ยมทูตพาร์ตไทม์แห่งร้านหนังสือยามวิกาล นิยาย บท 61

ตอนที่ 61 รถติดยาวสิบไมล์ (2)

ลุงตำรวจนั่งพลิกอ่านหนังสืออยู่ตรงนั้น และมักหยิบมือถือออกมาดูเวลาบ่อยๆ

พูดตามตรงว่าการที่เขาอยู่ในร้านนั้นสร้างแรงกดดันอย่างมากให้กับโจวเจ๋อและไป๋อิงอิง

ให้ความรู้สึกเหมือนมีเข็มทิ่มแทงอยู่ข้างหลัง

นี่เป็นตำรวจที่ดีคนหนึ่งและเป็นคนเถรตรง บวกกับที่เขาสวมชุดตำรวจแทบจะสามารถหลบหลีกวิญญาณชั่วร้ายทั้งหมดได้

แต่โจวเจ๋อไม่มีทางหลบพ้น เพราะที่นี่เป็นร้านของตัวเอง

โชคดีที่โจวเจ๋อและไป๋อิงอิงไม่ใช่พวกผีเร่ร่อนไร้ญาติ หรือพวกภูตผีปีศาจระดับล่างจำพวกนั้น แม้ว่าจะรู้สึกอึดอัดไปบ้าง แต่ก็ไม่ถึงกับเป็นอันตรายมาก

ตรงกันข้ามโจวเจ๋อยังคงมีความเคารพอย่างจริงใจต่อชายผู้นี้

คนเรารู้หน้าไม่รู้ใจ ไม่ปลอมแค่เปลือก แต่ในฐานะที่เป็นผี กลับไวต่อความรู้สึกแบบนี้มากกว่า

ดังนั้นหนังสือชุดที่โจวเจ๋อส่งให้เขาในตอนแรก ไม่ได้เป็นการล้อเลียนอีกฝ่าย แต่โจวเจ๋อเชื่อและยอมรับความรู้สึกแวบแรกของตัวเองว่า ตำรวจประเภทนี้จิตใจปลูกฝังเต็มไปด้วยความเถรตรงและยิ่งใหญ่ คิดว่าน่าจะชอบอ่านหนังสือที่ดูจริงจังและมีคุณค่า

แต่ต่อมาโจวเจ๋อพบว่าตำรวจก็เป็นคนเหมือนกัน

ในเมื่อเป็นคน ก็มีงานอดิเรกเป็นของตัวเอง อย่างเช่นลุงตำรวจตรงหน้าคนนี้ ที่กำลังนั่งอ่านนิยายอย่างอิ่มเอมใจอยู่ตรงนั้น

“คุณลุงคะ ดื่มชาค่ะ”

ไป๋อิงอิงยกแก้วน้ำชามาเสิร์ฟอย่างเหนียมอาย

“โอ้ ขอบคุณ” ลุงตำรวจรับแก้วน้ำชา มองไป๋อิงอิงแล้วถามว่า “หนูไม่ไปโรงเรียนเหรอ”

“วันนี้เป็นวันหยุดน่ะค่ะ”

ไป๋อิงอิงไม่กล้าพูดว่า ตัวเองไม่ได้ไปโรงเรียนและอยู่เล่นไปวันๆ เพื่อตัดปัญหาที่จะตามมาในอนาคต

สำหรับไป๋อิงอิงแล้วนั้น ค่อนข้างกลัวคนตรงหน้า กระทั่งดูจะหนักกว่าโจวเจ๋อเสียอีก

โจวเจ๋อเป็นคนร่วมสมัยและสามารถใช้วิธีการคิดนี้แทนได้ แม้ว่าคนตรงหน้าจะทำให้เขารู้สึกหวาดกลัวตามสัญชาตญาณ แต่ในทางกลับกัน มันก็หมายความว่าคนตรงหน้ามีค่าควรแก่การเคารพนับถือ

แต่ไป๋อิงอิงรู้สึกว่าหัวใจของนางเต้นเร็วขึ้นเล็กน้อย หลังจากเสิร์ฟชาแล้ว นางก็วิ่งไปที่ชั้นสองทันทีและไม่อยากลงมาอีก

