ตอนที่ 65 ถือบัตรเข้าทำงาน!
เมื่อหยิบสมุดขึ้นมาในคราวนี้ โจวเจ๋อไม่รู้สึกร้อนลวกมือแต่อย่างใด กลับรู้สึกถึงความอบอุ่นและชุ่มเย็น เหมือนกับสิ่งที่ตัวเขากำลังถืออยู่คือหยกโบราณชิ้นหนึ่ง
ดูเหมือนว่าจะมีความเชื่อมโยงที่แปลกมากระหว่างตัวเขากับสมุดเล่มนี้
โจวเจ๋อเองก็เคยอ่านนิยายเทพเซียนกำลังภายในมาก่อน แต่ความรู้สึกครั้งนี้ไม่เหมือนกับตอนที่อาวุธวิเศษพบเจ้าของอย่างในนิยายเลย
สมุดก็ยังคงเป็นสมุด
เขาก็ยังคงเป็นเขา
แต่ก็อธิบายไม่ได้ว่าทำไม ก้นบึ้งหัวใจของโจวเจ๋อถึงเกิดความรู้สึกคุ้นเคยกับของสิ่งนี้ เหมือนกับผู้ชายอายุสามสิบปีคนหนึ่ง ที่ในมือกำลังถือรูปถ่ายตัวเองตอนอายุสามหรือห้าขวบเอาไว้อย่างนั้น
ไม่คุ้นเคย แต่ก็เหมือนคุ้นเคยเป็นอย่างมาก
เขาพลิกเปิดสมุดหน้าแรก รูปภาพที่งดงามก็ค่อยๆ ปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง โจวเจ๋อหลับตาลง หลังจากนั้น ความยุ่งเหยิงเหล่านั้นก็หายไป
ครั้งก่อน ตัวเองถูกถ่ายทอดอย่างไม่จำยอม
ครั้งนี้ ดูเหมือนว่าตัวเองจะสามารถควบคุมสิ่งนี้เอาไว้ได้
ในที่สุดหน้าแรกก็ถูกเปิดออก ด้านบนมีรอยนิ้วมืออยู่ ซึ่งโจวเจ๋อเองก็ไม่แน่ใจว่าเป็นรอยนิ้วมือของเขาหรือของคนอื่น แถมในตอนนี้ยังไม่มีทางเปรียบเทียบรอยนิ้วมืออย่างละเอียดได้ด้วย แต่ความจริงแล้วรอยนิ้วมือนี้ก็แปลกมาก แม้กระทั่งโจวเจ๋อเองก็ยังคิดว่าบนโลกใบนี้คงไม่มีใครมีรอยนิ้วมือแบบนี้ได้หรอก
ลวดลายของรอยนิ้วมือเป็นไปในทิศทางเดียวกันมาก กลมกลืนซะจนท่านไม่สามารถแยกข้อแตกต่างเล็กๆ น้อยๆ ได้เลย ทั้งยังเป็นระเบียบเรียบร้อยอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ ไม่ว่ารายละเอียดเล็กน้อยเพียงใดก็ล้วนทำให้ผู้คนรู้สึกถึงความสบายผ่อนคลายเป็นอย่างมาก
ด้านล่างมีสองหัวข้อ
หัวข้อที่หนึ่ง: ชื่อแซ่: โจวเจ๋อ
หัวข้อที่สอง: หน้าที่: ยมทูตชั่วคราว
ที่จริง โจวเจ๋อเคยมีความคิดหนึ่งมาก่อน นี่ควรเป็นสิ่งที่เรียกว่าบัตรยมทูต พูดให้ถูกก็คือ บัตรของยมโลก อย่างไรเสียยมโลกก็ถือเป็นสังคมเล็กๆ สังคมหนึ่ง นกกระจอกเทศจะแม้ว่าจะตัวเล็กแต่ก็สมบูรณ์ ยมทูตก็เป็นแค่ส่วนหนึ่งในหน้าที่เท่านั้น
ในตอนแรกโจวเจ๋อและสวี่ชิงหล่างก็เคยถกเถียงกันเรื่องสถานการณ์ปัจจุบันของพวกเขา ข้อหนึ่งที่ชัดเจนก็คือว่าตัวตนของพวกเขาในฐานะลูกจ้างชั่วคราวนั้นต่ำต้อยมาก จะถูกมองเป็นแพะรับบาปเมื่อไรก็ได้ และยังไม่มีการรับประกันความปลอดภัยหรือตำแหน่งแม้แต่น้อย
ตอนที่สาวน้อยโลลิกลับมาครั้งที่แล้ว เผชิญหน้ากับคำถามของเขา เธอเองก็ยอมรับข้อนี้อย่างตรงไปตรงมา
ในขณะเดียวกัน เธอก็ถือโอกาสวาดขนมเปี๊ยะมาก้อนหนึ่ง และก็ไม่ได้สนใจว่าเขาจะยอมทานหรือไม่
เหตุผลจริงๆ แล้วก็คือ ที่เขาขาดไป ก็คือบัตรนี้นี่แหละ!
