

เงินสองพันหยวนที่เดิมทีอยู่ในกระเป๋าถูกโจวเจ๋อริบเอาไว้แล้ว ถึงอย่างไรเด็กสาวคนนี้ก็มีเงินค่าขนมเยอะ ถือเป็นค่าความลำบากที่ตัวเองช่วยนำกระเป๋ากลับมาให้เธอก็แล้วกัน โจวเจ๋อคิดว่าที่ตัวเองเรียกเก็บมีเหตุผลมากทีเดียว

จากนั้นวันต่อมา โจวเจ๋อก็เห็นน้องภรรยาโพสต์ลงในไทม์ไลน์

“ขโมยคนนี้มีจรรยาบรรณในอาชีพจังเลย ขโมยกระเป๋าสตางค์ของฉันไป แต่ก็ยังส่งบัตรและเอกสารของฉันในนั้นกลับคืนให้ด้วย คนดีในสังคมนี้ยังมีอีกมากเลยนะเนี่ย”

โจวเจ๋อเห็นไทม์ไลน์นี้แล้วจึงเงียบไปพักหนึ่ง ช่างเถอะ เด็กโง่ก็ปล่อยให้โง่อย่างนี้ต่อไปน่ะดีแล้ว คนโง่มีความสุขในแบบคนโง่

ไป๋อิงอิงแอบส่งวิดีโอในยูเอสบีแฟลชไดรฟ์ที่ถูกลบส่วนหัวและส่วนท้ายส่งไปที่บ้านพี่สาวของชายวัยกลางคน และพี่สาวของเขา ก็ไปที่โรงพักเพื่อแจ้งความภายในวันนั้นเลย ไม่กี่วันต่อมาเวยปั๋วของเจ้าหน้าที่ตำรวจท้องที่ก็แถลงข่าวเช่นกัน

เหตุการณ์นี้ได้สร้างกระแสความฮือฮาไม่น้อยเลย หลายคนประณามถึงความไร้ยางอายและการเนรคุณชั่วช้าของผู้หญิงคนนั้น แต่กระแสความนิยมเทียบไม่ได้กับเรื่องที่เกิดขึ้นในตอนแรก

อีกทั้งคนที่ด่าผู้หญิงคนนี้ในตอนนี้ ที่เดาว่าน่าจะเป็นคนที่ด่าครูคนนั้นว่าเป็น ‘คนเลวเยี่ยงสัตว์เดรัจฉาน’ ในตอนแรกด้วยเช่นกัน

อย่างไรก็ตาม วันเวลาผ่านไปอย่างสงบสุขอยู่หลายวัน ธุรกิจยังคงซบเซาเหมือนเคย ไป๋อิงอิงเสพติดอินเทอร์เน็ตมากขึ้น เข้าขั้นก้าวหน้าเร็วจนน่าทึ่ง ทั้งยังเริ่มหมกมุ่นอยู่กับเกมออนไลน์ทีละนิดๆ นั่งดูสำเนากลยุทธ์อยู่ตรงนั้นทุกวันและดูเป็นเวลานานอีกด้วย

เหมือนกับสาวน้อยติดอินเทอร์เน็ตตัวจริงเสียงจริง

ช่วงพลบค่ำกินอาหารที่ร้านของสวี่ชิงหล่างตามปกติ พร้อมด้วยน้ำสตรอว์เบอร์รีที่สวี่ชิงหล่างพัฒนาสูตรใหม่ขึ้นมา โจวเจ๋อรู้สึกว่าตัวเองเริ่มลิ้มรส รสชาติอาหารได้อย่างช้าๆ

หลังอาหาร โจวเจ๋อกับสวี่ชิงหล่างแบ่งบุหรี่กันสูบตามปกติ

สวี่ชิงหล่างถือโทรศัพท์มือถือและเล่นเวยปั๋วอย่างสบายใจ

โจวเจ๋อพบว่าธุรกิจร้านอาหารของสวี่ชิงหล่างในช่วงนี้ เงียบเหงามากขึ้นเรื่อยๆ คนขับรถส่งดิลิเวอรี่นับวันยิ่งเข้าออกน้อยลง แน่นอนว่านี่ไม่ใช่สาเหตุเพราะพิษเศรษฐกิจหรือชื่อเสียงร้านอาหารของสวี่ชิงหล่างตกต่ำลง แต่เป็นเพราะผู้ชายที่อยู่ตรงหน้าเขาคนนี้ นับวันยิ่งขี้เกียจขึ้นต่างหาก

แต่ตามความเห็นของสวี่ชิงหล่างแล้ว มันเป็นปัญหาที่ตัวโจวเจ๋อเองนั้นแหล่ะ

ตัวเองยุ่งตั้งแต่เช้าจรดค่ำ แต่คนข้างๆ กลับนั่งอยู่ในร้านหนังสือและไม่ขยับไปไหนเลย เขาจะรักษาสมดุลในใจต่อไปได้อย่างไร

ขอร้องล่ะ เขาเป็นผู้ชายที่มีห้องชุดกว่ายี่สิบห้องเชียวนะ!

