ตอนที่ 62 บุคลิกภาพแตกแยก
เดิมทีสวี่ชิงหล่างตั้งใจที่จะทำพิธีกรรมทางศาสนาให้กับผู้กำกับจ้าวและอยากให้เขาไปอย่างสงบ ก็เป็นน้ำจิตน้ำใจของตัวเองที่ทำให้จนถึงที่สุด
แต่พอคิดอีกทีตอนที่ผู้กำกับจ้าวจากไป ความจริงก็สงบมากแล้ว กระทั่งกลัวว่าเส้นทางไปนรกจะน่าเบื่อเกินไป แถมตั้งใจเอาหนังสือสองเล่มไปอ่านบนถนนด้วย
ยิ่งไปกว่านั้น รถแท็กซี่หลายพันคันและผู้คนจำนวนมาก ที่สมัครใจจัดขบวนรถไปส่ง มันก็มากพอแล้วที่จะปกป้องผู้กำกับไปตลอดทางและตัวเองไม่จำเป็นต้องเพิ่มเติมอะไรอีกแล้ว
“พี่โจว เขาเป็นคนดีมากๆ คนหนึ่งเลยนะ”
สวี่ชิงหล่างกำลังสูบบุหรี่ ขอบตาของเขาแดงเล็กน้อยจนรู้สึกน่าสงสาร
“เขาจากไปแบบเรียบง่ายมาก”
แม้ว่าชาติก่อนเขาจะเป็นหมอและช่วยชีวิตคนไว้มากมาย แต่โจวเจ๋อไม่คิดว่าตัวเองนั้นยอดเยี่ยม อาชีพของเขาคือหมอ และการช่วยชีวิตผู้ที่กำลังจะเสียชีวิตหรือบาดเจ็บ เดิมเป็นหน้าที่ของตัวเองอยู่แล้ว
อันที่จริงคนธรรมดาและคนยิ่งใหญ่เหล่านั้น พวกเขาแค่ทำงานของตัวเองในสังคมเท่านั้น แต่ความเฉลียวฉลาดของพวกเขากลับไม่ได้จำกัดเฉพาะงานเท่านั้น
มักจะมีบางสิ่งที่สามารถทำให้คุณประทับใจและสร้างความประทับใจให้กับผู้คนมากมายได้เสมอ
ผู้คนมักตรองว่าสายตาของมวลชนนั้นเฉียบแหลมจริงๆ หรือไม่
แต่คนขับแท็กซี่ชายหญิงเกือบหนึ่งพันคนที่จัดขบวนเบิกทางไปส่งนั้น จิตใจของพวกเขาช่างกว้างใหญ่เหลือคณานับ
“ผมจะไปพักผ่อนแล้ว”
สวี่ชิงหล่างหยิบกระดาษทิชชู่เช็ดน้ำตาตรงหางตาและหันหลังเดินกลับไปที่ร้านบะหมี่ของเขา เขาต้องการดื่มเหล้าสักหน่อย แล้วนอนหลับฝันดี คนเข้มแข็งมักไม่ชอบแสดงด้านที่เปราะบางกับคนอื่น
เมื่อโจวเจ๋อสูบบุหรี่เสร็จก็เดินกลับไปที่ร้านหนังสือ สาวน้อยโลลิ อยากเพิ่มคะแนนผลงาน แต่โจวเจ๋อก็ยังขี้เกียจเหมือนเดิม
เพราะมันขาดความคิดริเริ่มเชิงอัตวิสัยอย่างแท้จริง นอกจากนี้ โจวเจ๋อก็กำลังรอผลลัพธ์ของคนนั้นในหรงเฉิงอยู่ ตอนจบมันจะเป็นอย่างไรกันแน่
แม้ว่าโจวเจ๋อเองจะรู้สึกความเป็นไปได้ ที่อีกฝ่ายจะพลิกกลับมามีไม่มาก เป็นไปได้ว่าสาวน้อยโลลิ จะกลับไปสู่นรกด้วยตัวเธอเอง และปล่อยหญิงไร้หน้ามาช่วย และร่วมมือกับยมทูตตนอื่นอีกจำนวนมาก
แต่ ถ้าหากล่ะ
ถ้าหากล่ะ
ใช่แล้ว ถ้าหากล่ะ!
