ยมทูตพาร์ตไทม์แห่งร้านหนังสือยามวิกาล นิยาย บท 677

ตอนที่ 677 พบหน้า!

เขาอยู่ก็ดี โจวเจ๋อกลัวที่สุดคือ จริงๆ แล้วเขาไม่อยู่ อย่างน้อยดูจากสถานการณ์ในตอนนี้ การดำเนินของเรื่องราวยังรักษาอยู่ในแนวโน้มที่เสถียรและราบรื่น ค้นหาเบาะแสได้อย่างง่ายดาย เดินไปตามเบาะแสที่ได้ จากนั้นจึงเข้ามาที่นี่อย่างฉลุย แม้แต่ประโยคที่ด่าทนายอันว่า ‘ปัญญาอ่อน’ ก็เป็นพื้นฐานส่วนหนึ่งของความคืบหน้าตลอดกระบวนการ

โจวเจ๋อก้าวเท้าเดินเข้าไป อิงอิงตามอยู่ข้างหลัง เด็กผู้ชายและทนายอันตามหลังมาติดๆ ถึงแม้เมื่อครู่จะถูกด่าว่า ‘ปัญญาอ่อน’ แต่ทนายอันกลับมีความสามารถในการ ‘เมินเฉย’ ดังนั้นจึงไม่สนใจ เขาคงไม่โง่ถึงขั้นด่ากับคนนั้นที่ด่าเขากลางอากาศในเวลานี้

และ ‘แมงมุม’ ตัวนั้น หลังจากที่ตกใจนิ่งอึ้ง กลับไม่เลือกที่จะเดินตามเข้าไปดู แต่คลานไปด้านล่างของประตูสีแดง ใช้สองมือสองเท้าคลานขึ้นไปข้างบน เดี๋ยวร้องไห้ เดี๋ยวหัวเราะ เดี๋ยวเสียงสูง เดี๋ยวเสียงต่ำ จนกระทั่งสุดท้ายเหลือเพียงเสียงโหยหวนและสะอื้นไห้อย่างช้าๆ

หลังจากเดินเข้าทางเดินแล้ว บรรยากาศโดยรอบอึดอัดขึ้นมาทันที โจวเจ๋อพบว่าผนังตรงทางเดินเหมือนจะมีภาพจิตรกรรมฝาผนังอยู่ ซึ่งเหมาะสมกับสไตล์ของสุสานโบราณเป็นอย่างมาก ภาพจิตกรรมฝาผนังในสุสานปกติจะเป็นสองแบบ

แบบที่หนึ่งเป็นการบรรยายชีวประวัติของเจ้าของสุสาน โดยทั่วไปเป็นการตกแต่งด้วยการเขียนแบบชุนชิว ณ จุดนี้ไม่ว่าจะเป็นในประเทศหรือต่างประเทศล้วนเหมือนกัน เป็นเรื่องปกติของมนุษย์ทั่วไปหรือจะเรียกว่าสันดานของมนุษย์ ไม่ว่าอย่างไรปกติแล้วคนที่ยอมจ่ายเงินเพื่อทำสุสาน ถ้าไม่ใช่เจ้าของสุสานคอยจับตาดูด้วยตัวเองตอนยังมีชีวิต ก็เป็นคนรุ่นหลังที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับเจ้าของสุสานคอยรับผิดชอบจัดการ

แบบที่สองคือการเผยแพร่กลิ่นอายที่เปี่ยมไปด้วยศาสนา เห็นได้ค่อนข้างบ่อยตามอารยธรรมอียิปต์โบราณ ที่มาพร้อมกับศิลปะแบบจินตนิยมที่เกินจริง

เพียงแต่ตอนที่โจวเจ๋อหยิบโทรศัพท์ของตัวเองแล้วเปิดไฟฉายในโทรศัพท์ มุมปากของเขากระตุกโดยไม่รู้ตัว นี่คืออะไร

ภาพจิตรกรรมฝาผนังภาพแรก บรรยายถึงคนกลุ่มหนึ่ง นั่งล้อมวงกัน ร้องเพลงเต้นระบำ หากดูถึงตรงนี้ก็เป็นปกติดี คล้ายการเฉลิมฉลองหรือกิจกรรมการกราบไหว้ทางศาสนา แต่ตรงกลางคนกลุ่มนี้ มีหม้อทองสัมฤทธิ์ขนาดใหญ่วางอยู่ใบหนึ่ง ก่อไฟอยู่ด้านล่าง ถ้าหากมีการต้มสัตว์ป่าและภูตผีปีศาจอยู่ในหม้อทองสัมฤทธิ์นี้กระทั่งต้มเนื้อ*ละก็ อย่างนั้นก็ได้อยู่! แต่หม้อทองสัมฤทธิ์ถูกแบ่งเป็นเก้าส่วนชัดเจนมาก เห็นได้ชัดว่าเป็นหม้อไฟเก้าช่อง!