ทำไมถึงใช้ชีวิตสุขสบายไม่เท่าคนยากจนที่อยู่ข้างๆ ล่ะ

ดังนั้นเขาจึงควรอยู่อย่างสุขสบาย เพลิดเพลินเมื่อต้องการเพลิดเพลิน และพักผ่อนเมื่อต้องการพักผ่อน

เลอะเทอะไปหมดแล้ว

โจวเจ๋อถอนหายใจอยู่ในใจ

“เฮ้ ช่วงนี้มีเรื่องแปลกๆ เกิดขึ้นในเขตตะวันออกเยอะแยะเลย” สวี่ชิงหล่างพ่นควันรูปวงแหวนพลางเอ่ยขึ้น

เขตตะวันออกอยู่ทางทิศตะวันออกของเขตเมืองทงเฉิง ห่างจากใจกลางเมืองเล็กน้อย มีทั้งวัดขงจื๊อและศาลเจ้าเฉิงหวง ในวันธรรมดาและช่วงเทศกาลก็จะยิ่งคึกคัก เพราะมีคนไปเซ่นไหว้เยอะมาก

“มีอะไรเหรอ” โจวเจ๋อถามพลางเขี่ยก้นบุหรี่

“คุณดูนี่สิ มีคนโพสต์ในเวยปั๋วว่าเมื่อคืนนี้ ตอนที่ผ่านวัดขงจื๊อ เห็นคนรักคอสเพลย์แต่งกายชุดโบราณสองสามคน จึงเดินเข้าไปกะว่าจะทักทาย แต่จู่ๆ คนก็หายไปเลย”

“ตรงนี้ยังมีอีก บอกว่าตอนที่พาพ่อแม่ไปเดินเล่นในป่า ถนนหลังวัดขงจื๊อหลังจากมื้อเย็น เห็นใครบางคนกำลังท่องบทกวีอยู่ตรงนั้นด้วย”

“อีกอันหนึ่ง เป็นโพสต์เวยปั๋วของคนขับรถ บอกว่าตอนที่ขับรถผ่านวัดขงจื๊อก็ได้ยินคนมากมายร้องไห้อยู่ริมถนน”

วัดขงจื๊องั้นหรือ

โจวเจ๋อขมวดคิ้วเล็กน้อย ดูเหมือนว่าเรื่องนี้จะมีส่วนเกี่ยวข้องกับเขานะ

“แต่ว่า เรื่องพวกนี้ทำให้วัดขงจื๊อเป็นที่นิยมอีกครั้ง ว่ากันว่าช่วงนี้มีคนไปจุดธูปมากขึ้น ต่างก็บอกว่าที่นั่นเปลี่ยนไปแล้ว” สวี่ชิงหล่างกล่าวด้วยอารมณ์

“เหอะๆ” โจวเจ๋อคิดถึงเรื่องของตัวเอง

“ตามหลักแล้วไม่ควรเป็นเช่นนั้น วัดขงจื๊อเป็นที่ ที่เหล่านักปราชญ์อาศัยอยู่ เป็นไปไม่ได้ที่จะมีผีไม่มีญาติไปสร้างปัญหาที่นั่น” สวี่ชิงหล่างพูด

“น่าจะมีนะ แต่ว่าเมื่อก่อนคงจะมีคนคอยดูแลพวกมันอยู่” โจวเจ๋อพูด

“งั้นตอนนี้ล่ะ คนที่ดูแลพวกมันเป็นอะไรไปแล้ว”

“ถูกฉันฆ่าไปแล้ว”

“…” สวี่ชิงหล่าง

หลังจากเข้าสู่หัวค่ำ โจวเจ๋อและไป๋อิงอิงก็จำใจมาที่วัดขงจื๊อด้วยกัน

ครั้งที่แล้วโจวเจ๋อสู้กับชายแคระชราคนนั้น สู้กันจนเขาแตกสลายเป็นชิ้นๆ จากนั้นก็ปัดแขนเสื้อแล้วเดินจากไปโดยไม่ทิ้งร่องรอยเอาไว้

