ยมทูตพาร์ตไทม์แห่งร้านหนังสือยามวิกาล นิยาย บท 576

ตอนที่ 576 เปิด…หนทางรอด!

อุณหภูมิฝั่งเขตสามเหลี่ยมลุ่มแม่น้ำแยงซีเกียงในช่วงนี้ลดฮวบลงอย่างรวดเร็ว แม้ว่าจะเป็นดินแดนทางตอนใต้ของแม่น้ำแยงซีเกียง ที่ฤดูกาลทั้งสี่นั้นแตกต่างกัน แต่ความแตกต่างทั้งสี่ฤดูกาล ในความเป็นจริงมันไม่ได้สวยงามมากนัก เทียบไม่ได้กับดินแดนอุดมสมบูรณ์อย่างหรงเฉิง ที่อยู่แล้วสุขกายสบายใจอบอุ่นในฤดูหนาวและเย็นสบายในฤดูร้อน และเทียบไม่ได้กับความพึงพอใจที่ได้กินไอศกรีมในบ้านที่เปิดฮีตเตอร์ทำความร้อนในบางพื้นที่ที่ไกลออกไปทางตอนเหนือ

ระบบทำความร้อนขนาดใหญ่ อันที่จริงทางฝั่งนี้นับว่าหยุดแล้ว ไม่เป็นที่นิยมในพื้นที่แห่งนี้ แต่ความชื้นของฤดูหนาวฝั่งนี้ นับวันยิ่งหนักข้อ บางทีถ้าดูจากอุณหภูมิก็มองอะไรไม่ออก แต่ความหนาวที่แท้จริงต้องให้คนไปสัมผัสด้วยตัวเอง

นักพรตเฒ่าเดินไปตามถนนพร้อมกับมือและเท้าที่สั่นเทา เขาขึ้นเหนือล่องใต้มาทั้งชีวิต ไปมาแล้วหลายที่จนนับไม่ถ้วน เจอคลื่นลมพายุมาแล้วทุกรูปแบบ เพียงแต่ว่าร่างกายนี้ไม่ยอมรับว่าแก่ไม่ได้แล้ว และก็ค่อยๆ ชอบสภาพอากาศที่อบอุ่นขึ้นมาหน่อยเอง

เขาเคยพำนักอาศัยอยู่ที่เขาฝอซานในกว่างโจวนานพอสมควร แต่กลับทนความร้อนวูบวาบไม่ไหวจริงๆ เคยมาแวะพักที่หมู่บ้านริมน้ำทางตอนใต้ของแม่น้ำแยงซีเกียงเช่นกัน แต่กลับตกหลุมรักไม่ลงอยู่ดี เคยวางแผนจะปักหลักอยู่ที่หรงเฉิงตลอดไป แต่ทว่าช่วงเวลาดีๆ นั้นอยู่ไม่นาน เมื่อปีกว่าๆ ก่อนหน้านี้ คาดว่าเพราะอุบัติเหตุไม่คาดคิดก่อนวันส่งท้ายปีเก่าสองวัน ทำให้ความรุ่งเรืองที่หรงเฉิงสลายหายไปทันที แต่ว่านักพรตเฒ่าเป็นคนมองโลกในแง่ดี ขณะเดียวกันก็เป็นคนที่รู้จักพอ นอกจากนี้ ไม่ต้องสนว่าเขาจะไปที่ไหน ก็มีสาวๆ ที่เปิดร้านเสริมสวยรอเขาอยู่เสมอ

อย่ากังวลว่าหนทางข้างหน้าจะไร้ผู้รู้ใจ มีใครในใต้หล้าบ้างที่ไม่รู้จักท่าน ในฝั่งนักพรตเฒ่านั้นมีการตีความที่ต่างออกไป

ลมหนาวพัดโชยมา นักพรตเฒ่าหดคออีกครั้ง แต่ก็หยุดฝีเท้าด้วยเช่นกัน ป้ายร้านเล็กๆ ด้านหน้าสะดุดสายตาของเขาเข้าแล้ว คิดไม่ถึงว่าจะเป็นร้านถ่ายรูป เล็กจิ๋วและคับแคบมากเช่นกัน