มีบัตรนี้อยู่ในมือ เขาก็จะไม่ใช่คนเถื่อนแล้ว
สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ บัตรนี้จะบ่งชี้ว่าเขานั้นได้รับตารางที่เรียกว่า “ตารางวัดความขยัน” ซึ่งก็เหมือนกับการสถาปนาและพัฒนาการสอบขุนนางเคอจวี่ในอดีต เป็นหนทางที่จะยกระดับจากล่างไปถึงระดับบน
ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมาของการเปิดร้านหนังสือ โจวเจ๋อขี้เกียจมาก แต่ไม่ใช่เพราะนิสัยโดยธรรมชาติของโจวเจ๋อ แต่เพราะตัวตนที่น่ากระอักกระอ่วนในอดีตสำหรับเขา นั่นก็คือทำมากก็ยิ่งทำให้ผิดพลาดได้ง่ายมากขึ้น ไม่ทำก็ไม่มีเรื่องใหญ่อะไร
เหมือนกับสภาพจิตใจของรัฐวิสาหกิจที่ขาดทุนเมื่อสิบหรือยี่สิบปีก่อน
ตอนนี้ อย่างน้อยที่สุดก็สามารถตั้งเป้าหมายเล็กๆ ให้ตัวเองได้
ร้อยล้านก็พอแล้ว
แต่หวังว่าจะสามารถอาศัยความพยายามของตัวเอง ทำให้ระดับขั้นของตัวเองนั้นขึ้นไปได้อีก
เหมือนกับแม่นางไป๋ ผีสางเมื่อสองร้อยปีก่อน ที่ปกป้องหมู่บ้านและคนชราในโลกมนุษย์ จนบำเพ็ญสำเร็จจึงได้มาขอฐานะที่ยมโลก จุดเริ่มต้นของเขาโจวเจ๋อ ที่จริงนับว่าดีกว่าแม่นางไป๋เยอะมาก
แต่ที่ทำให้โจวเจ๋อไม่สบายใจก็คือ ทำไมตำแหน่งงานของเขายังคงเป็นแค่ “ยมทูตชั่วคราว”
โจวเจ๋อรู้ดี นี่ต้องไม่ใช่อะไรที่เบื้องบนเห็นว่าเขา ‘หมั่นเพียร’ ‘ความหมั่นเพียรในราชสำนัก’ ‘คำนับมิรู้เหน็ดเหนื่อย’ ‘ทำดีที่สุดแล้วจวบสิ้นลมหายใจ’ จึงให้เขาแน่
ปิ้ว
แล้วก็มีบัตรตกลงมาใบหนึ่ง
โจวเจ๋อยังรู้ตัวเองด้วยว่า ก่อนหน้านี้เขาทำงานแบบสามวันจับปลา สองวันทอดแห วันๆ เอาแต่ดื่มชาในร้านหนังสือ อ่านนิยาย พอตกดึกก็นอนกอดไป๋อิงอิง
พระเจ้าไม่ทรงปล่อยสายฟ้าฟาดสิ่งชั่วร้ายอย่างเขา ให้กลายเป็นผุยผงก็นับว่าเห็นแก่หน้าแล้ว เหตุใดจึงได้ให้รางวัลเขาในตอนนี้กันนะ
นี่เป็นบัตรของคนอื่น
แต่บังเอิญถูกเขาเก็บมาได้
ไม่สิ พูดให้ถูกก็คือเจิ้งผิงผิงเก็บได้ต่างหาก แต่เจิ้งผิงผิงยังมีชีวิตอยู่และเป็นคนธรรมดา เธอไม่มีทางควบคุมสิ่งนี้ได้แน่นอน แต่กลับจะได้รับผลกระทบอย่างทุกข์ทรมานจากอิทธิพลของมันจนทำให้จิตใจสับสน