แต่เมื่อปะติดปะต่อจากเหตุการณ์ในช่วงนี้ ก็ชัดเจนแล้วว่า หากปราศจากการควบคุมของชายแคระชรา เหล่านักปราชญ์และวิญญาณที่ล่วงลับพวกนั้น ที่เคยทำหน้าที่เป็นผู้พิทักษ์เกียรติยศมาก่อน เริ่มกระสับกระส่ายขึ้นมาอย่างช้าๆ และค่อยๆ เริ่มปลดปล่อยตัวเอง

โจวเจ๋อเป็นยมทูต เรื่องนี้เดิมทีควรเป็นเขาเข้ามาจัดการ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงชายแคระชราถูกเขาฆ่าทิ้ง อันที่จริงแล้วควรเป็นความรับผิดชอบที่เขาจะต้องจัดการเรื่องยุ่งเหยิงพวกนี้

“เถ้าแก่ จริงๆ แล้วดวงวิญญาณพวกนี้สร้างปัญหาใหญ่ไม่ได้หรอก ผ่านไปอีกสักสองเดือนก็สลายหายไปแล้ว เมื่อก่อนพวกมันแค่ได้รับการสนับสนุนจากระบบของวัดขงจื๊อเท่านั้น พวกมันไม่สร้างปัญหา ยมทูตก็ทำเป็นเมินเฉยไม่รู้ไม่เห็นไปซะ ตอนนี้พวกมันได้สูญเสียการผูกมัดไปแล้ว ปล่อยให้ดิ้นรนสักสองสามวัน หลังจากที่ความโศกเศร้าภายในใจระบายออกไปจนหมดก็จะหนีหายไปเอง ที่ควรลงนรกก็จะลงนรกไป”

ไป๋อิงอิงมีแม่นางไป๋ เป็นไอดอล อันที่จริงสำหรับเรื่องผีสางเทวดาเหล่านี้ แม่นางไป๋มองทะลุปรุโปรงกว่าโจวเจ๋อเสียอีก

“ถ้าไม่มาดูสถานการณ์ที่นี่ก็คงจะวางใจไม่ได้ สามารถกำจัดทิ้งได้ ก็กำจัดทิ้งไปเลยจะดีกว่า” โจวเจ๋อเอียงหน้ามองหาจิตวิญญาณนักปราชญ์ที่อยู่ใกล้เคียง

บรรดานักปราชญ์แต่ละราชวงศ์ในอดีต ที่ได้ประสบเข้ากับความล้มเหลว หมดซึ่งหนทางจะสอบเข้ารับตำแหน่งระหว่างการศึกษาและได้ฆ่าตัวตาย หลายดวงวิญญาณได้มาถึงบริเวณวัดขงจื๊อ พร้อมด้วยจิตใจที่ขุ่นเคืองอย่างที่สุด และพวกมันก็ถูกดึงมากลายเป็น ‘กองเกียรติยศ’ ของวัดขงจื๊อตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

แน่นอนว่าคนในนั้นจะต้องมีพวกแอบอ้างอื่นๆ ปะปนอยู่ด้วย ไม่ใช่นักปราชญ์ทั้งหมดอย่างแน่นอน เมื่อป่าเติบโตขึ้นก็มีนกนานาชนิด

นักปราชญ์เหล่านั้นไม่มีอะไรมากไปกว่าการท่องบทกวีและการร้องห่มร้องไห้ หลี่เป่าเจียแห่งราชวงศ์ชิงเคยเขียนไว้ในบทที่หกของวรรณกรรมเรื่อง ‘ยุคสมัยใหม่’ ของตัวเอง

‘บัณฑิตก่อกบฏ สามปีก็ไม่มีทางสำเร็จ ไม่ว่าพวกเขาจะมีเรื่องพรรค์นี้จริงๆ หรือไม่ก็ตาม ก็ไม่อาจเพิกเฉยได้’

แต่โจวเจ๋อกังวลว่าหากมีสิ่งอื่นในนั้นเป็น ‘อิสระ’ ด้วยเช่นกัน ก็เป็นไปได้มากทีเดียวว่าจะต้องมีอะไรเกิดขึ้น หากมีเกิดเรื่องอะไรขึ้นจริงๆ สาวมาจนถึงตอนท้าย ตัวเองก็ต้องรับผิดชอบร่วมอย่างแน่นอน