“เถ้าแก่ ราคาเท่าไรครับ” ลุงตำรวจมองโจวเจ๋อ

“แล้วแต่คุณจะให้” โจวเจ๋อพูด

“ไม่ได้หรอก ช่างเถอะ รอผมไปก่อนแล้วค่อยคิดเงินก็ได้ พวกเขาน่าจะมารับผมอีกในครึ่งชั่วโมงนี้แหละ” ลุงตำรวจนั่งลงอีกครั้ง เอามือล้วงกระเป๋าและตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง

ในฐานะที่เป็นคนสูบบุหรี่ โจวเจ๋อเข้าใจและยื่นบุหรี่ให้หนึ่งมวน

“ขอบใจนะ”

ลุงตำรวจขอบคุณที่โจวเจ๋อช่วยจุดไฟให้ จากนั้นทั้งสองก็สูบบุหรี่ด้วยกัน

บุหรี่เป็นสะพานเชื่อมความสัมพันธ์ในการพบปะสังสรรค์สำหรับผู้ชาย จากคนแปลกหน้าเปลี่ยนไปเป็นเพื่อนสูบบุหรี่ และยังถนัดคุยโม้เรื่องเจ๋งๆไม่กี่ประโยคได้ด้วย

“กิจการของคุณไม่ค่อยดีเลยใช่ไหม” ลุงตำรวจถาม

“พออยู่ไปรอดไปวันๆ น่ะ” โจวเจ๋อตอบ

“โอ้ ผมจำได้แล้วว่าคุณเป็นใคร” ลุงตำรวจตบหัวตัวเองแปะๆ แล้วพูดว่า “ตอนที่เพลิงไหม้ครั้งก่อน คุณกล้าหาญ กระโจนพุ่งตัวเข้าไปช่วยชีวิตคนในกองเพลิงใช่ไหม”

โจวเจ๋อพยักหน้า

“ดูความจำของผมสิ อ้อ ใช่แล้ว คราวก่อนทางสถานีจะมอบธงให้คุณ ทำไมคุณถึงไม่ไปรับมันมาล่ะ”

“ผมไม่อยากเป็นจุดสนใจที่มันนอกลู่นอกทางน่ะ” โจวเจ๋อตอบ

ลุงตำรวจพยักหน้าและพูดอย่างช่วยไม่ได้ “ก็จริง ในตอนท้ายผู้คนต่างก็คาดไม่ถึงว่า ผู้ลอบวางเพลิงจะเป็นหนึ่งในวีรบุรุษที่กระโจนพุ่งเข้าไปช่วยคนออกมาจากกองเพลิง”

“บัดซบ แท็กซี่สาบสูญไปแล้วจริงๆ หรือไง กดเรียกแท็กซี่ออนไลน์ยากจริงๆ เลย ผมเรียกแท็กซี่ยังไม่ได้เลย พี่โจวครับ ดูเหมือนว่าเราจะต้องย้ายบ้านกันจริงๆ แล้ว สถานที่อันห่างไกลและอ้างว้างแบบนี้ แม้รถสักคันหนึ่งก็เรียกไม่ได้เลย ผมยังขาดสายเคเบิลอีกหนึ่งเส้น ต้องกลับไปซื้อใหม่อีกรอบ ไม่งั้นจะติดตั้งโฮสต์ไม่ได้”

สวี่ชิงหล่างเดินเข้ามาด้วยก็บ่นกระปอดกระแปดไปด้วย จากนั้นก็เห็นลุงตำรวจนั่งอยู่ในร้านหนังสือ

“โอ้ ผู้กำกับจ้าว!”

เห็นได้ชัดว่าสวี่ชิงหล่างรู้จักตำรวจนายนี้และเผยรอยยิ้มและพูดอย่างเป็นกันเองทันที

“ผู้กำกับจ้าว สุขภาพร่างกายคุณดูแข็งแรงดีนะ อ้อ ผมจำได้ พักก่อนยังเห็นข่าวเกี่ยวกับคุณอยู่เลย มันเขียนไว้ว่าอะไรแล้วนะ ลืมไปแล้ว แต่ดูเหมือนว่าคุณสร้างผลงานความดีความชอบและได้รับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ใช่ น่าจะเป็นแบบนี้แหละ ยินดีด้วยนะครับ!”