เมื่อพูดถึงเซี่ยงไฮ้ คนส่วนใหญ่มักจะนึกถึงอาคารสูง การจราจรคับคั่ง และราคาที่อยู่อาศัยที่น่าตกใจ อันที่จริง ต่อให้เมืองจะใหญ่แค่ไหน นอกจากจะมีความสว่างไสวของมันแล้ว ก็ต้องมีสถานที่ธรรมดาติดดินด้วย อย่างเช่นถนนเส้นเล็กๆ นี่ จริงๆ แล้วขับรถออกไปไม่ไกลนักก็จะเป็นย่านเจริญที่เต็มไปด้วยตึกอาคารตั้งตระหง่าน แต่ที่นี่กลับยังดูโทรมและออกจะคับแคบอยู่สักหน่อย มีคนอยู่ในเมืองที่งดงามมีเสน่ห์แห่งนี้ เป็นธรรมดาที่จะมีผู้คนมากมายยอมก้มหัวใช้ชีวิตอย่างต่ำต้อยที่นี่

ในใจนักพรตเฒ่ากลับไม่รู้สึกทุกข์ร้อนที่เถ้าแก่คนเก่ามุ่งมั่นกับสิ่งนี้ในตอนนี้ เขารู้ว่าเถ้าแก่คนเก่าดูเหมือนจะชอบสไตล์นี้ เมื่อก่อนอยู่ที่หรงเฉิงก็มองหาเขตเมืองเก่าเปิดร้านขายของจิปาถะสำหรับคนตายไม่ใช่หรือ แต่ต่างจากเถ้าแก่คนปัจจุบันของเขาก็ตรงที่ความร่ำรวย

เหอะๆ…

เถ้าแก่คนปัจจุบันไม่มีเงินแล้วก็ให้คนเอาเงินกระดาษไปเผา แต่เถ้าแก่คนเก่าไม่มีเงินแล้วก็ชี้ไปสักตำแหน่งและให้เขาไปขุดเอากล่องทองแท่งออกมา

ธุรกิจร้านถ่ายรูปย่อมร้างผู้คนเป็นธรรมดา ร้างเหมือนร้านหนังสือเลย อุปกรณ์ภายในก็เก่ามาก แต่ก็นับว่าสะอาดและเป็นระเบียบเรียบร้อย เมื่อนักพรตเฒ่าเดินเข้าไป เสียงร้องของแมวทำให้เขาสะดุ้งตกใจ พอเงยหน้าขึ้นมองก็พบว่ามีแมวสีขาวตัวหนึ่งนอนอยู่บนชั้นวางของ ขนสีขาวราวกับเส้นไหม เพียงแต่ในแววตาของแมวแฝงความเกียจคร้านอยู่บ้างเล็กน้อย

“ไง ผูเอ่อร์ จำข้าได้ไหม” นักพรตเฒ่าชี้ตัวเอง

แมวขาวเหยียดอุ้งเท้าออกโบกไหวๆ อย่างขอไปที ความหมายคือ ‘รู้แล้ว ไปไกลๆ’ นักพรตเฒ่าไม่เก็บมาใส่ใจ เขารู้จักนิสัยของแมวตัวนี้ดี มันเย็นชามาแต่ไหนแต่ไรแล้ว คิดอยากจะเอื้อมมือไปลูบมัน แต่คิดๆ แล้วก็ช่างมันเถอะ

พอเดินเข้าไปอีกหน่อยก็เห็นชายคนหนึ่งนั่งอยู่ในห้องกั้นด้านใน ชายหนุ่มสวมเสื้อขนเป็ดกำลังนั่งจับพู่กันวาดรูปอยู่บนเก้าอี้ ภาพที่วาดเป็นภาพสะพานน้อยเหนือลำธาร ไม่ใช่ฉากที่ยิ่งใหญ่อลังการอะไร แต่กลับเต็มไปด้วยกลิ่นอายของดอกไม้ไฟ เมื่อเห็นแผ่นหลังนี้ นักพรตเฒ่ามีท่าทีสะอึกสะอื้นเล็กน้อย แต่ในเมื่อเป็นการรวมตัวของเพื่อนเก่าก็ไม่ควรร้องไห้ ต้องหัวเราะ ต้องฉลองอย่างมีความสุข นักพรตเฒ่าไม่ใช่คนไร้ประสบการณ์ที่อายุยี่สิบสามสิบพรรค์นั้นแล้ว ชาตินี้ได้เห็นการพลัดพรากและลาจากมาไม่น้อยดฮณ๊ฯดฯฌซ,

“เถ้าแก่ ข้ามาแล้ว”