เพียงแต่ว่าค่ำคืนนี้ช่างเงียบสงัดนัก โจวเจ๋อสูบบุหรี่ไปแล้วครึ่งซอง ไป๋อิงอิงนอนหรี่ตาอยู่บนพื้นหญ้า แม้แต่ผีก็มองไม่เห็นเลยสักตัว

โจวเจ๋อรอจนหมดความอดทนขึ้นมาบ้างแล้วจึงพูดขึ้น

“ตะโกนไปสักสองทีสิ เรียกผีพวกนั้นออกมาหน่อย”

ไป๋อิงอิงกรอกตาใส่โจวเจ๋อ เห็นได้ชัดว่าไม่สนใจปัญหานี้เลย หลังจากอยู่ด้วยกันมานาน ไป๋อิงอิงก็ค้นพบนิสัยเฉพาะตัวของโจวเจ๋อ และกล้าที่จะวางมาดสะบัดสะบิ้งอย่างพองามให้โจวเจ๋อไม่รู้สึกขุ่นเคือง

“ชีวิตคนเปรียบเหมือนความฝัน ยกจอกเหล้าดื่มให้กับดวงจันทร์บนแม่น้ำ เดินทางด้วยจิตไปยังดินแดนนั้น สิ่งต่างๆยังคงเดิม มีเพียงคนที่เปลี่ยนไป เป็นจริงดั่งว่า”

เสียงผู้ชายดังมาจากหลังต้นไม้ต้นนั้น

ทันใดนั้น ชายคนหนึ่งสวมรองเท้าบู๊ตยาวและเสื้อคลุมทางการเดินออกมา เป็นชายผู้มีเครายาว แสดงถึงความสง่างาม ใบหน้าเหลี่ยม ร่างตรงทื่อ มองแวบเดียวก็รู้ว่าเป็นข้าราชการ

ไม่สิ มองแวบเดียวดูก็รู้ว่าชาติก่อนได้เป็นข้าราชการ

อีกทั้งยังมีแส้ยาวๆ อยู่ข้างหลังศีรษะของเขาอีกด้วย

ไป๋อิงอิงลุกขึ้นยืนอย่างช้าๆ มองไปที่ชายตรงหน้านาง และพูดขึ้นด้วยความประหลาดใจ

“เถ้าแก่ ข้าก็ว่าอยู่ว่า ทำไมถึงไม่เห็นวิญญาณนักปราชญ์พวกนั้นเลย ถูกเขากลืนกินไปทั้งหมดนี่เอง!”

โจวเจ๋อเองก็เห็นเช่นกัน ชายคนนี้ดูเด่นเป็นสง่า แต่ในท้องของเขานั้นสามารถมองเห็นไฟจุดเล็กๆ มากมาย ซึ่งน่าจะเป็นดวงวิญญาณของนักปราชญ์ที่ถูกเขากลืนเข้าไป

“เหอะๆ ท้องของอัครเสนาบดีสามารถบรรจุเรือ[1] ข้าไม่ใช่อัครเสนาบดี แต่ถึงอย่างไรจะดีหรือเลวเจ้าหน้าที่ก็ต้องเคารพอัครเสนาบดีทั้งเก้า หนังท้องผืนนี้ ปล่อยพวกเขาผู้ล่วงลับที่สอบตกขุนนางระดับเคอจี่ ของราชวงค์ในอดีตเหล่านี้ไปก็ไม่มีปัญหาอะไร”

“พอแล้ว ตาคุณแล้วล่ะ ลงไปได้แล้ว”

โจวเจ๋อกำลังจะเปิดประตูนรกและจับชายคนนี้ส่งลงไป

อีกฝ่ายหนึ่งได้กลืนวิญญาณของนักปราชญ์ไปเป็นจำนวนมาก และดูเหมือนว่าจิตวิญญาณจะดีมากทีเดียว ดีกว่าดวงวิญญาณธรรมดาทั่วไป ที่ไปอ่านหนังสือที่ร้านบ่อยๆ เสียอีก

แต่มันก็ยังไม่ใช่จุดที่โจวเจ๋อจะต้องกลัวจริงๆ

เป็นผีทั้งนั้น ไม่ว่าจะมีเนื้อหนังหรือไม่ มันคนละเรื่องกันจริงๆ

อีกทั้งตัวเองยังมีเล็บอีกต่างหาก

“เจ้าเป็นยมทูตเจ้าถิ่นหรือ” ชายคนนั้นมองไปที่โจวเจ๋อและพูดอย่างสำรวม “แต่กลับมีคุณสมบัติเท่าเทียมกับข้า”