ภาพจิตรกรรมฝาผนังภาพแรกในสุสาน อธิบายว่า เจ้าของสุสานกำลังกินหม้อไฟอย่างมีความสุขมาก ถึงแม้เจ้าของสุสานจะไม่แคร์ แต่ก็ต้องคิดเผื่อโจรปล้นสุสานอีกพันปีหลังจากนี้บ้างสิ อุตส่าห์ทำทุกวิถีทางเพื่อเข้ามาที่นี่อย่างยากลำบากดันมาเห็นภาพนี้ โจมตีจิตใจกันชัดๆ ถ้าหากของที่ฝังลงไปพร้อมกับเจ้าของสุสานเป็นหม้อไฟที่ทำจากทองสัมฤทธิ์หรือว่าเหล็กจะทำอย่างไร

“เหอะๆ เอ่อ ความสุนทรีนี้ โดดเด่นไม่เหมือนใคร” ทนายอันมองภาพวาดบนผนังด้วยความเหลือเชื่อ ขณะเดียวกันได้ชี้อย่างตั้งใจแล้วเอ่ยว่า “ตรงนี้วาดได้ดีจริงๆ ผมสามารถมองออกว่าตรงนี้กำลังต้มผ้าขี้ริ้วแน่นอน”

ทุกคนเดินไปข้างหน้าต่อ มาถึงด้านหน้าภาพจิตรกรรมฝาผนังภาพที่สอง ภาพจิตรกรรมฝาผนังภาพที่สองมีความอลังการอย่างเห็นได้ชัด ไม่มีคน มีสัตว์เพียงตัวเดียว ไม่ใช่สัตว์สวรรค์ และไม่ใช่สัตว์ร้าย แต่เป็นไก่ตัวหนึ่ง!

ไก่ตัวนี้ถูกเลี้ยงก่อน แล้วจึงถูกฆ่า ถูกจัดการ ถูกนำไปหมัก แล้วถูกย่าง สุดท้ายกลายเป็นไก่ที่แสนอร่อย…จนร้องไห้น้ำตาไหลสะเทือนฟ้าดินตัวหนึ่ง

“นี่คือ ไก่ขอทาน” ทนายอันอ้าปากกว้างมาก นี่ไม่ได้เรียกว่าไม่ตามกระแสอีกต่อไป แม่งเอ๊ย ใครใจกว้างวาดภาพบนผนังแบบนี้ในสุสานของตัวเอง ทิ้งวิธีการทำไก่ขอทานเอาไว้อย่างนั้นเหรอ

จากนั้นจึงเดินเข้าไปข้างในต่อ โจวเจ๋อได้ความรู้เกี่ยวกับ ‘วิธีการย่างแกะแบบโบราณ’ ‘วิธีการหมักเหล้าแบบโบราณ’ ‘วิธีการตุ๋นแบบจับฉ่าย’

ภาพจิตรกรรมฝาผนังภาพหนึ่งในนั้นทำให้จดจำได้ไม่ลืมเลือน สองคนที่อยู่ในภาพจิตรกรรมฝาผนัง คนที่ใส่ชุดสีขาวท่าทางสง่าน่าจะเป็นเจ้าของสุสาน ในมือถือของที่กำลังร้อนกรุ่นชามหนึ่ง ไม่รู้ว่าเป็นเต้าฮวยหรือขนมบัวลอยจีน แต่ตรงหน้าของคนผู้นี้ มีเสาต้นหนึ่ง บนเสามีคนในชุดสีดำถูกมัดอยู่บนนั้นกำลังถูกไฟเผา เหนือศีรษะของคนผู้นี้ก็มีชามอยู่ใบหนึ่ง มีความร้อนกรุ่นอยู่บนนั้น และยังระบุคำว่า ‘เค็ม’ อยู่ข้างกายของคนชุดขาว ข้างกายของคนนั้นที่ถูกไฟเผาเขียนคำว่า ‘หวาน’

“ที่แท้ ข้อถกเถียงนี้มีมาตั้งแต่สมัยโบราณแล้ว”

ทนายอันทอดถอนใจ จากนั้นจึงพยักหน้าอย่างแรง พูดประสมโรงว่า “ใช่ พรรคความหวานมีความคิดนอกรีตสมควรถูกเผา!”

โจวเจ๋อไม่อยากเดินดูแล้ว เขาต้องดูเมนูอาหารตลอดทางใช่ไหม เสียดายไม่มีทีมกล้องอยู่ที่นี่ ไม่อย่างนั้นสามารถถ่ายทำ ‘สุสานโบราณบนปลายลิ้น’ อยู่ที่นี่ได้เลย รู้สึกว่าสามารถแข่งขันกับเวอร์ชันต้นฉบับที่มีแนวคิดทางการค้ารุนแรงจนลืมจิตตั้งต้นได้อย่างสิ้นเชิง

ในที่สุดก็เดินผ่านทางเดินเสร็จแล้ว จึงมาถึงหน้าประตูห้องสุสานหลัก จู่ๆ โจวเจ๋อรู้สึกว่าตัวเองหิวแล้ว