โจวเจ๋อกระทั่งคิดอย่างรอบคอบและตั้งตารอด้วยจริงๆ ถ้าคนๆ นั้น จากหรงเฉิงฆ่าสาวน้อยโลลิ ทิ้งไปล่ะ ตำแหน่งของสาวน้อยโลลิ จะไม่ตกอยู่กับเขาโดยอัตโนมัติหรอกหรือ
ความฝัน ก็ต้องมีบ้าง
โจวเจ๋อหยิบโทรศัพท์มือถือออกมา โทรออกไปหาหนึ่งหมายเลข นั่นเป็นเบอร์ของนักพรต
หลังจากที่เชิญนักพรตไปกินข้าวครั้งก่อน ทั้งสองก็ไม่ได้ติดต่อกันอีกเลย
ไม่มีใครรับสาย โจวเจ๋อวางสาย แต่ไม่นานอีกฝ่ายก็โทรกลับ
“ฮัลโหล พี่ชาย ตอนนี้ผมไม่ได้อยู่เมืองทงเฉิง อยู่ในเมืองสวีเฉิงน่ะ ว่ายังไง มีธุระอะไรรึเปล่า”
“อ้อ”
เดิมทีโจวเจ๋ออยากให้นักพรตเตือนให้คนๆ นั้นระวังตัวหน่อย แต่หลังจากคิดๆ ดูแล้ว ก็ไม่ได้อธิบายอะไรให้มากความ กระทั่งไม่ได้พูดจ้อจนเกินงาม จากนั้นก็วางสายไปเลย
คาดว่านักพรตที่อยู่ปลายสายน่าจะรู้สึกแปลกๆ จนอธิบายไม่ถูกล่ะมั้ง
ในความฝันครั้งนั้น ชายหนุ่มรู้ดีว่าตัวเองกำลังตกเป็นเป้าหมาย ดังนั้นการเตือนตัวเองจึงเกินจำเป็น
คนเขารู้ดีอยู่แก่ใจ
สาวน้อยโลลิ ตื่นขึ้นในเวลานี้ บิดขี้เกียจและกลับมาดูน่ารักอีกครั้ง จากนั้นแม่ของเธอทำผมเสร็จแล้วก็กลับมารับเธอไป
เรื่องของวันนี้ ก็ควรจะจบลงตรงนี้ เดิมทีโจวเจ๋อตั้งใจจะไปอาบน้ำและเตรียมตัวสำหรับกิจการในคืนนี้
สาวน้อยโลลิ บอกว่าตัวเองเก็บไป๋อิงอิงที่เป็นผีดิบตัวนี้เอาไว้ข้างกาย เท่ากับว่าเป็นการเพิ่มฝาครอบโคมไฟให้กับโคมไฟที่สว่างจ้าหลอดนี้ จะส่งผลต่อโอกาสในการเจอผี แต่โจวเจ๋อก็ไม่มีเจตนาที่จะส่งไป๋อิงอิงออกไปในตอนนี้
แน่นอนว่าการนอนกับตู้แช่นั้นไม่สบายเท่าการนอนกับไป๋อิงอิง
ยิ่งไปกว่านั้น ร้านหนังสือมีผีมาอยู่ตลอด และโจวเจ๋อก็รู้สึกรำคาญเล็กน้อย เรื่องนี้ยังอยู่ภายใต้การดูแลของไป๋อิงอิง หากไป๋อิงอิงไม่อยู่ละก็ เดาว่าจะต้องรับมือกับดวงวิญญาณมากมายทุกคืนเป็นแน่
โจวเจ๋อรู้สึกว่าตัวเองทำตัวเหลวไหลไปแล้ว ตัวเองในชาติที่แล้วมีเรื่องให้ต้องวิ่งตามเยอะแยะและมีแรงจูงใจมากมาย
ตัวเองในชาตินี้กลับเพียงแค่อยากอยู่ไปวันๆ แต่ความรู้สึกขี้เกียจและไร้จุดหมายนี้ ทุกวันนี้นอกจากอ่านหนังสือแล้วก็ใช้ชีวิตแบบนอนเอื่อยเฉื่อย ช่างสบายจริงๆ
เมื่อโจวเจ๋อขอให้ไป๋อิงอิงช่วยหยิบเสื้อผ้าถอดซักและเตรียมอาบน้ำนั้น
มีคนผลักประตูร้านเปิดเข้ามา โจวเจ๋อหันกลับมาและรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยเมื่อเห็นคนๆ นี้ เพราะลูกสาวและภรรยาของเขา เพิ่งออกจากร้านไป
“ผมแวะมาเยี่ยมคุณ ดูว่าสถานการณ์ในช่วงนี้เป็นอย่างไรบ้าง”
หวังเคอดึงม้านั่งพลาสติกออกมาตามธรรมดาแล้วนั่งบนนั้น โบกมือให้โจวเจ๋อที่นั่งอยู่ตรงข้ามเขา
เขามีโรงพยาบาลจิตเวชของตัวเองและค่าธรรมเนียมก็สูงเช่นกัน ดังนั้นเขาแวะมาเยี่ยมไข้โจวเจ๋อให้ฟรีๆ ในสายตาของเขาและบุคคลภายนอก มันคือการให้เกียรติโจวเจ๋ออย่างมาก
แน่นอนว่าครึ่งหนึ่งของเกียรตินี้มาจากโจวเจ๋อตัวจริง และอีกครึ่งหนึ่งเป็นเพราะโจวเจ๋อได้ช่วยชีวิตลูกสาวของเขาเอาไว้
โจวเจ๋อนั่งลงตรงข้ามหวังเคอ พยายามลดสายตาลงอย่างเต็มที่ เพื่อไม่ให้มองที่หัวของหวังเคอ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยมทูตพาร์ตไทม์แห่งร้านหนังสือยามวิกาล