“โอ้โห น้ำเสียงวางท่าไม่เบาเลย ราชวงศ์ชิงสิ้นแล้วหรือ”

ไป๋อิงอิงเยาะเย้ย

“บุรุษสนทนากัน สตรีอย่างเจ้าเข้ามาสอดได้อย่างไร หุบปากเดี๋ยวนี้” ชายคนนั้นดุอย่างรุนแรง

ไป๋อิงอิงบีบข้อนิ้วตัวเอง เสียงดังฟังชัด

ชายคนนั้นมองไปยังโจวเจ๋อที่กำลังจะเปิดประตูนรกอีกด้านหนึ่งและกล่าวว่า

“ยมทูตท่านนี้ ข้าเป็นคนมีเกียรติมีชื่อเสียงและยังเคยเป็นผู้ถือหูวัวด้วย[2] แม้นว่าจะถูกส่งลงไป ก็ไม่ควรจะส่งไปง่ายๆ อย่างนี้หรอกใช่หรือไม่ ยิ่งกว่านั้นในชาติก่อนข้าเคยพบกับผู้พิพากษายมโลก ผู้พิพากษากล่าวว่าข้าจะเสียชีวิตในวันที่สิบเก้า เดือนมีนาคม ปีเจี่ยเซิน ตัวข้าหวาดกลัวเป็นอย่างยิ่ง หวาดวิตกตลอดเวลาจนไม่เป็นอันทำสิ่งใด จนในที่สุดวันนั้นก็มาถึง แต่ทว่าหลังจากวันนั้นข้ากลับไม่ตาย นั่นก็เพียงพอแล้วที่จะเห็นว่าข้านั้นโชคดีเพียงใด แม้แต่กฎระเบียบยมโลกก็ใช้ไม่ได้ผลกับข้า ดังนั้นข้าขอแนะนำให้เจ้าอย่าเสียเวลาเปล่าเลย รอข้าเดินทางด้วยจิตไปยังดินแดนนั้นจนเสร็จสิ้นแล้ว หากว่าอยากลงไป ข้าก็จะลงไปเอง บางทีหลังจากที่รอข้าลงไปแล้ว ก็อาจจะได้ตำแหน่งหน้าที่หัวหน้าในยมโลกก็ได้ หากเจอกันในวันข้างหน้า เจ้าต้องคุกเข่าคำนับด้วยความเคารพพร้อมกับเรียกนายท่านก็เป็นได้”

“คนอย่างเจ้า ช่างกวนบาทาเสียจริง” ไป๋อิงอิงยิ้ม

“ไม่หรอก นี่ก็อธิบายได้แล้วว่า บ้านเกิดของเขาดูเรียบง่ายและซื่อสัตย์ ไม่อย่างนั้นเขาจะต้องถูกซ้อมจนตายก่อนที่จะโตไปแล้ว”

“ไร้เหตุผลสิ้นดี เฮอะ ข้าคร้านจะปะทะคารมกับคำไร้ประโยชน์เหล่านี้แล้ว ข้ามิได้โกหกมดเท็จ หากเจ้าคิดจะใช้กำลังบีบบังคับส่งข้าลงนรกละก็ ถ้าอย่างนั้นก็เตรียมผูกเงื่อนบนคานไว้ได้เลย ผู้พิพากษายมโลกต่างก็ไม่อาจกำหนดวันตายของข้าได้ นับประสาอะไรกับยมทูตตำแหน่งเล็กๆ อย่างเจ้ากันล่ะ”

โจวเจ๋อไม่ได้รีบร้อนเปิดประตูแห่งนรกภูมิ เพียงแค่รู้สึกว่าคนตรงหน้านี้น่าสนใจมาก อีกทั้งพูดกันตามความจริงแล้ว ผีสมัยใหม่ไม่ได้มีอะไรแปลกเป็นพิเศษ แต่ผีสมัยโบราณนั้นหายากจริงๆ

ผู้คนมักพูดว่าโบราณวัตถุทางวัฒนธรรมอันล้ำค่า คือบันทึกของประวัติศาสตร์ และคนที่อยู่ตรงหน้าตัวเองนี้ ถึงจะเป็นผู้เรียนประวัติศาสตร์ซ้ำที่แท้จริง