“นั่งสิ” ชายหนุ่มยังนั่งวาดภาพต่อไป

นักพรตเฒ่านั่งลงข้างๆ และถามขึ้น “เถ้าแก่ ดวงตาของเจ้าดีแล้วเหรอ”

หลังจากชายหนุ่มวาดอีกสองจังหวะสุดท้ายก็วางพู่กันลง และหันกลับมาเอื้อมมือไปหยิบแก้วเก็บอุณหภูมิ นักพรตเฒ่าชะงักค้าง เขากลับเห็นชายหนุ่มหลับตาทั้งสองข้าง ไม่ได้สวมแว่นกันแดดบดบังและไม่ได้พันเทปอะไร แต่ไม่ได้ลืมตาเลย ก่อนหน้านี้ก็หลับตาวาดภาพ

“เถ้าแก่ ดวงตาของคุณยัง…”

“หลับตา กลับสามารถมองเห็นได้ชัดยิ่งกว่า” ชายหนุ่มไม่เก็บมาใส่ใจ เห็นได้ชัดว่าสบายๆ ไม่ได้สงสารเวทนาตัวเองเพราะตาบอดอะไร พลางลุกขึ้นและหยิบม้านั่งตัวเล็กๆ ใต้ร่างที่ตัวเองเพิ่งนั่งไปแล้วพูดขึ้น “ไปนั่งข้างนอกสิ ข้างในมันหนาว”

นักพรตเฒ่ารีบลุกขึ้นตามไป ไม่นานหลังจากนั้นทั้งสองก็นั่งอยู่หน้าประตูด้วยกัน หนึ่งคนต่อม้านั่งเล็กๆ หนึ่งตัว และเริ่มผิงแดด นักพรตเฒ่าทนความรู้สึกแบบนี้ไม่ไหว แม้ว่าเขาจะเป็นคนแก่อายุเจ็ดสิบต้นๆ แต่กลับไม่ชอบความเงียบมากนัก แต่เถ้าแก่ของเขาทั้งสองคนดูเหมือนจะหมกมุ่นอยู่กับเรื่องการอาบแดดนี้อย่างลึกซึ้ง

“เถ้าแก่ ทำไมถึงคิดเปิดร้านถ่ายรูปได้ล่ะ”

“…” นักพรตเฒ่า

“ครับ”

เธอถือกับข้าวที่ซื้อกลับมาด้วยในมือ นักพรตเฒ่าเหลือบมองแวบหนึ่ง

สวี่ชิงหล่างจากร้านหนังสือเตรียมอาหารสามมื้อต่อวันได้เป็นอย่างดี แถมยังทำได้หลากหลาย การรับรสชาติของทุกคนในร้านหนังสือถูกยกระดับไปเสียแล้ว

อาหารปรุงสุกไวมาก นักพรตเฒ่ากระดากที่จะชมถังซือว่าเป็นกุลสตรีที่เพียบพร้อม ถึงอย่างไรก็เป็นการต้มบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป และกลัวจะโดนทุบตีด้วย เพราะว่ามีกันอยู่สามคนจึงยกหม้อออกมา ถ้วยสามใบ ตะเกียบสามคู่ ทัพพีกลางหนึ่งคัน เรียบง่ายมาก

นักพรตเฒ่าตักมาหนึ่งถ้วย กินไปหลายคำและอยากจะชมว่า ‘อร่อยจังเลย’ แต่คิดๆ แล้วก็ช่างมันจะดีกว่า สำหรับนักพรตเฒ่าแล้วไม่หาโอกาสเลียแข้งเลียขาสักหน่อย ช่างน่าอึดอัดจริงๆ แต่ไม่อาจทำให้การประจบประแจงในแต่ละครั้งฟังดูเหมือนการประชดประชันหรอกจริงไหม ทว่ามันก็เป็นเรื่องจริงที่ ‘อาหาร’ โต๊ะนี้เทียบกับร้านหนังสือไม่ได้จริงๆ

“ไม่ ไม่ใช่”

“ไม่ชินกับรสชาตินี้เหรอ” ชายหนุ่มถาม

“งั้นพรุ่งนี้เปลี่ยนรสชาติใหม่” ชายหนุ่มบอกถังซือ

“ค่ะ เปลี่ยนเป็นยี่ห้อคังซือฟู”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยมทูตพาร์ตไทม์แห่งร้านหนังสือยามวิกาล