สุสานโบราณตะวันออกแบบมาตรฐาน รูปแบบไม่ต่างกันมาก ห้องสุสานหลักจะอยู่ตรงกลาง และมีห้องเล็กขนาบอยู่สองข้างเรียกว่าห้องหู ห้องหู พอเห็นชื่อก็ทราบถึงความหมายแฝงเลย จริงๆ แล้วการมีอยู่ของมันมีไว้เพื่อเก็บของใช้ที่ฝังมาพร้อมกับคนตาย หรือไม่ก็เป็นหลุมสุสานบางส่วน มีห้องเล็กบางส่วนที่สามารถฝังอนุภรรยาได้อีกด้วย

ห้องสุสานหลักเป็นของเจ้าของสุสานและภรรยา แน่นอนว่า ถ้าหากเจ้าของสุสานเคยแต่งงานใหม่ ภรรยาคนใหม่จะถูกฝังอยู่ในนี้เช่นกัน แต่ห้องสุสานหลักแห่งนี้ไม่มีห้องเล็กขนาบข้าง ไม่ว่าอย่างไรสิ่งที่น่าตกใจก็เยอะพอแล้ว ความแปลกประหลาดเล็กน้อยแค่นี้กลับทำให้คนรู้สึกว่าปกติมาก

หลังจากเดินผ่านทางเดิน ก็เป็นห้องสุสานหลัก ตลอดทางที่เดินผ่าน ไม่ต้องกลัวว่าจะหลงทางเลยด้วยซ้ำ ห้องสุสานหลักไม่มีประตู เป็นม่านมุกม้วนหนึ่ง บนม่านมุกประดับด้วยลูกปัดแก้ว เมื่อใช้ไฟฉายส่องเข้าไป จะสะท้อนสีสันสดใสสวยงาม เกิดเป็นภาพเหมือนอยู่ในห้องคาราโอเกะเมื่อยุค 90

โจวเจ๋อยื่นมือเปิดม่านม้วน แล้วเดินเข้าไป พื้นที่ภายในไม่ใหญ่มาก มีขนาดประมาณห้องรับแขกของห้องแบบสามห้องนอนหนึ่งห้องรับแขกทั่วไปที่มีพื้นที่หนึ่งร้อยสามสิบตารางเมตร ซึ่งแคบมาก และไม่มีโลงศพอยู่ในนั้น ตรงกลางมีแท่นที่ทำจากหินอันหนึ่ง มีซึ้งนึ่งอันหนึ่งอยู่บนนั้น

ใช่แล้ว ซึ้งนึ่ง แบบขยายของซึ้งเสี่ยวหลงเปาตามร้านอาหารในตอนเช้าตรู่! ส่วนตำแหน่งที่เหลือ มีแต่ความว่างเปล่าอย่างชัดเจน แต่บนผนังกลับมีร่องและลวดลายอยู่บ้าง

“เสียดาย เหล่าสวี่ไม่ได้มาด้วย ไม่อย่างนั้นเขาน่าจะมองทางออกได้อยู่บ้าง” ทนายอันพูดอย่างเสียดาย

สวี่ชิงหล่างมีศักยภาพในการสร้างค่ายกล ทนายอันต้องนับถืออย่างช่วยไม่ได้ ตอนแรกเขาอาศัยการศึกษาด้วยตัวเองอยู่พักหนึ่ง แล้วนำพลังของเทพเจ้าแห่งท้องทะเลมาผนึกอยู่ในร่างของตัวเอง

ทนายอันพบจุดนี้ก่อนในตอนแรก แต่ไม่ได้ห้ามปราม และคอยสังเกตการณ์อยู่ข้างๆ จนสุดท้ายสวี่ชิงหล่างก็ทำได้สำเร็จ ทนายอันรู้สึกตกใจมาก

“ทุกคนระวังหน่อย อย่าเดินแยกกัน อิงอิง พวกคุณสองคนคอยเฝ้าทางออก”

“ได้เจ้าค่ะ เถ้าแก่” อิงอิงกับเด็กผู้ชายยืนอยู่ตรงทางออก โจวเจ๋อกับทนายอันเดินเข้าไปข้างในต่อ เดินมาอยู่ตรงหน้า ‘ซึ้งนึ่ง’ อันนั้น

“ไม่น่าใช่ เมื่อกี้มีคนทักทายผมไม่ใช่เหรอ”

“แบบนั้นก็เรียกว่าทักทายเหรอ”

“อย่าไปสนใจรายละเอียดพวกนี้เลย เถ้าแก่ ถ้าหากคนสองคนที่สนิทกัน เจอหน้ากันก็เรียกว่าไอ้โง่กับไอ้งั่ง ไม่สามารถอธิบายอะไรได้ ใช่ไหม อย่างเช่น ผมเรียกคุณว่า…” ทนายอันกลืนน้ำลาย โอ้ว คอแห้งเล็กน้อย

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยมทูตพาร์ตไทม์แห่งร้านหนังสือยามวิกาล