“เจ้าตัวเล็ก ยิ่งโตยิ่งหล่อขึ้นเลยนะเนี่ย” ลุงตำรวจยืนขึ้นพลางหัวเราะและตบไหล่สวี่ชิงหล่าง ดูสนิทสนมมาก “ตอนนี้ยังลักเล็กขโมยน้อยอยู่หรือเปล่า”

“ไหนเลยจะกล้าล่ะครับ บ้านถูกรื้อถอนจนแบ่งออกเป็นห้องชุดกว่ายี่สิบห้อง ตอนนี้ผมเป็นพลเมืองที่เสียภาษีถูกต้องตามกฎหมาย” สวี่ชิงหล่างตอบ

“นาย…” ผู้กำกับจ้าวชี้ไปที่สวี่ชิงหล่าง “นายเนี้ยก็ถือว่าผ่านช่วงยากลำบากมาแล้วนะ”

“ผู้กำกับจ้าว ลูกชายคุณใกล้จะแต่งงานเร็วๆ นี้แล้ว ผมให้หนึ่งห้องทำเป็นเรือนหอของลูกชายคุณดีไหม”

“เจ้าหนูนี่ ถ้ายังกล้าพูดเหลวไหลต่อหน้าฉันอีก เชื่อได้เลยว่าฉันจะจับนายเข้าตารางอีกน่ะ” ผู้กำกับจ้าวดุอย่างเคร่งขรึม

“หึ ผมเปิดร้านบะหมี่ที่นี่ ไม่ได้ติดสินบนคุณเสียหน่อย ในตอนแรกถ้าไม่ได้คุณล่ะก็ ผมก็คงไม่สามารถประคับประคอง จนรื้อถอนบ้านเก่าและที่ดินได้ ผมให้เกียรติคุณด้วยห้องชุดตามที่ควรจะเป็นต่างหาก”

“นายตั้งใจใช้ชีวิต ก็พอแล้ว”

“พวกคุณรู้จักกันเหรอ” โจวเจ๋อถาม

ผู้กำกับจ้าวพยักหน้า “รู้จักสิ รู้จักมากกว่าที่คิดเสียอีก เด็กคนนี้วิ่งราว ล้วงกระเป๋าตามท้องถนนตั้งแต่อายุยังไม่ถึงสิบขวบ ถูกผมจับไปหลายครั้งแล้ว ตอนที่จับได้เป็นครั้งแรก ผมยังบอกกับตำรวจใต้บังคับบัญชาอยู่เลยว่าจับขโมยสาวได้ ใครจะไปรู้ว่าจริงๆ แล้วมีดุ้นน่ะ!”

“เมื่อก่อนยังไม่รู้ความ อย่าพูดถึงมันอีกเลย” สวี่ชิงหล่างไม่อยากให้โจวเจ๋อฟังเรื่องฉาวโฉ่ของตัวเองในอดีต

“พูด ต้องพูดถึงสิ นายเคยทำเรื่องแย่ๆ มาไม่น้อยเลย ความผิดพลาดเหล่านั้นไม่สามารถลืมได้ ต้องเก็บไว้ในใจและเตือนตัวเองว่าจะไม่ทำอีกในอนาคต วันดีๆ ไม่ได้มาง่ายๆ นะ”

“ผู้กำกับจ้าว ผมรู้แล้ว” สวี่ชิงหล่างพยักหน้า

“อ้อ ใช่สิ เมื่อก่อนฉันส่งนาย ไปเป็นเด็กฝึกงานของท่านอาจารย์ซุน ตอนนี้อาจารย์ซุนเป็นอย่างไรบ้าง” ผู้กำกับจ้าวถาม

“โอเคดีครับ แต่ว่าร้านของเขาถูกส่งต่อให้ลูกชายเขาไปแล้ว ผมก็ออกมาทำเอง”

ที่แท้แล้วสวี่ชิงหล่างเปิดร้านบะหมี่ด้วยเหตุนี้ ครอบครัวของเขาประสบอุบัติเหตุในตอนแรก จนเกือบจะกลายเป็นนักเลงอันธพาลในสังคมไปแล้ว ถูกผู้กำกับจ้าวที่เป็นหัวหน้าโรงพักในตอนนั้นจับกุมและอบรมไปหลายครั้งหลายคราว จนท้ายที่สุดผู้กำกับจ้าวจัดการส่งเขาไปเป็นเด็กฝึกงานในร้านบะหมี่แห่งหนึ่ง ถือได้ว่านั่นคือสิ่งที่ทำให้เขาเดินไปในทางที่ถูกต้อง

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยมทูตพาร์ตไทม์แห่งร้านหนังสือยามวิกาล