ประจวบเหมาะกับได้รับแรงกระตุ้นจากอาการป่วยของแม่ของเธอ จึงทำให้พฤติกรรมของเจิ้งผิงผิงเริ่มผิดปกติไป
เธอลืมเลือนไปว่าเธอเป็นใคร เพราะหนังสือเล่มนี้ได้บันทึกคำพิพากษาของคนตายไปไม่รู้กี่คนต่อกี่คน เหมือนกับให้ท่านอ่านชีวิตของผู้คนนับหมื่นพันคนในคราวเดียว
จวงเซิงเสี่ยวที่ฝันว่าตัวเองกลายเป็นผีเสื้อจนงมงายว่าตัวเองไม่ใช่คน หรือความรู้สึกเพิกเฉยต่อทุกสิ่งหลังจากชีวิตเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหัน สามารถอธิบายได้โดยพื้นฐานจากสถานการณ์เหล่านี้
ลืมเลือนความเป็นตัวเอง ละเลยการเปลี่ยนแปลงทั้งหมดรอบตัว เดิมทีท่านเป็นเพียงเม็ดทราย สุดท้ายก็ถูกแม่น้ำสายใหญ่ชะล้าง นับประสาอะไรกับคนอื่น ตัวท่านเองยังรู้ตัวหรือไม่ว่าท่านอยู่ที่ไหน
อย่างไรก็ตาม ในเมื่อตอนนี้ตัวเองได้ “ขโมย” สิ่งนี้มาแล้ว ถ้าอย่างนั้นก็หมายความว่าเจิ้งผิงผิงและเอกสารนี้ถูกตัดขาดออกจากกันไปแล้ว อาการป่วยทางจิตของเธอน่าจะหายได้ในเร็วๆ นี้
แต่ปัญหาที่สำคัญก็คือ โจวเจ๋อไม่คิดว่าอดีตเจ้าของของสิ่งนี้จะเป็น “ยมทูตชั่วคราว” ด้วยเช่นกัน
ประสิทธิภาพการทำงานของยมทูตชั่วคราวคนหนึ่งจะเกินจริงอย่างนี้เลยหรือ
ถ้าอย่างนั้นพวกเขาแต่ละคนในนรกทั้งหมด ล้วนเป็นต้นแบบและเป็นแบบอย่างในยุคบุกเบิกใช่หรือไม่
เป็นคนบ้าที่หมกมุ่นกับงานทั้งหมดเลยหรือ
ดูความขี้เกียจของสาวน้อยโลลิสิ อันที่จริงเธอก็ไม่ได้แตกต่างจากเขาสักเท่าไหร่ ไม่อย่างนั้นเธอคงไม่ละทิ้งหน้าที่ให้เขา แล้ววิ่งไปหารายได้พิเศษหรอก
เมื่อได้ลองสังเกตดูใกล้ๆ โจวเจ๋อพบว่าบนชื่อของตัวเองและของยมทูตชั่วคราวคนก่อนมีจุดสีขาวบางๆ อยู่ ดูเหมือนกับว่าจะถูกละเลงไปด้วยน้ำยาลบคำผิด
โจวเจ๋อทั้งยื่นมือออกไปถูและใช้เล็บขูดมัน แต่กลับไม่มีอะไรหลุดออกมาเลย จุดสีขาวยังคงเป็นจุดสีขาวอยู่เช่นเดิม
สิ่งนี้ทำให้โจวเจ๋อรู้สึกขัดใจขึ้นมาเล็กน้อย ความจริงอยู่ภายใต้จุดสีขาวเท่านั้นเอง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยมทูตพาร์ตไทม์แห่งร้านหนังสือยามวิกาล