“คุณไว้ผมเปียที่หลังศีรษะ แต่กลับไม่ได้สวมชุดทางการของราชวงศ์ชิง” โจวเจ๋อมองอย่างละเอียดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดต่อ “น่าจะเป็นชุดทางการของราชวงศ์หมิง ไม่ถูกต้อง เมื่อครู่คุณบอกว่าเคยเป็นเจ้าหน้าที่อัครเสนาบดีทั้งเก้า แต่ชุดทางการของราชวงศ์หมิงนี้ไม่ใช่แบบของเก้าขุนนาง แต่เป็นเสื้อผ้าของเจ้าหน้าที่ระดับล่างต่างหากล่ะ”

เมื่อได้ยินถ้อยคำดังกล่าว ชายคนนั้นก็พูดอย่างโอหังว่า “ข้าเป็นเจ้าหน้าที่ในสองราชวงศ์ ราชวงศ์ก่อนเป็นฝ่ายตรวจการทั่วไป ราชวงศ์ต่อมาเป็นเก้าขุนนาง สร้างความผาสุกแก่ราษฎร ชื่อทางการเกริกก้อง ส่วนข้าจะสวมใส่อาภรณ์แบบใด เจ้ามีคุณสมบัติวิจารณ์ได้หรืออย่างไร”

โจวเจ๋อหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาพิมพ์ว่า ‘วันที่สิบเก้า เดือนสาม ปีเจี่ยเซิน’ เมื่อค้นหาดูแล้ว ก็ยิ้มและพูดขึ้น

“ผู้พิพากษาพูดถูก คุณน่าจะเสียชีวิตในวันที่สิบเก้า เดือนสาม ปีเจี่ยเซินจริงๆ”

“เหลวไหล ข้าไม่ได้ตายวันนั้นเสียหน่อย ข้าถึงแก่กรรมในวาระสุดท้ายของชีวิต และเพลิดเพลินไปกับรอยยิ้มที่งดงาม!” ชายคนนั้นพูดด้วยความเหยียดหยาม

“วันนั้นคุณควรจะตายจริงๆ” โจวเจ๋อพูดซ้ำ จากนั้นรอยยิ้มเย้ยหยันก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา “แต่คุณหน้าด้านหน้าทนก็เลยไม่ตายน่ะสิ”

“สามหาว!” ชายคนนั้นสะบัดแขนเสื้อ “เหลวไหลสิ้นดี!”

“คุณลองนึกดูดีๆ คุณควรตายในวันที่สิบเก้า เดือนสาม ปีเจี่ยเซินหรือไม่!”

โจวเจ๋อเน้นน้ำเสียงและพูดอย่างดุดัน

ชายคนนั้นขมวดคิ้วเล็กน้อยราวกับว่ากำลังคิดและระลึกถึง

ในที่สุด

ทันใดนั้นร่างกายของเขาก็สั่นสะท้านเผยสีหน้าตกใจ

จากนั้นเขาก็เหลือบมองไปที่วัดขงจื๊อที่อยู่ข้างหลังเขา

ในเวลานี้ ในที่สุดเขาก็เข้าใจแล้วว่าทำไมหลังจากตายแล้ว ดวงวิญญาณของเขาถึงกลับมายังบ้านเกิดและถึงถูกคุมขังภายในวัดขงจื๊อแห่งนี้ และใช้เวลาหลายร้อยปีอย่างงุนงงกับบรรดาผู้ที่ล้มเหลวในการสอบขุนนางระดับเคอจี่ตามที่เขากล่าวกันไว้!

“นะ…นี่…นี่มัน…”

ชายคนนั้นล้มลงกับพื้นด้วยความสิ้นหวัง

วันที่สิบเก้า เดือนสาม ปีเจี่ยเซิน

วันนี้ตรงกับวันที่ราชวงศ์หมิงล่มสลาย จักรพรรดิฉงเจินแขวนคอบนต้นไม้ ขุนนางข้าราชการของราชวงศ์หมิงทั้งหมดก็ประสบกับหายนะ

…………………………………………………………………

[1]ท้องของอัครเสนาบดีสามารถบรรจุเรือ เป็นคำชมเชยถึงความใจกว้าง มีความเมตตากรุณาต่อผู้อื่น

[2]ผู้ถือหูวัว คือผู้นำหรือหัวหน้าในด้านใดด้านหนึ่ง

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยมทูตพาร์ตไทม์แห่งร้านหนังสือยามวิกาล